สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 767 ตัวตนที่แท้จริง
บทที่ 767 ตัวตนที่แท้จริง
กู้เจียวระมัดระวังมากยามอยู่ในตำหนักกั๋วซือ ใช้เสียงเด็กหนุ่มเสมอ
ตัวตนแท้จริงที่เป็นผู้หญิงนั้นไม่ได้ถูกเปิดโปง
แต่แบบนี้สู้ความแตกยังจะดีเสียกว่า!
ผู้ชายสองคนกำลังทำเรื่องเช่นนั้นกัน อวี้เหอแทบจะบ้าอยู่แล้ว
เขาทำผิดอะไร เหตุใดถึงต้องเจอแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเล่า
เขาไม่ได้อยากรู้ความสัมพันธ์ระหว่างพระนัดดาและท่านชายเซียวเสียหน่อย!
แถมเรียกสามีอีกต่างหาก นี่พวกท่านเล่นกันใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ!
อีกอย่าง ท่านชายเซียวที่วรยุทธ์สูงส่งปานนั้น แต่กลับเป็นคนที่อยู่ด้านล่างหรอกหรือ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าท่านได้เป็นผู้บัญชาการคนใหม่ของกองมหารม้าเฮยเฟิงแล้ว หรือว่าที่จะเป็นวิธีการฉลองรับตำแหน่งชื่อเสียงเงินทองของท่าน!
แถมพระนัดดาเองก็ป่วยปางตายอยู่รอมร่อ ไม่รู้จักเบามือสักหน่อยหรือ!
ไม่สิ พวกท่านทั้งคู่น่ะเบามือหน่อย!
คนหนึ่งเป็นคนป่วย อีกคนบาดเจ็บ อะไรมันจะขนาดนั้น!
อวี้เหอไม่กล้าสู่หน้ากู้เจียวและเซียวเหิง เขายืนพิงประตู จะเดินเข้ามาก็ไม่ใช่ จะเดินออกไปก็ไม่เชิง
เซียวเหิงเหลียวมาเห็นอวี้เหอที่ตกตะลึงราวกับฟ้าผ่า
ร่างทั้งร่างของเขาแข็งทื่อ แต่ไม่ได้ผลักกู้เจียวออกไปทันที กลับกอดนางไว้แน่นขึ้น ยกแขนเสื้อขึ้นบังศีรษะน้องของกู้เจียวไว้จนมิด ส่งสายตาบอกอวี้เหอว่าคิดว่าควรจะทำเช่นไรก็แล้วแต่เจ้า
“มีคนมาหรือ” กู้เจียวถาม
“เปล่า” เซียวเหิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ
อวี้เหอกัดปาก พระนัดดานี่พระองค์เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวขนาดนี้แล้ว
คราวที่แล้วท่านยังหน้าแดงอยู่เลย! แถมหลังจากนั้นก็ผละออกจากกันทันที!
คราวนี้ท่านถึงกับทำเหมือนข้าเป็นฟักทอง!
อวี้เหอบ่นอุบอิบอยู่ในใจ แม้แต่บัณฑิตผู้สงบนิ่งอย่างเขายังแทบทนไม่ไหว
อันสิ่งใดไม่ดีงามจงมองข้ามไป อันสิ่งใดไม่ดีงามจงมองข้ามไป
อวี้เหอหลับตาลงอีกครั้งแล้วคลำทางเข้าไปในห้อง วางยาลงบนโต๊ะ แล้วคลำทางออกไปอีกครั้ง
เรื่องแบบนี้พบเจอบ่อยเข้าก็คุ้นชินไปเอง
โชคดีที่เขาไม่ชนเสา
อวี้เหอเดินไปแล้ว เซียวเหิงถึงได้หน้าแดงขึ้นมา
เขาเป็นคนขี้อาย โดนคนเห็นแบบนี้จะนิ่งเฉยได้อย่างไร แต่เมื่อเทียบกับการผลักนางที่ขาอ่อนแรงออกจากตัว สู้ปล่อยให้อวี้เหอเห็นเขายังจะดีกว่า
นึกถึงถ้อยคำของนางเมื่อครู่ เซียวเหิงก็รู้สึกทั้งโมโหทั้งขำ “เหตุใจเจ้าถึงได้ซุกซนเช่นนี้”
กู้เจียวสวมบทบาทในทันใด แสดงสีหน้าและแววตาที่เกินจริงออกมาอย่างมาก นางเอ่ย “ผู้ชายเอ๋ย ไฟที่ตัวเองจุดขึ้น ก็ดับมันเองสิ!”
