สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 77 คำสาบาน
ขณะที่ขุนนางอำเภอเพิ่งจะเดินออกไป หวงจงก็มาถึงพอดี
“ท่านโหว! โหวเย่ขอรับ!”
“ไฉนมีแค่เจ้าคนเดียว แล้วเด็กล่ะ”
“ข้าน้อยเกือบโดนหลอกแล้วขอรับ! ไม่ใช่พวกเขาขอรับ!” หวงจงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ท่านโหวฟัง “โชคดีที่ข้าเจอพ่อหนุ่มกู้เสี่ยวซุ่นเสียก่อน ไม่อย่างนั้นได้พาคนมาผิดอีกแน่ๆ !”
ท่านโหวกู้โมโหสุดขีด พลางคิดในใจ ก็ดี สงสัยพวกมันคงไม่อยากมีชีวิตอยู่กันแล้วสินะ! เดี๋ยวข้าจะจัดการพวกมัน!
“หูหนวกรึไง ข้าถามเจ้าอยู่นะ” ท่านโหวกู้ถลึงตาใส่หวงจง
หวงจงเบ้ปาก พลางคิดในใจ ตอนแรกยังลังเลอยู่เลยนี่นาว่าจะพาเด็กกลับไปดีไหม ไหงตอนนี้มาเร่งเขาเสียอย่างนั้น
หวงจงคว้ารูปปั้นไม้แกะสลักออกมา พลางเอ่ย “พ่อหนุ่มเสี่ยวซุ่นให้ข้ามา บอกว่านี่คือคุณหนูที่พวกเราตามหาขอรับ!”
เสี่ยวซุ่นเคยมอบรูปปั้นไม้แกะสลักให้กับมารดาของเจ้าสำนักไปแล้ว จากนั้นเขาก็แกะสลักอันใหม่เพิ่ม แต่ก็ไม่ทันได้มอบให้กู้เจียวสักที
ครั้งนี้หวงจงไม่ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้กู้เสี่ยวซุ่นฟัง บอกแค่ว่าเจ้านายของเขาต้องการขอบคุณกู้เจียวเลยจะพานางเข้าไปในเมืองเพื่อพบกับเจ้านายของเขา กู้เสี่ยวซุ่นกลัวว่าจะเหมือนครั้งก่อนที่มีคนมาขอบคุณเขาผิดคน เลยมอบไม้แกะสลักให้หวงจงไปแทน
ท่านโหวกู้ได้แต่คิดสงสัยว่าไม้แกะสลักนี้รูปร่างคุ้นตายิ่งนัก
“ยังขาดบางอย่างไปนะขอรับ” หวงจงคว้าอะไรบางอย่างออกมา มันคือแผ่นแป้งสีแดง จากนั้นก็ติดลงไปบนใบหน้าของรูปปั้นไม้แกะสลัก “เสี่ยวซุ่นบอกว่า คุณหนูมีรอยปานแดงบนใบหน้าขอรับ”
รอยปานแดงบนใบหน้างั้นรึ…
และแล้วท่านโหวกู้ก็นึกออกจนได้ว่าเหตุใดเขาถึงได้รู้สึกคุ้นตานัก นี่มันยัยเด็กนั่นที่เขาเพิ่งสั่งให้ไปตามจับมามิใช่รึ
“นี่เจ้าเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า” ท่านโหวกู้ขมวดคิ้วถาม
“ครั้งนี้ ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอนขอรับ!” เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเข้าใจผิดอีก เขาจึงไล่ถามคนในหมู่บ้าน นางเป็นบุตรสาวของกู้ซานหลังจริงๆ !
ท่านโหวกู้รู้สึกราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมาที่กลางศีรษะ จนเกือบจะล้มทั้งยืน
หวงจงสังเกตเห็นว่าท่านโหวมีท่าทีแปลกไป จึงเอ่ยถามอย่างกังวล “ท่านโหวเป็นอะไรไปขอรับ ท่านคงไม่รังเกียจหน้าตาของนางหรอกใช่ไหมขอรับ พ่อหนุ่มเสี่ยวซุ่นบอกว่าถึงแม้นางจะมีรอยปานแดงบนหน้า แต่ไม่ได้ดูน่าเกลียดเลยสักนิดนะขอรับ!”
ในสายตาคนรักเห็นเป็นไซซี ส่วนในสายตาน้องพี่เห็นเป็นนางฟ้า กู้เสี่ยวซุ่นไม่เคยมองพี่สาวตัวเองว่าเป็นคนอัปลักษณ์เลยสักครั้ง
ขณะที่หวงจงกำลังรอคำตอบจากท่านโหวกู้ แต่ในชั่วพริบตาเดียว เขาก็พบว่า ท่านโหวกู้ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว!
แน่นอนว่าท่านโหวกู้รีบไปตามตัวกู้เจียว ใครจะไปนึกไปฝันเล่าว่านางเด็กบ้านั่นจะเป็นคนที่เขาตามหามาตลอด!
