สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 762 พี่น้องร่วมมือกัน
บทที่ 762 พี่น้องร่วมมือกัน
ฮ่องเต้รออยู่ด้านนอกครู่ใหญ่ ค่อนข้างห่วงองค์หญิงน้อยว่าจะเป็นอย่างไร
“เสี่ยวเสวี่ย”
พระองค์เรียกขึ้นคำหนึ่ง
องค์หญิงน้อยยืนอยู่บนกรอบหน้าต่าง มองเสี่ยวจิ่วคาบกระบอกไม้ไผ่อย่างร้อนใจ “ขะ…ขะ…ขะ…ข้ายังอึอึอยู่เลย! ท่านลุงอย่าเข้ามานะ!”
ฮ่องเต้ถอนพระทัยอย่างจนใจ รออยู่บนโถงทางเดินต่อไป
พระองค์ลังเลครู่หนึ่ง ก็ยังไม่วางพระทัย มาหยุดข้างประตูพลางตรัส “เจ้าอย่าตกลงไปนะ”
องค์หญิงน้อยเอ่ย “ไม่มีทางเสียหรอก!”
นางไม่ได้ไปอึอึจริงเสียหน่อย จะตกลงไปในโถส้วมได้อย่างไร
ฮ่องเต้เดินกลับไปกลับมาอยู่ด้านนอกอีกสักพัก “ยังไม่ออกมาอีกรึ”
“ใกล้เสร็จแล้ว!”
ในที่สุดฮ่องเต้ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป รู้สึกว่าแม่หนูน้อยทำตัวแปลกๆ อยู่ข้างใน
“เราเข้าไปนะ” ฮ่องเต้ตรัส
ฮ่องเต้ดันประตูเปิด
แม่หนูน้อยยังลงกลอนประตูไว้ด้วย!
แปลกๆ ต้องมีอะไรแน่ๆ !
“จางเต๋อเฉวียน” ฮ่องเต้ตรัสเรียกเสียงเข้ม
จางเต๋อเฉวียนกระจ่างทันที เขาดึงปิ่นออกมาจากผม เสียบเข้าไปสองสามทีก่อนจะสะเดาะกลอนประตูออก
เขาผลักประตูห้องเปิด ฮ่องเต้สีพระพักตร์ทะมึนสาวเท้าเข้ามา
“ว่าแล้วเชียวว่าเจ้ากำลังเล่นพิเรนทร์!”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรแม่หนูน้อยที่ปีนอยู่บนกรอบหน้าต่าง แม่หนูน้อยกำลังจับนกตัวใหญ่ตัวหนึ่งด้วยสองมือ อาจเพราะฮ่องเต้เคลื่อนไหวโดยฉับพลัน ร่างน้อยๆ ของนางจึงโงนเงน
ครั้นนางหันกลับมา ท่าทางกินปูนร้อนท้องนั้นก็อย่างยากจะปกปิด
เมื่อเห็นนกในมือนางชัดๆ ว่าเป็นเหยี่ยว พระองค์ก็ชักจะอยู่ไม่สุขขึ้นมาแล้ว!
“ใครก็ได้!”
พระองค์ออกคำสั่ง จางเต๋อเฉวียนพาองครักษ์บุกเข้ามา องครักษ์ก้าวย่างสามขุมไปหาเหยี่ยวตัวนั้นที่โจมตีองค์หญิงน้อย
องค์หญิงน้อยตกใจจนปล่อยมือ
เสี่ยวจิ่วกระพือปีกบินหนีไปแล้ว
องค์หญิงน้อยเบ้ปาก ร้องไห้จ้าขึ้นมาทันที “แงงงงงง ข้าอุตส่าห์จับเสี่ยวจิ่วไว้ได้ พวกเจ้าทำเสี่ยวจิ่วตกใจบินหนีไปแล้ว ข้าจะเอาเสี่ยวจิ่ว ข้าจะเอาเสี่ยวจิ่ว…”
นางยังเรียกชื่อมันด้วย
ฮ่องเต้เดินไปหิ้วแม่หนูน้อยเข้าสู่อ้อมอก มองตั้งแต่หัวจรดเท้าเมื่อมั่นใจว่าไม่ได้รับบาดเจ็บจึงถาม “เสี่ยวจิ่วอะไร”
“นกเมื่อครู่นี้อย่างไร มันชื่อว่าเสี่ยวจิ่ว”
“ดังนั้นเจ้าไม่ได้จะมาอึอึ แต่อยากจะมาจับมันอย่างนั้นรึ”
องค์หญิงน้อยร้องไห้ไม่มีน้ำตาสองที ก่อนจะก้มหน้าลง ถูนิ้วกันไปมา
ท่าทางเช่นนี้ตกสู่นัยเนตรของฮ่องเต้ก็รู้แล้วว่าพระองค์เดาถูก แม่หนูน้อยมาจับนก!