เซียวเหิง “…”
กู้เจียวมีสมุดบันทึกเล่มเล็ก บันทึกเรื่องราวต่างๆ ไว้มากมาย
เซียวเหิงไม่มีสมุดบันทึก แต่เขาจำทุกอย่างไว้ในใจ
ทุกคำพูดของนางเขาจะทำให้มันเป็นจริง และจะต้องคิดดอกเบี้ย ทบต้นทบดอกเสียด้วย
กู้เจียวไม่รู้เลยว่าสามีของนางได้กลายร่างเป็นหมาป่าจอมเจ้าเล่ห์ ที่เฝ้ารอจะเขมือบนางลงท้องเขาสักวัน
หลังจากกู้เจียวดื่มยาแล้วก็รู้สึกมีกำลังขึ้นมาก ขาก็ไม่อ่อนแรงเหมือนก่อน พอจะเดินได้สองสามก้าว
เซียวเหิงสงสารนางจับใจ จึงเอารถเข็นมาให้นาง
“นั่งสิ” เซียวเหิงเอ่ย
กู้เจียวครุ่นคิดก่อนจะนั่งลง
ครั้งแรกที่ได้นั่ง รู้สึกแปลกใหม่ดีไม่น้อย
ยังไม่ทันเอ่ยจบ เซียวเหิงก็เห็นนางใช้มือหมีที่พันผ้าพันแผลไว้ เข็นรถเข็นไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วบนระเบียงทางเดิน
เซียวเหิง “…”
กู้เจียวเข็นรถเข้ามาในลานบ้าน ลานบ้านเต็มไปด้วยหญ้า ทำให้เข็นรถไม่สะดวกนัก
ราชาม้ากระโดดโลดเต้นวิ่งเข้ามา มองกู้เจียวด้วยความสนใจ
“ช่วยเข็นข้าหน่อย” กู้เจียวเอ่ยกับราชาม้า
ราชาม้าเดินอ้อมมาด้านหลังกู้เจียว และใช้หัวดันหลังรถเข็น ดันกู้เจียวให้มาหยุดอยู่ตรงหน้าราชาม้าเฮยเฟิง
กู้เจียวเงยหน้าขึ้น ยื่นมือออกไป “ลูกพี่”
ราชาม้าเฮยเฟิงยกขาหน้าขึ้นข้างหนึ่ง
ทั้งสองคนจับมือกัน เอ๊ะ จับขาหน้ากัน
ราชาม้าเฮยเฟิงและกู้เจียวต่างก็จำเป็นต้องพักฟื้น ราชาม้าเฮยเฟิงพักฟื้นอยู่ที่ลานบ้านอย่างว่าง่าย แต่กู้เจียวนั้นดื้อไม่น้อย
นางใช้เชือกบังเหียนผูกมัดราชาม้า
นางไม่มีสุนัขลากเลื่อน แต่นางมีม้าลากรถเข็น
ราชาม้าลากกู้เจียววิ่งเล่นในตำหนักกั๋วซือ
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม
รถเข็นของตำหนักกั๋วซือพังแล้ว
ทั้งคนทั้งมานั่งอยู่บนทางเดินในสวนดอกไม้ ข้างกันคือโครงรถเข็นมีกระจุกกระจาย ล้อข้างหนึ่งไม่รู้ปลิวหายไปไหน
เศษหญ้าไม้ใบหญ้าเปรอะไปทั้งตัวคนตัวม้า สีหน้าของทั้งสองดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกันราวกับเป็นภาพสะท้อน
เมื่อเย่ชิงเข็นรถเข็นคันใหม่เข้ามา พอเห็นเศษซากที่กระจัดกระจายเต็มพื้นก็ถึงกับพูดไม่ออก
กู้เจียวเอ่ยแก้ตัวก่อน “รถเข็นของตำหนักกั๋วซือคุณภาพไม่ดี ต่อไปต้องปรับปรุง”
เย่ชิง “…”
เย่ชิงได้ยินอวี้เหอบอกว่าท่านชายเซียวตื่นแล้ว จึงมาดูว่าอีกฝ่ายอาการฟื้นตัวเป็นอย่างไรบ้างแทนอาจารย์ มีอาการแทรกซ้อนหรือไม่ แต่กลับเห็นใครบางคนกำลังลากรถเข็นไปมาในตำหนักกั๋วซืออย่างบ้าคลั่ง
เขาตะโกนเรียกก็ไม่หยุด
จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงดังโครมคราม
เย่ชิงพยุงกู้เจียวขึ้นรถเข็นคันใหม่
กู้เจียวหันไปมองราชาม้า
ราชาม้าพลันร่าเริงขึ้น!
