สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 766 สมใจ
บทที่ 766 สมใจ
ฤดูร้อนแผดเผา เสียงจักจั่นบนต้นไม้ดังระงม
กู้เจียวตื่นขึ้นท่ามกลางเสียงจักจั่น นางค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น พบว่าดวงตาของนางถูกพันด้วยผ้าพันแผล นางยกมือขึ้นแกะผ้าพันแผลออก
แสงจ้าแสบตาพลันสาดส่องเข้ามาท นางปิดตาลงตามสัญชาตญาณพลางเบือนหน้าหนี เมื่อคุ้นชินกับแสงแล้วจึงค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง
ในสายตาที่พร่ามัว นางเห็นหน้าต่าง โต๊ะ เก้าอี้ที่คุ้นเคย และ.. เด็กน้อยที่คุ้นเคยบนพื้น
วันนี้ที่สำนักบัณฑิตหยุดเรียน
เสี่ยวจิ้งคงไม่ได้ออกไปไหน อยู่แต่ในบ้าน เล่นไปพลางๆ รอกู้เจียวตื่น
เพราะอากาศร้อน เซียวเหิงจึงปูเสื่อไม้ไผ่นั่งให้เขาที่พื้น
เขาเล่นไปเล่นมาแล้วก็นอนแผ่หลาลงบนเสื่อไม้ไผ่ แก้มข้างหนึ่งถูกทับจนเนื้อยุ้ย น้ำลายไหลเปรอะพื้น ก้นยกสูง นอนหลับกรนเสียงดัง
“ตื่นแล้วหรือ”
ได้ยินเสียงของชายหนุ่มที่ไพเราะดังมาจากด้านบนศีรษะ
กู้เจียวลืมตาปริบๆ แล้วเงยหน้ามองเซียวเหิง
ท่าเงยหน้านี้ยากเกินไปแล้ว นางบิดคอจนเกือบจะหักอยู่แล้ว
เซียวเหิงรีบลุกขึ้นนั่งที่ขอบเตียง ยื่นมือเรียวยาวดุจหยกมาแตะหน้าผากนางเบาๆ “ไม่ร้อนแล้ว”
สายตาของกู้เจียวยังคงพร่าเลือนอยู่บ้าง แต่เมื่อได้เห็นท่าทางห่วงหาอาทรของเขาก็อดยิ้มไม่ได้ แววตาเป็นประกายขึ้นมา
“เจ้าก็อยู่ด้วยหรือ” นางเอ่ย
เซียวเหิงถอยมือกลับ ถอนหายใจอย่างไม่ค่อยพอใจ “เจ้าก็อยู่ด้วยหรือหมายความว่าอย่างไร นี่เจ้ามองไม่เห็นข้าเลยหรือ”
กู้เจียวเอ่ยอย่างจริงจัง “เป็นเจ้าที่นั่งไม่ถูกที่ต่างหาก นั่งสูงเกินไป ข้าต้องกลอกตาขึ้นถึงจะมองเห็นเจ้า”
เซียวเหิงได้ยินนางเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ เรียงลำดับความคิดอย่างมีเหตุผล รู้ได้ทันทีว่านางไม่เป็นอะไรมากแล้ว
นางเปียกฝนในการแข่งขันรอบสุดท้าย หลังจากถูกส่งกลับตำหนักกั๋วซือแล้วก็มีไข้สูงสามวันสามคืน เมื่อเช้านี้เพิ่งจะหายไข้ ในขณะนี้เป็นเวลาบ่าย
“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”
“ราชาม้าเฮยเฟิงเป็นอย่างไรบ้าง”
ทั้งคู่เอ่ยออกมาพร้อมกัน
เซียวเหิงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ราชาม้าเฮยเฟิงไม่เป็นไร นั่นไง”
เขาเอ่ยพลางยกมือชี้ไปทางหน้าต่าง
กู้เจียวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แต่น่าเสียดายที่มุมนี้มองไม่เห็น
เซียวเหิงพยุงนางให้ลุกขึ้นนั่งอย่างเบามือ
คราวนี้ทุกอย่างก็อยู่ในสายตาของนางแล้ว
ราชาม้าเฮยเฟิงฟื้นตัวได้ดีไม่เลว มีผ้าพันแผลพันอยู่รอบตัว ตอนนี้กำลังนอนพักอยู่ใต้ต้นไม้ในลานบ้าน
ราชาม้าก็ตามหลังมันต้อยๆ ไม่ห่าง กำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน เหมือนกับเด็กน้อยที่ตื่นเต้น วิ่งไปวิ่งมา
เขารู้ว่านางจะต้องเป็นห่วงราชาม้าเฮยเฟิง ดังนั้นเขาจึงพาราชาม้าเฮยเฟิงมาไว้ในลานบ้าน เพื่อให้นางได้เห็นมันทันทีที่ตื่นขึ้นมา