ฮ่องเต้กริ้วจนหายใจไม่ทัน “นั่นมันเหยี่ยวนะ ทำร้ายคนได้ เจ้าไม่กลัวโดนมันกัดเอาหรือ”
องค์หญิงน้อยพึมพำเสียงอ่อย “เสี่ยวจิ่วไม่กัดคน”
ดูปากน้อยๆ นี่สิ ตั้งแต่ไปเรียนก็ช่างพูดช่างจาขึ้นทุกวันแล้ว
“นกของผู้ใด” ฮ่องเต้ตรัสถาม
องค์หญิงน้อยเบ้ปากเอ่ย “ของจิ้งคง ท่านลุง เหตุใดเขามีนก แล้วข้าไม่มี ข้าเสียใจมาก”
หากเจ้ามีนก[1]แล้วค่อยเสียใจเถิด เจ้าเป็นเด็กผู้หญิงนะ!
ฮ่องเต้ตบหน้าผาก
นี่มันเรื่องอะไรกันนี่
ฮ่องเต้โดนแม่หนูน้อยปั่นประสาทจนเลอะเลือน พระองค์สูดหายใจลึก รู้สึกว่าตัวเองจะระเบิดได้ตลอดเวลา
“กลับวัง!”
หากยังไม่กลับวังอีก เกรงว่าพระองค์คงได้ตีก้นนางเพียะๆ แน่ๆ!
องค์หญิงน้อยคอตก “ก็ได้”
องค์หญิงน้อยถูกฮ่องเต้จูงมือเดินไป
เมื่อกลับมาถึงข้างรถม้า จู่ๆ นางก็โพล่งขึ้น “ท่านลุงข้าอยากเล่นซ่อนหาในนี้ ท่านหาข้านะ!”
เด็กน้อยคิดหาเรื่องเล่นไม่หยุดไม่หย่อนจริงๆ
“ไม่หา!” ฮ่องเต้ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
องค์หญิงน้อยกอดต้นขาพระองค์ไว้ ออดอ้อนด้วยเสียงเด็กเล็ก “นะ นะ นะท่านลุงหาเสี่ยวเสวี่ย นะนะ ขอร้องนะเพคะ”
ขอร้องไปก็เปล่าประโยชน์!
“เรานับแค่สิบเท่านั้นนะ” ฮ่องเต้กัดฟันแน่น
“ท่านลุงดีที่สุดเลย เสี่ยวเสวี่ยรักท่าน!” องค์หญิงน้อยปีนดุ๊กดิ๊กขึ้นไปบนรถม้า ปิดผ้าม่าน ยัดกระบอกไม้ไผ่จากกระเป๋าหนังสือกลับเข้าช่องลับคืนทีละกระบอก
…
ณ ตำหนักฉีหลิน
เซียวเหิงกับกู้เจียวต่างไปตัดไผ่กันอยู่ในป่าไผ่ม่วง ครั้นเสี่ยวจิ่วคาบกระบอกไผ่มาหาภายในห้องก็เหลือแค่ซ่างกวานเยี่ยนกับเสี่ยวจิ้งคงเท่านั้น
ซ่างกวานเยี่ยมองปราดไปเห็นกระบอกไผ่ของวังก็รู้ว่าของของฮ่องเต้
นางขยับไม่ได้ จึงให้เสี่ยวจิ้งคงไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น
“เป็นข้อสอบของท่านอาจารย์” องค์หญิงน้อยบอก “ท่านอาจารย์อยู่หรือไม่ รีบให้ท่านอาจารย์ดูเร็วเข้า อย่าให้ท่านลุงข้ารู้นะ”
กู้เจียวไม่อยู่ ยามนี้จึงดูไม่ได้ แต่ช่วยไม่ได้ที่เสี่ยวจิ้งคงความจำเป็นเลิศ จดจำเนื้อหาในข้อสอบได้อย่างรวดเร็ว
เสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กที่เข้มงวดผู้หนึ่ง เขาไม่เพียงเขียนออกมาตามที่จำได้ทีละขีดทีละเส้นเท่านั้น ยังหากระบอกไม้ไผ่หกอันใส่แผ่นกระดาษ คืนที่เดิมอย่างน่าอัศจรรย์
…ที่ต่างออกไปก็คือ กระบอกไม้ไผ่ของฮ่องเต้เป็นกระบอกขนาดเล็ก ส่วนกระบอกที่อวี้เหอหามาให้เขาเป็นกระบอกขนาดใหญ่
ดังนั้น เมื่อกู้เจียวกับเซียวเหิงตัดไผ่กลับมา จึงเห็นกระบอกไม้ไผ่ใหญ่ยักษ์เพิ่มขึ้นมาบนโต๊ะหกกระบอก
อลังการเกินไปหรือเปล่า…
“เกิดอะไรขึ้น” เซียวเหิงถาม
“เสี่ยวเสวี่ยบอกว่าเป็นข้อสอบของเจียวเจียว” เสี่ยวจิ้งคงตบอกน้อยๆ ปุๆ “ข้าท่องไว้แล้ว พวกนี้ข้าเขียนเองหมดเลย!!”