เย่ชิงเหลือบตามองแกมดุ “ท่านชายเซียว ท่านต้องพักผ่อนให้มากนะ ห้ามเดินเถลไถล”
กู้เจียว “อืม”
แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่านางจะหยุด
ทันใดนั้น ราชาม้าเฮยเฟิงก็เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ก่อนจะพาราชาม้าออกไป
ราชาม้าไม่อยากไป แต่ราชาม้ามีอายุเพียงสองขวบครึ่ง สู้ราชาม้าเฮยเฟิงไม่ได้
ในที่สุดเจ้าสองตัวป่วนก็ไปได้เสียที เย่ชิงถอนหายใจโล่งอก บอกได้เลยว่าเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าท่านชายเซียวจะซนขนาดนี้
คนเราอยู่เฉยๆ ไม่ได้เลยหรือ
เย่ชิงเดินอ้อมไปด้านหลังของกู้เจียว ดันรถเข็นสองมือพลางเอ่ยกับกู้เจียว “ข้าจะพาท่านชายเซียวกลับไปที่ตำหนักฉีหลิน”
กู้เจียวรีบเอ่ย “เดี๋ยวก่อน ข้ายังไม่กลับตำหนักฉีหลิน เจ้ารู้ไหมว่าท่านอาจารย์อยู่ที่ไหน”
เย่ชิงตอบ “ท่านอาจารย์อยู่ที่ป่าไผ่”
กู้เจียวพยักหน้าเอ่ย “พาข้าไปหาท่านอาจารย์หน่อย”
ท่านอาจารย์อาจจะไม่อยากพบท่านก็ได้
ท่านอาจารย์ตอนนี้กำลังยุ่งอยู่นะ
เอาละ เดี๋ยวข้าพาท่านไปเดินเล่นในป่าไผ่ก่อนดีกว่า จะได้ไม่ต้องไปรวมตัวก่อเรื่องกับเสี่ยวสื่ออีอีก
เย่ชิงผลักกู้เจียวมุ่งหน้าไปยังป่าไผ่
กู้เจียวยกมือขึ้นบังตา
“ท่านเคืองตาหรือ” เย่ชิงสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของนาง
กู้เจียวเอ่ย “อยู่ในแสงจ้านานๆ แล้วรู้สึกแสบนิดหน่อย”
เย่ชิงเรียกศิษย์คนหนึ่งที่เดินผ่านมา
“ขอรับศิษย์พี่” ศิษย์คนนั้นคำนับด้วยความเคารพ
“ไปเอาร่มมาที” เย่ชิงสั่ง
“ขอรับ!” ศิษย์น้องรีบไปหยิบร่มจากเรือนเล็กที่อยู่ไม่ไกล “ศิษย์พี่ นี่ขอรับ”
เย่ชิงรับร่มมา กางออกแล้วใช้มือข้างหนึ่งถือร่ม อีกข้างหนึ่งเข็นรถเข็น
เขามีวรยุทธ์ เข็นด้วยมือเดียวนั้นมิใช่งานยาก
กู้เจียวแอบคิด เขาช่างใจดี หน้าตาก็หล่อเหลา มีแฟนหรือยังนะ จะแนะนำให้หน่อยดีไหม
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในป่าไผ่ม่วง
ลูกศิษย์ประจำเรือนไม้ไผ่กำลังกวาดลานบ้าน ใบไม้หน้าเรือนนั้นเหมือนจะกวาดอย่างไรก็กวาดไม่หมด กู้เจียวมาที่นี่ทุกครั้งก็มักจะเห็นลูกศิษย์คนนี้กวาดอยู่เสมอ
“ศิษย์พี่!” ศิษย์น้องเห็นเย่ชิงก็วางไม้กวาดลง คำนับอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ทักทายกู้เจียว “ท่านชายเซียว”
“อาจารย์เสร็จงานหรือยัง” เย่ชิงถาม