“ดีจริงๆ ” กู้เจียวยิ้มมุมปาก
กู้เจียวมองดูราชาม้าเฮยเฟิง ราชาม้าเฮยเฟิงก็มองดูกู้เจียว
มิตรภาพอันมิต้องเอื้อนเอ่ยสื่อถึงกันทางสายตาของคนกับม้าคู่ใจ
กู้เจียวเข้าใจแล้วว่ามันไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ
ราชาม้าเฮยเฟิงก็เข้าใจแล้วว่ากู้เจียวไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ
กู้เจียวหยุดเอ่ยครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “แล้วกู้ฉังชิงเล่า เขาไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
กู้ฉังชิงต่อสู้กับฉีเซวียน ฉีเซวียนเป็นยอดฝีมือจากสำนักถัง และนำพาหน่วยกล้าตายจากตระกูลหันมาด้วยหลายนาย
เซียวเหิงเอ่ยกับนาง “บาดเจ็บเล็กน้อย ไม่เป็นอะไรมาก เจ้าไม่ต้องกังวล อีกอย่าง ฉีเซวียนตายแล้ว”
คนที่พยายามทำร้ายกู้เจียวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่อให้กู้ฉังชิงต้องตายไปพร้อมกับเขาก็ไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายมีชีวิตรอด
ส่วนพวกหน่วยกล้าตายของของตระกูลหันก็ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่รอดชีวิต
“นอกจากนี้ กู้ฉังชิงขอให้ข้าเตือนเจ้าว่า จวินซิวหันเป็นยอดฝีมือ”
ที่กู้ฉังชิงสามารถฆ่าฉีเซวียนได้อย่างง่ายดาย สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งเป็นเพราะจวินซิวหันจัดการพวกหน่วยกล้าตายของตระกูลหันได้
กู้ฉังชิงไม่ต้องพะวง ถึงแสดงฝีมือการต่อสู้ออกมาได้เต็มกำลัง
“จวิน…ซิว…หัน…” กู้เจียวพึมพำและครุ่นคิด
“ข้าติดหนี้บุญคุณใครคนหนึ่ง ตอนนี้จะชดใช้ให้เจ้า”
จวินซิวหันติดหนี้ใครกันแน่
แล้วเหตุใดถึงต้องชดใช้นาง
“เจ้าไม่เป็นห่วงตัวเองหน่อยหรือ” เซียวเหิงมองนางด้วยสายตาจริงจัง
“ฮะ” กู้เจียวตกใจเล็กน้อย “ข้าเป็นอะไรหรือ”
เซียวเหิงสูดหายใจเข้าลึก บอกตัวเองว่าห้ามโกรธ “เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ามีไข้สูงสามวันแล้ว ตาก็เกือบจะบอดแล้ว”
กู้เจียวมึนงงไปชั่วครู่ พยักหน้าเบาๆ “อืม ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นสินะ ถ้าเจ้าไม่เอ่ย ข้าก็ลืมไปแล้ว นายท่านห้าหันใช้แผนชั่วร้ายทำให้ข้าโดนพิษ แต่ตอนนี้ข้ามองเห็นแล้ว”
แต่มองเห็นไม่ชัดเท่าไรนัก
เซียวเหิงเอ่ย “อาจารย์แม่หนาถอนพิษให้แล้ว ตาเจ้าจะค่อยๆ หายดีเอง แต่ระหว่างนี้ อย่าออกไปไหนเองนะ”
กู้เจียวอ้าปากค้าง
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะถามอะไร” เซียวเหิงเข้าใจนางเป็นอย่างดี รู้ว่านางไม่เป็นห่วงตัวเองสักเท่าไร แต่กลับไปเป็นห่วงคนอื่นเสียหมด
เซียวเหิงเอ่ย “ยาแก้พิษของกู้ฉังชิงก็ใกล้จะปรุงเสร็จแล้ว พิษนั้นไม่ได้ยากที่จะแก้ เพียงแต่มีสมุนไพรบางชนิดที่ต้องตากให้แห้ง อีกสามวันถึงจะไปรับยา ยามนี้วางใจได้หรือยัง”
กู้เจียวอ้าปากเอ่ยอีกครั้ง
เซียวเหิงถอนหายใจ
“ไม่มีผู้ใดจับได้”
“ไม่มีผลข้างเคียง”
“ทุกอย่างจะออกมาดี”
กู้เจียวพยักหน้าเบาๆ เอ่ยอย่างมีความสุข “ท่านแม่อาจารย์เก่งจริงๆ !”
