สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 770 ความลับของตระกูลหัน
บทที่ 770 ความลับของตระกูลหัน
ณ จวนตระกูลหัน
แผ่นฟ้าสีมืดเริ่มปกคลุม เหล่าคนใช้ที่เรือนต่างพากันจุดเทียนเพื่อเพิ่มแสงสว่างตามห้องและโถงทางเดิน
นายท่านหันห้ากำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้อง
ถัดมาอีกห้อง ในนั้นมีนายใหญ่หัน หันเหล่ย และนายท่านสามอยู่
หันเหล่ยเดินขมวดคิ้วพร้อมกับเอามือไขว้หลังวนไปวนมาอยู่ในห้อง
จนในที่สุด นายท่านสามเริ่มหมดความอดทน “ท่านพี่ ได้โปรดหยุดเดินไปมาเสียที ข้าจะตาลายเอา!”
“ก็ออกไปที่อื่นสิ ถ้าอยู่ไม่ได้นักละก็!” หันเหล่ยโต้กลับอย่างไม่เกรงใจ
นายท่านสามหรี่ตาไปทางนายใหญ่ที่กำลังพักสายตา ก่อนจะบ่นอุบอิบ “ก็อยากออกอยู่หรอก แต่ถ้าข้าไม่อยู่ดูแลนายท่านห้าประเดี๋ยวจะโดนเล่นงานเอา”
เป็นอีกครั้งที่ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ในที่สุดพวกเขาก็ได้ยินเสียงหายใจเฮือกยาวดังขึ้นจากห้องของนายท่านห้า
“เสียงนายท่านห้านี่!” หันเหล่ยเบิกตากว้าง
นายใหญ่ลืมดวงตาฉายประกายคบกริบขึ้นพร้อมเอ่ยเสียงทุ้ม “พวกเจ้าไปดูที”
“ขอรับ ท่านพ่อ” หันเหล่ยน้อมรับคำสั่ง
หันเหล่ยกับนายท่านสามจึงมุ่งหน้าไปที่ห้องข้างๆ
พอเข้ามาด้านใน ก็พบว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนอกจากนายท่านห้าที่กำลังนั่งสมาธิเพื่อฟื้นฟูร่างกาย
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่กู้เจียวที่ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้เท่านั้น แม้แต่นายท่านห้าเองก็เกือบจะได้ไปเยือนประตูยมโลกแล้ว
หันเหล่ยรีบมาที่เตียงอย่างรวดเร็ว “น้องห้า เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
นายท่านหันสูดลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ ก่อนจะลืมตาแล้วเอ่ยตอบ “ดีขึ้นเยอะแล้ว”
หันเหล่ยยังคงกังวลเล็กน้อย เขามองเขาขึ้นลงพลางเอ่ย “ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า เรียกหมอมาดูอาการก่อนดีไหม”
หันเหล่ยไม่รู้จะเอ่ยอะไรต่อ
จริงอย่างที่เขาว่า อาการของหันฉือนั้นไร้หนทางการรักษา แต่ถึงอย่างไร เขาสามารถฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็ว
เรื่องนี้ต้องเล่าย้อนกลับไปตอนหันฉืออายุราวสิบเอ็ดสิบสองขวบ เขาเดินทางออกล่าสัตว์พร้อมกับคนอื่นๆ ในตระกูล แต่ระหว่างที่แยกกันกับคนอื่นดันถูกวางยาพิษเข้าให้
นอกจากเขาแล้ว ยังมีทหารองครักษ์คนอื่นๆ ที่โดนยาพิษนั้นด้วย
กว่าพวกผู้ใหญ่ของตระกูลจะมาพบเข้า พวกเขาก็เสียชีวิตลงแล้ว มีแค่หันฉือที่รอดมาได้