“ยังขอรับ” ศิษย์ตอบ
เย่ชิงลังเลไปสักครู่ แต่ก็บอกกับศิษย์น้อย “เจ้าไปบอกอาจารย์สักหน่อยว่าท่านชายเซียวมาแล้ว”
“ขอรับ” ศิษย์น้องเก็บไม้กวาด เดินขึ้นบันได ถอดรองเท้าออก แหวกม่านครึ่งผืนแล้วเดินเข้าไปข้างใน
ไม่นานนัก ศิษย์น้องก็ออกมา ก่อนจะหยุดตรงหน้าทั้งสองคนพลางเอ่ยอย่างนอบน้อม “อาจารย์เชิญท่านชายเซียวเข้าไปข้างในขอรับ”
เย่ชิงมองจ้องกู้เจียว
สายตาทั้งสองประสานกัน กู้เจียวสงสัยจึงถาม “เหตุใดมองข้าแบบนั้น”
เย่ชิงเอ่ย “ท่านเป็นคนแรกที่ทำให้อาจารย์ข้าแหกกฎมากมายเช่นนี้”
กู้เจียวลูบคางตัวเอง ว่ากันว่าเพราะข้าและอาจารย์ของเจ้าต่างมาจากอีกมิติหนึ่ง ก็เลยนับว่าเป็นคนบ้านเดียวกันกระมัง
เย่ชิงเข็นรถเข็นเข้าไปในลานบ้าน ศิษย์น้องวางแผ่นไม้บนขั้นบันได เพื่อให้สะดวกในการขึ้นลงของรถเข็น
กั๋วซือไม่ได้อยู่ในห้องโถง
“เข้ามา”
เสียงของกั๋วซือดังออกมาจากห้องหนังสือ
เย่ชิงเข็นนางเข้าไปในห้องหนังสือ เอ่ยกับใต้เท้ากั๋วซือที่กำลังจัดระเบียบตู้สมบัติ “อาจารย์ ศิษย์ขอตัวขอรับ”
“อืม” ใต้เท้ากั๋วซือตอบรับเสียงเรียบ
เย่ชิงหันหลังเดินออกจากห้อง
ห้องหนังสือคล้ายคลึงกับที่กู้เจียวเคยเห็นครั้งล่าสุด มีของเล่นของเด็ก ภาพที่ม้วนเก็บไว้ และตุ๊กตาดินเผาที่ขัดจนเงางาม
ยามนี้กั๋วซือกำลังเช็ดทำความสะอาดตุ๊กตาดินเหนียวตัวหนึ่งอยู่
ตุ๊กตาดินเหนียวที่ตั้งอยู่ต่างหากที่แถวหนึ่งนั้น ดูเหมือนจะพิเศษกว่าใคร
ความสัมพันธ์ระหว่างคนเรานั้นมักจะสนิทสนมยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จากการที่ได้อยู่ร่วมกัน บางสิ่งที่กู้เจียวอาจไม่กล้าถามในอดีต แต่ตอนนี้นางถามออกมาได้อย่างสบายใจ “ตุ๊กตาดินเหนียวทั้งสามตัวนี้คือท่าน เซวียนหยวนลี่ และฮ่องเต้ใช่ไหม”
“ไม่ใช่” กั๋วซือเอ่ย
“ฮะ” กู้เจียวมองเขาด้วยความประหลาดใจ
กั๋วซือหยุดเช็ดตุ๊กตาดินเหนียวพลางเอ่ย “ไม่มีฮ่องเต้”
“อ๋อ มีแค่ท่านกับเซวียนหยวนลี่สินะ” กู้เจียวมองดูตุ๊กตาดินเผาตัวนั้นพลางเอ่ย “ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าคนที่สามารถนั่งอยู่กับท่านและเซวียนหยวนลี่ได้เป็นคนเช่นไร เขาดูพิเศษกว่าผู้อื่น”
“เป็นคนสำคัญมาก เป็นทั้งครูเป็นทั้งสหาย” กั๋วซือเอ่ย
กู้เจียวเลิกคิ้ว ชื่นชมกันไม่น้อย
กั๋วซือวางตุ๊กตาดินเผากลับเข้าขึ้นบนชั้น วางผ้าเช็ดมือในมือลง หันกลับมามองกู้เจียว “ดูท่าจะฟื้นตัวได้ไม่เลวนี่”