ทั้งคู่แลกเปลี่ยนสายตากัน ข้อสอบรึ ใช่แบบที่พวกเขาคิดหรือไม่
ทั้งคู่ถือข้อสอบไปห้องข้างๆ
เซียวเหิงปิดประตูห้อง ก่อนมานั่งลงข้างโต๊ะกับกู้เจียว
“หกกระบอก หกผู้ผ่านเข้ารอบ…เปิดเถิด” เขามองกระบอกบนโต๊ะพลางเอ่ย
“อือ” กู้เจียวเอื้อมมือไปหยิบมาหนึ่งกระบอก เทกระดาษข้อความด้านในออกมา อ่านออกเสียง “เข้าสู่แนวเทือกเขาซงซาน บุกโจมตีค่ายศัตรูที่อยู่ใกล้ๆ น้ำพุปี้เย่ว์ชิงจดหมายลับมา แล้วส่งจดหมายลับอีกฝ่ายไปยังค่ายเพลิงที่หนึ่ง มอบให้กับรองแม่ทัพฝ่ายซ้ายประจำค่าย”
“ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นภารกิจในการคัดเลือกรอบสุดท้ายของพวกเจ้าครานี้เลยนะ” เซียวเหิงชะงัก “แต่เหตุใดจึงมีหกกระบอกเล่า”
กู้เจียวเปิดกระบอกที่สองออก “ท่านคือสายลับทูเจวี๋ย นี่เป็นจดหมายลับที่แท้จริงของกองทัพทูเจวี๋ย รีบนำจดหมายลับเพียงหนึ่งเดียวมุ่งหน้าไปยังค่ายเพลิงที่หนึ่ง ส่งมอบให้กับรองผู้บัญชาการฝ่ายขวาของทัพกบฏในค่ายนี้”
“หมายความว่าอย่างไร” กู้เจียวถาม
เซียวเหิงเอ่ย “เมื่อค่ายกบฏทูเจวี๋ยค้นเจอจดหมายลับว่าเป็นจดหมายปลอม หากไม่ได้อ่านกระบอกนี้ ก็คงไม่มีผู้ใดรู้ว่าที่ตัวเองชิงไปนั้นเป็นจดหมายปลอม เช่นนั้นละก็ แม้ว่าเขาจะถึงเส้นชัยแล้ว ภารกิจก็ยังล้มเหลวอยู่ดี”
กู้เจียวขมวดคิ้ว “ขี้โกงนัก ถ้าอย่างนั้น ภารกิจคุ้มกันส่งจดหมายลับนี้ก็ค่อนข้างได้เปรียบน่ะสิ ทั้งไม่ต้องต่อสู้กับทัพศัตรู และไม่ต้องกังวลว่าที่ตัวเองถืออยู่เป็นจดหมายปลอมด้วย”
เซียวเหิงรู้สึกว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น “ลองดูอันที่สามก่อนค่อยว่ากัน”
กู้เจียวเปิดกระบอกที่สามออก นึกไม่ถึงว่าสถานการณ์ครานี้เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว “เข้าสู่แนวเทือกเขาซงซาน ลอบโจมตีค่ายศัตรูละแวกเนินไม้พันธุ์สีเหลือง ชิงจดหมายลับฝ่ายศัตรูมา แล้วนำจดหมายลับไปส่งมอบให้รองผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายประจำค่ายเพลิงที่สอง”
กู้เจียวเปิดกระบอกที่สี่ต่อ
“ท่านคือสายลับทูเจวี๋ย นี่เป็นจดหมายลับฉบับจริงของกองทัพทูเจวี๋ย รีบนำจดหมายลับเพียงหนึ่งเดียวไปมอบให้รองแม่ทัพฝ่ายขวาค่ายกบฏในค่ายเพลิงที่สอง”
“อ้อ นี่เปลี่ยนสถานที่กับ NPC รองแม่ทัพหรือ”
“อะไรนะ” เซียวเหิงไม่เข้าใจสองคำท้าย
กู้เจียวอธิบาย “ก็คือสถานที่กับบุคคลแตกต่างกัน รูปแบบของภารกิจเหมือนกันกับคู่แรก ล้วนเป็นคนหนึ่งไปชิงจดหมายปลอมที่ค่ายศัตรู คนหนึ่งคุ้มกันส่งของจริง”