เขาไม่ยอมปริปากว่าโดนยาพิษได้อย่างไร
ตั้งแต่นั้นมา ร่างกายของหันฉือมีการเปลี่ยนแปลงอันน่าเหลือเชื่อ ประสาทสัมผัสมือและเท้าของเขาไวขึ้น ต่อมากำลังภายในของเขาเริ่มแข็งแกร่งขึ้น
ปกติกำลังภายในจะเสื่อมลงเรื่อยๆ ทุกปี ทว่าพลังของหันฉือกลับเพิ่มมากขึ้นทุกปี
จนเขากลายเป็นนักต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูล
ตามหลักแล้ว ตระกูลหันจะต้องป่าวประกาศเรื่องนี้ให้ทุกคนได้ทราบทั่วถึงกัน แต่แล้ว ขณะที่พวกเขากำลังตัดสินใจจะทำเช่นนั้น ก็พบว่าผมของหันฉือเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว
การที่เด็กคนนึงผมหงอกก่อนวัยนึกว่าจะมีแค่ในนิทาน ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับหันฉือ
หารู้ไม่ว่าความสามารถพิเศษที่เพิ่มขึ้นในชั่วข้ามคืนของเข้าต้องแลกมากับความชราภาพทางกาย ตระกูลหันจึงคาดเดาว่าเป็นผลพวงมาจากยาพิษนั้น
ยิ่งหันฉือมีกำลังวังชามาเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแก่เร็วขึ้น เขาจึงจำใจยอมละทิ้งความพยายามในการเรียนทักษะการต่อสู้ระดับสูงเพื่อรักษาชีวิตให้รอด
เส้นทางนักต่อสู้ของเขาจึงจบลง
แต่ถึงเขาจะหยุดแล้ว ทว่าร่างกายของเขากลับเสื่อมถอยลงเร็วกว่าคนทั่วไปอยู่ดี
ถ้าไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องกับหันเย่ ตระกูลหันคงไม่ยอมให้หันฉือออกโรงแทน
“น้องห้า…” นายท่านสามเบิกตากว้างพร้อมกับจ้องไปที่เส้นผมหงอกของคนตรงหน้า
เขาจำได้ว่าตอนแรกเส้นผมของหันฉือหงอกแค่บริเวณรอบนอกเท่านั้น ทว่าตอนนี้มันลามไปถึงด้านในแล้ว
“พี่สาม ข้าไม่เป็นไร”
“เอ่อ” ใตเท้าสามเริ่มเอ่ยไม่ออก
หานเหล่ยแสดงความสงสัย “จะว่าไปแล้ว น้องห้าพ่ายแพ้ให้เจ้าเซียวลิ่วหลังนั่นได้อย่างไร”
หันฉือนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจเอ่ยตามจริง “ตอนนั้นข้าเผลอสมาธิหลุด”
หันเหล่ยตกใจกับคำตอบ “นั่นเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งนะ เจ้าพลาดได้อย่างไร”
หันฉือเงียบไปอีกครั้ง ก่อนจะยอมตอบ “ข้าดันนึกถึง คนคนนึง”
“เจ้านึกถึงคนของตระกูลเซวียนหยวนสินะ น้องห้า นี่เจ้า…” หันเหล่ยรีบตัดบทพร้อมกับถอนหายใจยาว ก่อนจะเริ่มเอ่ยต่อ” น้องห้า เจ้าควรตัดใจเรื่องนี้ได้แล้วนะ พวกเราทำทุกอย่างเพื่อเจ้า ลงทุนปกปิดความลับของเจ้าจากท่านพ่อ เจ้าอย่าทำให้พวกเราลำบากใจสิ”
“ขอบใจพี่ใหญ่และพี่สามเป็นอย่างมาก” หันฉือกล่าว
นายท่านสามโบกมือปัด “พี่น้องกันไม่ต้องเอ่ยขอบคุณหรอก เป็นเพราะพี่ใหญ่ไม่อยากปิดบังเรื่องนี้ต่อไปแล้ว ส่วนข้าไม่เป็นไร ต่อให้ต้องกุมความลับไปตลอดชีวิตข้าก็ทำได้!”