กู้เจียวเอ่ย “พอไหว ขาอ่อนแรกนิดหน่อย ตาก็รู้สึกแพ้แสงอยู่บ้าง แล้วก็ใช้มือไม่ได้ แต่อย่างอื่นก็ไม่มีอะไร”
กั๋วซือพยักหน้า “อาการเหล่านี้จะค่อยๆ หายดี แต่เจ้าต้องอยู่ในเรือน อย่าได้ออกไปเถลไถลที่ไหน”
ดูเหมือนว่ากั๋วซือก็ได้ยินข่าวเรื่องมีแข่งรถในตำหนักกั๋วซือแล้วสินะ
กู้เจียวรีบเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้ข้ามาหาท่านมีเรื่องจะคุยด้วย”
“ว่ามา” กั๋วซือเอ่ย
กู้เจียวเอ่ยเสียงจริงจัง “เรื่องที่เท่านเคยสัญญากับข้าเมื่อคราวก่อน ท่านบอกว่าถ้าหากข้าคว้ากองทหารม้าเฮยเฟิงมาได้ ท่านจะบอกความจริงทั้งหมดกับข้า ตอนนี้ถึงเวลาที่ท่านต้องทำตามคำสัญญาแล้ว”
ใต้เท้ากั๋วซือหยิบม้วนภาพขึ้นมา หลังจากค่อยๆ คลีออกจึงเห็นว่าเป็นภาพเหมือนของจิ่งยินยิน
เขามองดูภาพวาดพลางเอ่ย “ครั้งก่อนเจ้าถามข้าว่าข้ากับจิ่งยินยินมีความสัมพันธ์กันอย่างไร แต่ข้าคิดว่า เจ้าพยายามอย่างเต็มที่ น่าจะไม่ใช่เพียงเพื่อที่จะรู้ว่าข้ากับจิ่งยินยินมีความสัมพันธ์กัน เจ้าน่าจะอยากรู้เรื่องจิ่งยินยินมากกว่า”
กู้เจียวก็เหลือบมองภาพวาดนั้นแวบหนึ่ง พลางเอ่ย “ใช่แล้ว ข้าอยากรู้เรื่องจิ่งยินยินมาก”
ใต้เท้ากั๋วซือเงยหน้าขึ้น มองนางด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน พลางเอ่ย “เจ้าไม่เคยคิดบ้างหรือว่าเหตุใดเจ้าถึงอยากรู้เกี่ยวกับคนแปลกหน้าคนหนึ่ง”
คำถามนี้ทำให้กู้เจียวที่ถูกถามอึ้ง
ใช่แล้ว เหตุใดนางถึงจะสนใจจิ่งยินยิน
กั๋วซือใหญ่เอ่ย “เจ้าคือจิ่งยินยิน”
กู้เจียวตกตะลึงเล็กน้อย
กั๋วซือใหญ่ไม่ได้พิรี้พิไร ไม่อ้อมค้อม บอกความจริงกับนางอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าคือจิ่งยินยิน จิ่งยินยินคือเจ้า”
กู้เจียวกระพริบตาเอ่ย “นี่เป็นไปได้อย่างไร”
ใต้เท้ากั๋วซือเก็บภาพวาดอย่างดีแล้ววางไว้ที่เดิมพลางเอ่ย “ลองคิดถึงกล่องยาของเจ้าและประสบการณ์ของเจ้าสิ มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีกไหม”
กู้เจียวนิ่งเงียบไป
กล่องยาใบน้อยนั้น แท้จริงแล้วสามารถทะลุม่านแห่งกาลเวลาไม้
ส่วนเรื่องที่ว่านางเป็นจิ่งยินยินมาก่อนหรือตัวเองในอดีตชาติ เรื่องนั้นไม่ต้องสงสัย
นางได้รับกล่องยาเล็กน้อยนั้นมาจากการภารกิจหนึ่งในชาติก่อน กล่องยานั้นเดิมทีเป็นของอาจารย์พ่อ อาจารย์บอกว่ากล่องยาหน้าตาน่าเกลียด เขาไม่อยากได้ จึงยกให้นาง