เซียวเหิงทั้งโมโหทั้งขำ ก้มหน้าหัวเราะอย่างจนใจ
ทันใดนั้น เขาจับมือของนางข้างหนึ่งขึ้นมา ยกมือลูบผมข้างแก้มของนางพบางเอ่ย “เจ้าก็เก่งเหมือนกันนะ ผู้บัญชาการของข้า”
กู้เจียวเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “เอ๊ะ”
…
ณ ตำหนักจินหลวน เหล่าขุนนางเสียงแตกเกี่ยวกับการแต่งตั้งเซียวลิ่วหลงเป็นผู้บัญชาการคนใหม่ของค่ายทหารม้าเฮยเฟิง
“ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะสม”
เจ้ากรมเมืองยกแผ่นไม้ฮู่ป่านประจำตัวพลางก้าวออกมา
เจ้ากรมยุติธรรมนามต่งเว่ยเอ่ยถาม “ใต้เท้าซู เรื่องนี้ไม่เหมาะสมอย่างไร”
เจ้ากรมเมืองแซ่ซู ประมุขแห่งตระกูลซู เป็นปู่แท้ๆ ของมู่ชิงเฉิน
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แคว้นต้าเยี่ยนของเราจะแต่งตั้งคนแคว้นเจามาเป็นผู้บัญชาการได้อย่างไร”
ตงเว่ยเอ่ย “ตอนนี้เขาเป็นบุตรบุญธรรมของอันกั๋วกงแล้ว เป็นคนแคว้นเยี่ยนแล้ว”
“ถึงกระนั้นก็ไม่เหมาะสม!” นายใหญ่ซูคัดค้านไม่ยอมถอย
ตงเว่ยประสานมือคำนับฮ่องเต้บนบัลลังก์มังกร พลางเอ่ยกับนายใหญ่ซูด้วยสีหน้าจริงจัง “ฝ่าบาทเป็นผู้เสนอการคัดเลือกผู้บัญชาการค่ายทหารม้าเฮยเฟิงด้วยเพราะองค์เอง ทั้งยังได้รับความเห็นชอบจากทุกตระกูล กฎกติกานั้น ประมุขประจำกูลแต่ละท่าน ขุนนางบู๊บุ๋นนับร้อยต่างกระจ่างแจ้ง ก่อนหน้านี้ก็มิคัดค้าน หลังจากนั้นก็มิคัดค้าน ผลการคัดเลือกออกมาแล้วจึงคัดค้าน คงมิใช่เพราะใต้เท้าซู…แพ้ไม่เป็นหรือไร”
นายใหญ่ซูส่งเสียงฮึ่มเย็นชาขึ้น “ลูกบุญธรรมจะนับได้อย่างไร ไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของอันกั๋วกง!”
ต่งเว่ยยิ้มเล็กน้อย “แต่ข้าจำได้ว่าตระกูลซูก็มีลูกบุญธรรมเข้าร่วมการคัดเลือกเช่นกัน”
ตระกูลซูมีสองที่นั่ง หนึ่งที่นั่งให้มู่ชิงเฉิน อีกที่นั่งหนึ่งยอดฝีมือที่เชิญมา แน่นอนว่ายอดฝีมือไม่ได้มาเพื่อแย่งชิงอันดับหนึ่ง แต่มาเพื่อช่วยให้มู่ชิงเฉินกำจัดคู่ต่อสู้
นี่เป็นวิธีการปกติของการคัดเลือก ทุกคนรู้กันดี แค่หลับหูหลับตาก็เท่านั้น
นายใหญ่ซูพูดไม่ออกเพราะถูกตอกหน้า
ฮ่องเต้ทนไม่ไหวจนตรัสขึ้น “พอได้แล้ว พวกเจ้าหยุดได้แล้ว!”