หันเหล่ยจ้องเขม็งน้องชายตัวเองหนึ่งที
นายท่านสามทำท่าคอหดและไม่กล้าเอ่ยต่อ
“น้องห้า บอกความจริงกับข้า ท่านชายเซวียนหยวนหกตายแล้วจริงๆ ใช่ไหม” หันเหล่ยถามผู้น้อง
หันฉือจ้องเข้าไปในดวงตาของคนพี่ พร้อมกับตอบด้วยเสียงหนักแน่น “เขาตายแล้วจริงๆ ข้าเป็นคนฆ่าเขาเองกับมือ”
หันเหล่ยโพล่งหัวเราะ “ข้าไม่ได้สงสัยเจ้า เพียงแต่ตอนนั้นเจ้าสนิทกับเขามากเกินไป ขนาดตอนเกิดเรื่อง เจ้ายังแอบพาเขาไปซ่อนตัวอยู่เลย ถ้าไม่ใช่เพราะทหารองครักษ์ไปเจอตัวเข้า ป่านนี้ตระกูลของเราคงโดนข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับกบฏแล้ว…”
“พี่ใหญ่ก็เห็นศพของเขากับตาตัวเองแล้วนี่ เขาตายแล้วจริงๆ ” หันฉือกล่าว
หันเหล่ยรู้สึกจั๊กจี้กับสายตาของน้องชาย ก่อนจะหัวเราะด้วยความเอ็นดู “เอาละ เราจะไม่เอ่ยเรื่องอัปมงคลกันอีก เจ้ารักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี อันที่จริงเรื่องนี้ก็โทษเจ้าฝ่ายเดียวไม่ได้ เจ้าเซียวลิ่วหลังมันเหลี่ยมจัดเกิน ไว้หาโอกาสแก้แค้นมันทีหลังก็ไม่สาย ทหารอัศวินดำจะต้องหวนคืนสู่ตระกูลหันของพวกเราอย่างแน่นอน!”
“ข้าได้ยินว่าฉีเซวียนตายแล้ว” หันฉือเปลี่ยนเรื่องทันที
พอเอ่ยถึงประเด็นนี้ อารมณ์โกรธของหันเหล่ยก็เริ่มปะทุ “เจ้านั่นอุตส่าห์ปิดบังข้าเรื่องที่ไปลอบสังหารเซียวลิ่วหลัง ฉีเซวียนจะอยู่หรือจะไปไม่สำคัญ สำคัญที่ห้ามโยงมาถึงตระกูลของเราเป็นอันขาด”
หันฉือทำหน้างุนงง “สาเหตุการตายของฉีเซวียนคืออะไร”
หันเหล่ยตอบ “เขาถูกแทงด้วยกระบี่ยาว องครักษ์ที่เขาพาไปด้วยไม่มีใครรอดเลยสักคน ทุกคนถูกฆ่าด้วยกระบี่ยาว ผู้ตรวจสอบสรุปว่าพวกเขาถูกสังหารตอนช่วงเที่ยงวัน”
หันฉือพยายามนึกย้อนไปตอนเที่ยงวัน “ตอนนั้นข้ากำลังประลองกับนักบวชชิงเฟิง…เดี๋ยวก่อนนะ”
“เกิดอะไรขึ้น” หันเหล่ยถาม
หันฉือขมวดคิ้ว “ตอนนั้นเซียวลิ่วหลังควรกำลังถูกหลงอ้าวเทียนไล่ล่าอยู่สิ ทั้งหลงอ้าวเทียน ทั้งฉีเซวียน ไม่มีทางที่พวกเขาจะปล่อยให้เซียวลิ่วหลังรอดไปง่ายๆ แสดงว่า ต้องเป็นหลงอ้าวเทียนแน่ๆ ! หลงอ้าวเทียนเป็นคนฆ่าฉีเซวียน!”