นี่เขามัวแต่ทำอะไรอยู่นะ
เขาจะส่งลูกตัวเองไปนอนในคุกอย่างนั้นรึ!
นางจะยอมรับหรือไม่ค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้ ต้องตามตัวมาให้ได้ก่อน!
พอท่านโหวกู้มาถึงศาลาว่าการอำเภอ ขุนนางอำเภอและคนอื่นๆ ก็เพิ่งจะมาถึงเช่นกัน
ท่านโหวกู้พอมาถึงก็รีบแสดงตัวตน ขุนนางอำเภอเมื่อได้เห็นดังนั้นจึงรีบทำความเคารพเขา แต่ท่านโหวกู้ไม่ได้สนใจขุนนางอำเภอเลยสักนิด กลับพุ่งตรงไปที่รถม้าที่คาดว่าเป็นคนที่ใช้จับกู้เจียว
และสิ่งที่คาดฝันก็เกิดขึ้น รถม้าคนนั้นว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาปรากฏ!
ท่านโหวกู้หันไปค้อนแล้วเอ่ยถาม “ไหนล่ะ”
ขุนนางอำเภอพอได้เห็นดังนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก นั่นสิน่ะ ไปไหนแล้วล่ะ เมื่อครู่ยังเห็นพวกเขาอยู่ในรถม้าดีๆ ระหว่างทางที่มาก็แทบไม่ได้หยุดพักที่ไหนเลย แล้วพวกเขาออกไปยังไงล่ะ
หรือว่า เด็กสาวคนนั้นจะเป็นนักหลบหลีก
ขุนนางอำเภอทำท่าปาดเหงื่อ พลางเอ่ย “เป็น เป็นความบกพร่องของข้าน้อยเองขอรับ ข้าน้อยจะรีบส่งคนไปจับมาเดี๋ยวนี้!เอาโทษให้หนักเลย! ดูซิว่าจะยังกล้าหนีอีกไหม!”
เป็นแค่ขุนนางก๊อกแก๊ก บังอาจลงโทษหนักกับคนที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนงั้นรึ ท่านโหวกู้หมดความอดทน “บ้าไปแล้วรึ! พวกเขาเป็นแค่เด็กสองคน พวกเจ้ายังมีหน้าไปจับเขาอีก แถมยังจะลงโทษสถานหนักให้อีก!คิดว่าตัวเองประเสริฐนักแล้วทำไมไม่ขึ้นสวรรค์ไปล่ะ!”
ขุนนางอำเภอทำหน้างง “มิใช่ท่านหรอกหรือที่ให้นายตรวจไปตามจับนาง”
ท่านโหวกู้ย่ำเท้าเข้าไปข้างหน้า พลางเอ่ย “ข้าให้เจ้าไปจับแล้วเจ้าจะทำตามหมดทุกอย่างเลยไง ใครกันที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่คอยปกป้อง คอยเป็นด่านหน้าให้ผู้คน ถ้าเอาแต่ประจบสอพลอแบบนี้ แล้วจะมีพวกเจ้าไว้เพื่ออะไร”
ขุนนางอำเภอ “…”
แสงพลบค่ำมาบรรจบกัน และดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าดวงสุดท้ายก็หายไป ท้องฟ้าเป็นสีเทาและมืดครึ้ม
กู้เจียวจูงมือเณรน้อยเดินไปตามถนนที่ไร้ซึ่งผู้คน
แม้จะอดกินขนมกุ้ยฮวา แต่ก็ยังมีถังหูลู่อยู่
เรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ได้สร้างความตกอกตกใจให้เลยแม้แต่นิด เณรน้อยคว้าแท่งถังหูลู่มาจากนั้นก็เอาเข้าปากอย่างตั้งอกตั้งใจ
กู้เจียวเอ่ยถามเขาอย่างอดไม่ได้ “กลัวไหม”
“หืม” เณรน้อยจิ้งคงที่กำลังเพลิดเพลินกับการเลียถังหูลู่อยู่ จากนั้นก็หันมาทำตาปริบๆ ใส่กู้เจียว พอรู้ว่ากู้เจียวถามอะไร ก็รีบแย้งขึ้น. “ไม่กลัว!”
เขาพูดตามนั้น
กู้เจียวรับทราบคำตอบ
ไม่กลัวก็ดีไป
ทักษะการเอาตัวรอดคือสิ่งที่กู้เจียวเรียนรู้เป็นอย่างแรก ใครจะมาดีมาร้ายยังไงนางไม่สน แต่พออยู่กับเณรน้อยจิ้งคงแล้ว ดูเหมือนนางจะเริ่มตระหนักได้มากขึ้น
จะปล่อยให้เด็กอายุแค่นี้เข้าไปในคุกได้อย่างไรกัน
ขณะที่กู้เจียวกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะสอนบทเรียนให้กับจิ้งคงน้อยยังไงดี จิ้งคงก็เข้ามาคว้ามือเธอแล้วแกว่งไปมา พลางเอ่ย “เจียวเจียว เจ้าเก่งมากเลย!”