เสียงดังจนเขาปวดหัว
ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าพวกตระกูลชั้นสูงหัวโบราณรู้สึกหงุดหงิดแค่ไหน เขาเองก็รู้สึกหงุดหงิดเหมือนกัน!
เขาไม่ได้คิดจะให้คนใดคนหนึ่งผ่านด่านเลยตั้งแต่แรก เขาเตรียมที่จะยืดกองทหารม้าเฮยเฟิงกลับมาแล้วเชียว แต่ใครจะไปรู้ว่าจะมีคนผ่านด่านจริงๆ !
เซียวลิ่วหลังผู้นั้นผ่านด่านได้อย่างไรกัน
เขารู้ได้อย่างไรว่าภารกิจที่ซ่อนอยู่ในจดหมายลับคืออะไร
แล้วพวกนายท่านห้าหันกับตระกูลเฟิงทำอะไรกันอยู่ แม้แต่เด็กหนุ่มจากแคว้นเจาก็ยังหยุดยั้งไว้ไม่ได้
เขากลับยอมให้ตระกูลเฟิงยึดอำนาจการทหารไปยังจะดีเสียกว่าปล่อยให้มันตกไปอยู่ในมือของอันกั๋วกง
แต่เขาเป็นประมุขแห่งแคว้น วาจาเป็นทองคำ ตรัสแล้วไม่คืนคำ
เขาวิปลาศ เขาเผด็จการ แต่นั่นก็เป็นเพราะเขามีเหตุผล
เขาเพียงแค่ชอบใช้โทษหนักกับความผิดเบาๆ ไม่ได้หมายความว่าถ้าคนอื่นไม่ได้ทำผิด เขาก็จะหาเรื่องลงโทษได้
นั่นเป็นแผนลับของเขาทั้งสิ้น ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้
“หันเหล่ย” ฮ่องเต้ตรัสขึ้นอย่างหงุดหงิด
“พ่ะย่ะค่ะ” หันเหล่ยยกป้ายฮู้ป่านขึ้นและก้าวไปข้างหน้า
หัวใจของฮ่องเต้กำลังหลั่งเลือด เขากลั้นอารมณ์โกรธที่เดือดพล่านไว้ ตรัสอย่างไม่เต็มใจนัก “ให้ส่งธงผู้บัญชาการ ตราประทับ และตราประจำตัวของค่ายกองทหารม้าเฮยเฟิงไปให้เซียวลิ่วหลังแห่งจวนอันกั๋วกง!”
หันเหล่ยตอบรับอย่างปวดร้าว “พ่ะย่ะค่ะ!”
ตระกูลมู่สูญเสียอำนาจทหารไปสองแสนนาย ตระกูลหันก็สูญเสียทหารม้าม้าเฮยเฟิงห้าหมื่นนายเช่นกัน
…
กู้เจียวลุกจากเตียง
ตำหนักกั๋วซือไม่มีศิษย์หญิง เสื้อผ้าของนางกำนัลช่วงไม่กี่วันนี้ ล้วนแต่เป็นนางกำนัลของซ่างกวานเยี่ยนมาเปลี่ยนให้
วันนี้นางกำนัลไม่อยู่ เซียวเหิงจึงได้มีโอกาสดูแลภรรยาสักครั้งหนึ่ง
กู้เจียวนั่งอยู่บนเตียง เซียวเหิงยืนอยู่ข้างหลังนาง กำลังผูกผ้าคาดผมให้นาง
นางแต่งตัวเป็นเด็กหนุ่ม เพียงแค่ใช้ผ้าคาดผมผูกผมเบาๆ ก็เรียบร้อยแล้ว
แต่มือนี่สิ…
กู้เจียวมองดูมือของตัวเองสองข้างที่พันด้วยผ้าหนาอย่างหงุดหงิด “มันมากเกินไปหรือเปล่า”
เซียวเหิงเอ่ย “กั๋วซือเป็นคนพันให้เอง เขาบอกว่าไม่มากเกินไป”
กู้เจียวปากเบะ