หันเหล่ยออกอาการตกใจ “เจ้านั่นเป็นคนของไท่จื่อ! เหตุใดไท่จื่อต้องสั่งฆ่าฉีเซวียนด้วย!”
หันฉือกำหมัดแน่น “ไท่จื่อไม่มีทางสั่งฆ่าฉีเซวียนแน่นอน เป็นฝีมือของหลงอ้าวเทียนคนเดียวแน่ๆ ! เจ้านั่นจงใจเข้าหาไท่จื่อ! พี่ใหญ่รีบรายงานให้ไท่จื่อทรงทราบโดยเร็ว กำจัดหลงอ้าวเทียนเสีย!”
……
จวนไท่จื่อ
กู้ฉังชิงกำลังเล่นหมากรุกอยู่กับไท่จื่อที่ศาลาเย็น
หลังจากไท่จื่อลงหมากสีขาว กู้ฉังชิงก็รีบลงหมากสีดำตามทันทีเพื่อขัดขวางเส้นทางเดินหมากของอีกฝ่าย
ไท่จื่อเอ่ยปากชมเขา “คิดไม่ถึงเลยว่า นอกจากฝีมือการต่อสู้ของเจ้าจะดีแล้ว ยังเล่นหมากรุกได้เก่งอีกด้วย”
กู้ฉังชิงคิดในใจ ข้าก็แค่ให้น้องสาวสอนนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น ทำเป็นชมไปได้
“อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ไท่จื่อเอ่ยถาม
“รอยแผลเล็กน้อยเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” กู้ฉังชิงตอบ
จากนั้นไท่จื่อก็ทำหน้าเสียดาย “ตอนแรกที่ข้าให้เจ้าออกโรงก็นึกว่าจะช่วยเสริมแรงให้ตระกูลหันได้ แต่ใครจะไปคาดคิดว่าเจ้าเซียวลิ่วหลังนั่นจะดวงดีขนาดนี้!”
“กระหม่อมทำพลาดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” กู้ฉังชิงเอ่ย
ไท่จื่อส่ายศีรษะ “ข้าไม่โทษเจ้าหรอก ดูสิ ขนาดหันฉือยังพลาดท่าให้เซียวลิ่วหลังเลย ดังนั้นไม่คงไม่ง่ายสำหรับเจ้าหรอก จริงสิ เรื่องที่ข้าให้ไปสืบเซียวลิ่วหลังตัวปลอม ได้เบาะแสอะไรมาบ้าง”
กู้ฉังชิงตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ “เจ้านั่นขี้ระแวงมาก เลยได้เบาะแสมาไม่เยอะเท่าที่ควรขอรับ”
ไท่จื่อขมวดคิ้ว “คงมีเพียงหนานกงลี่คนเดียวที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเด็กนั่น เสียดายที่เขาตายแล้ว”
หนานกงลี่ตายๆ ไปเสียก็ได้ ความลับของน้องสาวจะได้ไม่ต้องถูกเปิดเผย
“ฝ่าบาท ให้กระหม่อมลอบสังหารองค์หญิงกับพระราชนัดดาเถิดพ่ะย่ะค่ะ เพื่อกำจัดเสี้ยนหนามของท่าน และเพื่อทดแทนความผิดในหน้าที่ของกระหม่อม” กู้ฉังชิงเอ่ยด้วยสีหน้าและน้ำเสียงนิ่งเรียบ
ไท่จื่อได้ยินดังนั้นก็รีบยกมือห้าม “อย่าเพิ่ง ช่วงนี้ข่าวลือหนาหูนัก รอให้ผ่านไปก่อนค่อยว่ากัน”
เอ่ยจบ ทั้งสองก็เล่นหมากรุกกันต่อ
ทันใดนั้น ทหารองครักษ์นายหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาแล้วกระซิบข้างหูของไท่จื่อ