กู้เจียวครุ่นคิด พลางเอ่ย “ไม่สิ ถ้าข้าเป็นจิ่งยินยิน เหตุใดข้าถึงไม่มีความทรงจำของจิ่งยินยินเลยเล่า”
กั๋วซือเอ่ย “คลื่นสมองเสียหายระหว่างการข้ามเวลา ส่งผลต่อความทรงจำของเจ้า”
กั๋วซือเอ่ยต่อ “เซวียนหยวนจื่อถูกวางยาพิษขณะตั้งครรภ์ เป็นยาพิษที่ร้ายกาจมาก หากได้รับพิษเข้าไปจะถึงตาย ข้าใช้วิธีมากมายกว่าจะแก้พิษของเซวียนหยวนจื่อได้ แต่น่าเสียดายที่พิษที่เข้าสู่ร่างกายของทารกนั้นไม่สามารถรักษาได้ ทารกเกิดมาก็เสียชีวิตทันที แต่หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม เหตุการณ์มหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ทารกคนนั้นกลับฟื้นขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์”
“ทารกที่รอดชีวิตก็คือข้าเอง…” กู้เจียวมองไปที่กั๋วซือ “แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นใคร”
ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ยอย่างรวบรัด “กล่องยา วิชาการแพทย์ และนิสัย”
กู้เจียวลูบคางตัวเอง “อืม”
ใต้เท้ากั๋วซือมองนางอย่างประหลาดใจ “อะไรของเจ้า เหตุใดถึงได้สงบนิ่งเพียงนี้”
กู้เจียวผายมือยักไหล “หรือจะให้ข้าร้องตกใจ ว้าว พระเจ้า ข้ายังเป็นจิ่งยินยิน ข้าเดินทางข้ามเวลามาแล้วไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งแล้ว!”
กั๋วซือเอามือกุมหน้าผาก
ช่วยหยุดท่าทางเกินงามของเจ้าเสียที!
คร้านจะเห็นนัก!
กู้เจียวเข็นรถเข็นมาหากั๋วซือ ยื่นมือที่หมีของตัวเองออกมาคว้าเอาภาพวาดมาวางบนตักแล้วเปิดออก
นางมองดูภาพวาดเด็กหญิงตัวน้อยบนภาพ แล้วเลิกคิ้วขึ้นเอ่ย “มิน่าล่ะ ข้าถึงได้รู้สึกว่าน่ารักจริงเชียว”
ใต้เท้ากั๋วซือ “…”
กู้เจียว “เอาละ ท่านให้คำตอบกับข้าแล้ว ข้าจะกลับแล้ว”
ใต้เท้ากั๋วซืออยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่อดกลั้นเอาไว้
กู้เจียวหมุนรถเข็นของตัวเองแล้วออกจากเรือนไม้ไผ่น้อย
สีหน้าของนางดูเคร่งขรึมขึ้นมาในทันใด
นางจะไม่ตกใจได้อย่างไร
แต่นางไม่สามารถแสดงอารมณ์ใดๆ ต่อหน้ากั๋วซือ
ท้ายที่สุดแล้ว เขาเป็นคนแทงข้างหลังตระกูลเซวียนหยวน นางไม่สามารถไว้ใจเขาได้อย่างเต็มที่
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
นางกลายเป็นจิ่งยินยิน นางจำเรื่องนี้ไม่ได้เลย
เป็นไปได้ไหมว่าเขากำลังหลอกนางอยู่