“ลองดูสองอันสุดท้ายด้วยสิ” เซียวเหิงเอ่ย เขาเดาว่านี่เป็นการเปลี่ยนน้ำไม่เปลี่ยนยา[2]
เป็นดังที่คาด สถานที่ของสองกระบอกที่เหลือคือค่ายเพลิงที่สาม สถานที่ลอบโจมตีคือบึงจื่อเฉ่าใกล้กับแนวเทือกเขาซงซาน
กู้เจียวกล่าวสรุป “การประลองครานี้มีทั้งหมดสามคู่ แต่ละคู่มีทหารม้าหนึ่งนาย สายลับหนึ่งนาย แต่แบบนี้จะตัดสินแพ้ชนะอย่างไร สมมติว่า ข้า กู้ฉังชิง นายท่านห้าหัน พวกเราสามคนจับได้สายลับกันหมด ซ้ำยังส่งจดหมายลับถึงมือค่ายศัตรูแต่ละค่ายอย่างปลอดภัย เช่นนั้นใครในพวกข้าที่ผ่านเข้ารอบล่ะ”
เซียวเหิงส่ายหน้าคล้ายคิดบางอย่างอยู่ “ไม่มีทางที่จะเสร็จสิ้นภารกิจพร้อมกันได้ มีแต่ล้มเหลวพร้อมกันเท่านั้น”
กู้เจียวนิ่งอึ้งเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร”
เซียวเหิงเปิดกระดาษข้อความออก “เจ้าลองดูถ้อยคำอย่างละเอียดอีกที… ‘รีบนำจดหมายเพียงหนึ่งเดียว’ คำว่าเพียงหนึ่งเดียวนี้เป็นหัวใจสำคัญของทั้งภารกิจ พวกเจ้าเป็นสายลับกันตั้งสามคนแท้ๆ เหตุใดจึงเขียนว่าจดหมายเพียงหนึ่งเดียวเล่า”
กู้เจียวครุ่นคิด “เพราะสถานที่แตกต่างกันอย่างนั้นรึ อย่างเช่นว่า คนที่ไปค่ายเพลิงที่หนึ่งก็มีแค่จดหมายลับฉบับนี้”
“เช่นนั้นยิ่งไม่ต้องเน้นคำว่าเพียงหนึ่งเดียวเลย” เซียวเหิงวิเคราะห์อย่างมั่นใจ “ข้าคิดว่า คำว่าเพียงหนึ่งเดียวนี้หมายถึงต้องทำลายจดหมายลับของสายลับอีกสองคนที่เหลือทิ้ง ทำให้จดหมายลับของตัวเองกลายเป็นจดหมายลับเพียงหนึ่งเดียว”
เขาเอ่ยพลางเปิดกระดาษข้อความอีกแผ่นที่เป็นของฝ่ายทหารม้า “ส่วนภารกิจของทหารม้ามีคำว่า ‘อีกฝ่าย’ อยู่ ในเมื่อจดหมายในค่ายศัตรูเป็นของปลอม เช่นนั้นคำว่าอีกฝ่ายก็น่าจะหมายถึงสายลับสามนายนี้”
เขาอธิบายเช่นนี้กู้เจียวก็กระจ่างแจ้งแล้ว “ดังนั้น ภารกิจของทหารม้าคือการชิงจดหมายลับสามฉบับให้ได้ ภารกิจของสายลับคือทำลายจดหมายลับในมือคนอื่น เช่นนั้นแล้ว ระหว่างทั้งหกคนนี้ต้องเป็นศึกเหี้ยมแน่นอน”
เซียวเหิงถอนใจเอ่ย “สามคนต้องการทำลาย อีกสามคนต้องการช่วงชิง จะเป็นแค่ศึกเหี้ยมได้อย่างไร นี่มันศึกตายชัดๆ ”
กู้เจียวคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่ง นางขมวดคิ้วถาม “เกิดล้มเหลวกันหมดเล่า อย่างเช่นว่า จดหมายลับโดนทำลายหมดเลย”
เซียวเหิงสีหน้าเคร่งขึ้น “เช่นนั้นผู้ชนะก็คือ…ฮ่องเต้แล้วล่ะ!”