“อือ” กู้เจียวรับคำชมของเด็กน้อย
จิ้งคงเอ่ยต่อ “ข้าอยากเป็นคนเก่งบ้าง! เอาให้เก่งกว่าเจียวเจียวเลย! เจียวเจียวจะได้ไม่ต้องเก่งไปมากกว่านี้!”
“หือ” กู้เจียวชะงักฝีเท้า หันมามองจิ้งคงด้วยสีหน้างุนงง
เณรน้อยเงยหน้าขึ้น มองเข้าไปที่นัยน์ตาของกู้เจียวด้วยดวงตากลมโตแฝงไปด้วยความไร้เดียงสาของเขา “เจียวเจียวลำบากมามากแล้วสินะ ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า คนที่เก่งๆ มักจะผ่านความยากลำบากมาหลายอย่าง เส้นทางข้างหน้าก็ยังต้องผ่านความลำบากต่อไปด้วยเช่นกัน”
ที่จริงแล้วเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนเก่งๆ ถึงต้องลำบาก แต่พระอาจารย์บอกเพราะว่าคนส่วนใหญ่ตั้งเป้าหมายว่าจะขึ้นเขา คนที่ขึ้นเขาล้วนต้องผ่านความลำบาก ลงเขาต่างหากที่สบาย
นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิตของนางที่มีคนถามว่าลำบากหรือไม่
กู้เจียวเริ่มเข้าทำงานในองค์กรตั้งแต่แปดขวบ แส้เอย ช็อตไฟฟ้าเอย การทรมานร่างกายรูปต่างๆ …ต้องฝึกแบบนี้ทุกๆ วันจนหมดแรง พวกเขาเอาแต่กังวลว่านางจะทำภารกิจต่อไปได้ไหม ไม่ได้สนใจสักนิดว่านางลำบากแค่ไหน
กู้เจียวจึงไม่รู้ว่าควรตอบกลับไปอย่างไนดี
จิ้งคงนึกย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ก็ทำหน้าละเหี่ยใจแล้วกุมขมับ “ข้า…ทำให้เจ้าลำบากหรือเปล่า”
กู้เจียวคิดไม่ถึงว่าจิ้งคงน้อยจะเอ่ยคำถามนี้ออกมา ยื่นมือไปลูบศีรษะอันเงาลื่นของเขา “ไม่หรอก ไม่เห็นจะลำบากตรงไหนเลย”
“จริงรึ” จิ้งคงทำหน้าตะลึง
กู้เจียวสัมผัสได้ถึงสีหน้าแววแสนตากังวลของจิ้งคงน้อย เด็กคนนี้ภายนอกเผินๆ ก็คือเจ้าตัวแสบจอมซนคนหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วข้างในเขาอ่อนไหวง่ายกว่าใครเพื่อนเลย
กู้เจียวพยักหน้าอย่างหนักแน่น “อือ จริงสิ”
จิ้งคงน้อยเริ่มเผยรอยยิ้มให้เห็นอีกครั้ง เขาเอามือตบเข้าไปที่หน้าอก จากนั้นเอ่ยคำมั่นสัญญาขึ้น “ เจียวเจียว รอข้าโตกว่านี้ก่อนนะ แล้วข้าจะแบกเจ้าขึ้นเขาเอง!”
ในเมื่อคนเก่งๆ มักจะขึ้นไปบนยอดเขา เขาก็จะแบกกู้เจียวขึ้นไปบนยอดเขาเช่นกัน!
เจียวเจียวจะได้ไม่ต้องลำบาก ให้เขาเป็นคนลำบากแทนไงล่ะ!
กู้เจียวไม่เข้าใจเรื่องที่เณรน้อยพูดขึ้นเขาลงเขาอะไรนั่น แต่นางรับรู้ได้ถึงความห่วงใยจากเขา
กู้เจียวย่อตัวลง พลางเอานิ้วจิ้มเข้าไปที่ปลายจมูกของจิ้งคง
กู้เจียวในขณะนี้อาจจะยังไม่รู้ว่า คำมั่นสัญญาของเด็กสามขวบในวันนี้ จะเกิดขึ้นจริงในอนาคต
ใครจะไปคาดคิดล่ะว่าเณรน้อยตัวเล็กๆ คนนี้โตขึ้นจะได้กลายเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรแห่งอาณาจักรทั้งหก และไม่มีใครกล้าแตะต้องนางได้
พอกลับถึงหมู่บ้าน จิ้งคงน้อยก็ผล็อยหลับน้ำลายยืดในอ้อมอกของกู้เจียวเสียแล้ว
หน้าหมู่บ้านมีรถม้าสองคันจอดอยู่ กู้เจียวไม่ได้สนใจ แต่พอนางเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็พบว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ข้างรถม้า
แล้วก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นท่านโหวกู้ คนเดียวกับที่ออกคำสั่งให้จับพวกเขาเข้าคุก