เซียวเหิงไม่ได้เอ่ยอะไรเพราะมือของนางดึงเชือกบังเหียนมาเป็นเวลานาน ฝ่ามือของเธอก็ถูกบาดลึกจนเป็นแผล เนื้อและเลือดปนเปจนมองไม่ออก แห้งกรังก็ติดกับเชือกบังเหียน หมอเองก็ไม่รู้จะทำอย่าไร จึงตัดเชือกบังเหียนออกโดยตรง ทั้งคนทั้งม้าถูกส่งมายังตำหนักกั๋วซือเพื่อรอให้กั๋วซือรักษา
เหตุใดจึงส่งมาตำหนักกั๋วซือน่ะหรือ ก็เพราะว่ากั๋วซือเคยบอกว่ายินดีให้การรักษาแก่ทหารม้าที่ได้รับการคัดเลือก
ถ้าได้รับบาดเจ็บก็ส่งมาตำหนักกั๋วซือก็ถูกแล้ว
กู้เจียวตอนนั้นหมดสติไปแล้ว จำอะไรไม่ได้เลย
ก็โชคดีที่หมดสติไป ไม่เช่นนั้นคงทรมานน่าดู
เสี่ยวจิ้งคงถูกอุ้มมานอนบนเตียง เปลี่ยนเป็นท่านอนหงายท้องก่อนจะนอนกรนต่อ แก้มข้างหนึ่งยังมีรอยกดทับจากเสื่อไม้ไผ่
กู้เจียวมองดูเขา มองดูราชาม้าเฮยเฟิงกับราชาม้าในลานบ้าน ก่อนจะมองดูเซียวเหิงที่ยืนอยู่ข้างกันด้วยสายตาอ่อนโดย
ภายในห้องเงียบสงบ ทว่าข้างนอกนั้นเสียงดังครึกโครม
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางถึงได้รู้สึกสุขใจและปลอดภัยเหลือเกิน
นางใช้มือที่ถูกพันเป็นอุ้มมือหมีของนางเปิดผ้าห่มผืนบางที่คลุมตัวนางอยู่ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วลงจากเตียง
นางเดินไปได้เพียงก้าวเดียว ขาทั้งสองข้างก็อ่อนแรงแล้วล้มลงในทันที
เซียวเหิงรีบยื่นมือไปคว้านางเอาไว้ ทว่านางล้มลงเร็วเกินไป ทั้งยังไม่ทันได้ตั้งตัว เขาจึงรับนางไว้ไม่ทัน ทำได้เพียงกระโดดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว โอบกอดนางแล้วหมุนตัวล้มลงไปด้วยกัน
เขาล้มลงอย่างแรงบนพื้นเย็นแข็ง
“ไม่เป็นไรใช่ไหม”
เขากอดนางแน่นพลางเอ่ยถาม
กู้เจียวนอนคร่อมอยู่บนตัวเขาส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไร เจ้าเล่า เจ็บไหม ข้าหนักไหม”
เซียวเหิงยังคงกอดนางไว้แน่น มือข้างหนึ่งโอบรอบเอวนาง อีกข้างหนึ่งโอบรอบศีรษะเอาไว้
เขายิ้มบาง “ข้าไม่เจ็บ อีกอย่าง เจ้าก็ไม่หนัก”
กู้เจียวถามอย่างแปลกใจ “เหตุเขาข้าถึงอ่อนแรงแบบนี้”
คิดไม่ถึงเลยจริง
เซียวเหิงเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เจ้าใช้แรงมากเกินไปไม่ได้พักทั้งวันทั้งคืน นั่งม้ามาตลอด ขาไม่อ่อนก็แปลกแล้ว”
กู้เจียวยอมรับชะตากรรม พิงศีรษะน้อยๆ ลงบนแผงอกอันแข็งแกร่งของเซียวเหิง พรูลมหายใจยาวพลางเอ่ย “ขาไม่เหมือนเดิมแล้ว แม้แต่นิ้วเท้าก็ขยับไม่ได้ สามีช่างเก่งจริงๆ ”
เซียวเหิงที่เหมือนถูกรถชนแต่ไม่ได้ถูกรถชน “…”
และอวี้เหอที่เพิ่งยกหม้อยาเข้ามาที่หน้าประตู “…”