ฮ่องเต้ทรงไม่คิดจะให้ผู้ใดชนะตั้งแต่แรกแล้ว
พระองค์ยืมอำนาจของตระกูลใหญ่ทั้งสิบ ทำให้ทุกคนเห็นด้วยกับข้อเสนอคัดเลือกผู้บัญชาการกองทหารม้าเฮยเฟิง จากนั้นก็อาศัยกฎเกณฑ์การคัดเลือกกำจัดทหารม้าทั้งหมดออกไป เช่นนี้แล้ว พระองค์ก็จะตรัสได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ไม่ใช่ว่าเราไม่ให้โอกาสพวกเจ้า เป็นพวกเจ้าเองที่ไม่มีความสามารถ เช่นนั้นเราก็คงต้องริบทหารม้าเฮยเฟิงกลับคืนมาก่อนชั่วคราว
กู้เจียวเอ่ย “ก็เหมือนกับที่พระองค์ริบอำนาจทางการทหารของตระกูลมู่”
ความคิดของฮ่องเต้ต้าเยี่ยนลึกล้ำเสียยิ่งกว่ามหาสมุทรจริงๆ
เซียวเหิงหรี่ตาเอ่ย “ครานี้ไม่ใช่แค่การแข่งขันกับตระกูลใหญ่เท่านั้น ยังเป็นการแข่งขันกับฮ่องเต้ต้าเยี่ยนด้วย ยังดีที่พวกเรารู้ข้อสอบกันแล้ว จึงได้เปรียบอย่างมาก”
กู้เจียวตีหน้าเคร่งเอ่ย “ข้าไม่มีทางให้เขาได้สมปรารถนาหรอก”
และไม่มีทางให้พวกตระกูลใหญ่ได้สมดังใจด้วย ทหารม้าเฮยเฟิงของตระกูลเซวียนหยวน นางจะต้องช่วงชิงมาให้ได้!
…
ระยะเวลาสามวันมาถึงตามที่กำหนด
พวกกู้เจียวหกคนไปรวมตัวกันที่ค่ายทหารม้าตระกูลหันตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว รอบนี้มีกรมกลาโหม กรมพิธีการ เอกอัครราชทูตร่วมกับจวนแม่ทัพคุมการคัดเลือก
จวนแม่ทัพส่งหวังซวี่มา
ครานี้หวังซวี่ไม่ผ่านเข้ารอบ เขาจึงฝากความหวังไว้กับมู่ชิงเฉิน แต่เมื่อเขาเห็นกู้เจียว จู่ๆ ก็รู้สึกว่าหากกู้เจียวผ่านก็คงไม่เลวเช่นกัน
ทั้งคู่ไม่ได้สนทนาพาทีกัน เห็นกันก็ทำเป็นไม่รู้จัก
หลังจากพวกเขารวมตัวกันเสร็จ ก็เดินทางมายังปากทางเข้าแนวเทือกเขาซงซานอย่างเอิกเกริก
เจ้ากรมกลาโหมประกาศกฎกติกาการทดสอบ คร่าวๆ คือแลกเปลี่ยนฝีมือกันก็พอ ไม่ต้องทำร้ายถึงชีวิต ผู้กระทำผิดกฎจะถูกยกเลิกผลการคัดเลือก และจะถูกตัดสินตามกฎหมาย
จากนั้นก็เริ่มเข้าไปในห้องไม้ไผ่เพื่อจับสลาก
การจับสลากดูผิวเผินเป็นป้ายหมายเลข แต่ความจริงนั้นเป็นภารกิจในการคัดเลือกครานี้
ภายในห้องมีหวังซวี่กับเอกอัครราชทูตนั่งอยู่ เป็นพื้นที่ว่างที่ค่อนข้างมิดชิด นอกจากทหารม้ากับขุนนางกรรมการสองนาย ก็ไม่มีใครรู้ภารกิจในกระดาษข้อความ
กู้เจียวเข้าไปในห้องเป็นคนสุดท้าย หลังจากนางออกมาเจ้ากรมกลาโหมก็ตีฆ้องสำริด
ห้าคนควบม้าเข้าไปในเทือกเขา เพียงไม่นานก็ทิ้งห่างไปไกลริบ
มีเพียงกู้เจียวที่เอ้อระเหยลอยชาย ไม่เหมือนกับขี่ม้า เหมือนขี่ลาอยู่มากกว่า พวกกรรมการต่างร้อนใจแทนนางกันหมดแล้ว
เจ้าไปสิ!