คิ้วของไท่จื่อขมวดแน่น พอฟังจบก็โบกมือให้ทหารองครักษ์ออกไป
จากนั้นหันมาเอ่ยกับกู้ฉังชิง “ข้ามีเรื่องต้องสะสาง ไว้มาเล่นต่อ”
จากนั้นไท่จื่อก็มุ่งหน้าไปยังห้องทรงงานพร้อมกับขันที
ส่วนกู้ฉังชิงกลับไปที่ห้องพักของตัวเอง
เสี่ยวจิ่วยืนเกาะที่ขอบหน้าต่างห้องพร้อมกับกระพือปีก
ช่วงนี้เขาไม่มีเวลาออกไปเยี่ยมกู้เจียว เลยต้องอาศัยเสี่ยวจิ่วคอยส่งข่าวให้
เขาคลี่ม้วนกระดาษออก ในนั้นเป็นลายมือของเซียวเหิง
ใจความว่า กู้เจียวฟื้นตัวได้ดี กู้ฉังชิงจึงรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง
บนกระดาษมีรูปดอกไม้สองดอก ดูก็รู้ว่าเป็นฝีมือจิ้งคง
ลายดอกที่ดูไร้เดียงสาปรากฏอยู่ข้างตัวอักษรทีประณีตของเซียวเหิง ทำให้กู้ฉังชิงอดจินตนาการไม่ได้ว่าตอนที่พวกเขากำลังเขียนจนหมายนี้คงกำลังลับฝีปากกันอย่างเมามันอยู่แน่ๆ
พอคิดได้ดังนั้น เขาโพล่งหัวเราะออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นถี่รัว ราวกับมีเหตุด่วน
กู้ฉังชิงขยำกระดาษจดหมายจนเป็นผงแล้วเขวี้ยงทิ้งลงนอกหน้าต่าง “เข้ามาได้”
เสียงประตูดังเอี๊ยดจากการถูกเปิดออก
เป็นบ่าวที่เป็นใบ้มาส่งอาหารเย็นให้เขา
บ่าวใบ้คนนี้มีอายุเพียงสิบขวบเท่านั้น เขาได้รับการช่วยเหลือโดยบังเอิญจากกู้ฉังชิงตอนที่เขาถูกผู้ดูแลรังแก นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเด็กคนนี้ก็คอยติดตามกู้ฉังชิงมาโดยตลอด
เขาวางถาดอาหารลง และพยายามวาดมือเพื่อสื่อสารอะไรบางอย่างกับกู้ฉังชิงอย่างร้อนรน
กู้ฉังชิงไม่เข้าใจเขา “ข้าเคยสอนเจ้าเขียนหนังสือมิใช่รึ เจ้าเขียนมันออกมาได้ไหม”
จากนั้นบ่าวก็คว้าพู่กันมาพลางเกาหัวอยู่พักหนึ่ง พยายามเค้นคำออกมาให้ได้มากที่สุด จนกลายเป็นตัวอักษรยึกยือบนกระดาษ ‘อั น ต รา ย’
กู้ฉังชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามบ่าวใบ้ “เจ้าหมายถึง จวนไท่จื่อแห่งนี้มีอันตรายรึ”
บ่าวใบ้พยักหน้า รีบยกนิ้วชี้ไปทางนอกประตู ก่อนจะรีบวิ่งออกไป
คราวนี้กู้ฉังชิงเริ่มเข้าใจแล้ว บ่าวใบ้มาเตือนให้เขาหนีไป
เขาลุกขึ้นยืน แล้วคว้ากระบี่ยาวที่วางอยู่บนโต๊ะ
ทันทีที่กู้ฉังชิงก้าวขาข้ามธรณีประตู กระบี่ยาวที่มีแสงประกายวาบก็พุ่งตรงเข้ามาที่หน้าอกของเขาอย่างรวดเร็ว!