เจ้าอาลัยอาวรณ์พวกข้าหรืออย่างไรกัน
กู้เจียวไม่ได้อาลัยอาวรณ์พวกเขา
นางรอให้คนอื่นๆ ออกไปไกลมากพอแล้วต่างหาก จึงขี่ม้าเร็วกระตุกบังเหียนไล่ตามไปทางที่กู้ฉังชิงจากไป
กู้ฉังชิงรออยู่ระหว่างทางแต่แรกแล้ว
เห็นนางมาหา เขาก็ไสม้ามาเอ่ย “พวกเขาไปกันหมดแล้ว ตรงนี้ปลอดภัยมาก”
“ท่านจับสลากได้อะไรรึ” กู้เจียวถาม
กู้ฉังชิงยื่นกระดาษข้อความของตัวเองให้นาง
กู้เจียวปรับสายตาอ่าน ก่อนส่งเสียงอ๋อพลางเอ่ย “ท่านจับได้ทหารม้าค่ายเพลิงหมายเลขหนึ่งนี่ ข้าเป็นสายลับของค่ายเพลิงหมายเลขหนึ่ง!”
กู้ฉังชิงยิ้มส่ง “พวกเราอยู่ค่ายเดียวกัน ดียิ่งนัก”
เขากับน้องสาวมีวาสนาต่อกันจริงๆ
กู้เจียว เอ่อ ท่านมีความสุขก็ดีแล้ว
กู้ฉังชิงไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นทหารม้า ส่วนน้องสาวเป็นสายลับเลยสักนิด อย่างไรเพื่อน้องสาวแล้วเขาสามารถเป็นกบฏได้ตลอดเวลา
กู้ฉังชิงเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “ข้าเห็นทุกคนมุ่งไปในทิศทางที่แตกต่างกัน ก็เดาได้แล้วว่าเส้นชัยของทุกคนอาจจะแตกต่างกัน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าแม้แต่บทบาทก็ไม่เหมือนด้วย”
กู้เจียววิเคราะห์ทั้งหกกระบอกให้กู้ฉังชิงฟัง
กู้ฉังชิงคล้ายเพิ่งตื่นจากฝัน “ข้าก็นึกว่าไปลอบโจมตีค่ายศัตรูก็สามารถชิงจดหมายลับมาได้เสียอีก”
กู้เจียวแบมือ “นั่นเป็นจดหมายลับปลอม เอาไปได้ก็เปล่าประโยชน์ จดหมายจริงอยู่ในมือพวกข้าสายลับสามคน ยามนี้พวกเขายังไม่รู้เรื่องรู้ราว พวกเราไปปล้นพวกเขากัน!”
กู้ฉังชิงมองน้องสาวอย่างรักใคร่ “ได้”
กู้เจียวถาม “พวกเขาสี่คนไปทางไหนกันบ้าง”
กู้ฉังชิงเอ่ย “นักบวชชิงเฟิงกับมู่ชิงเฉินไปทางตะวันออก นายท่านห้าหันกับจวินซิวหันไปทางตะวันออกเฉียงใต้ พวกเราจะไล่ตามผู้ใดก่อนดี”
[1] นก ในที่นี้เปรียบเปรยเป็นอวัยวะเพศของผู้ชาย
[2] เปลี่ยนน้ำไม่เปลี่ยนยา อุปมาว่าเปลี่ยนแปลงเฉพาะภายนอก แต่เนื้อหาภายในยังคงเดิม