สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 771 ฉีกหน้าไท่จื่อ (1)
บทที่ 771 ฉีกหน้าไท่จื่อ (1)
กู้ฉังชิงแข็งทื่อไปทั้งร่างพร้อมกับจ้องเขม็งชายในเงามืดตรงหน้า
อีกฝ่ายสวมชุดดำทั้งตัว สวมหมวกสีดำ มองเห็นใบหน้าไม่ชัด เว้นเสียตาดวงตาคู่นั้นที่คมกริบยิ่งกว่ากระบี่
ชายชุดดำแทงกระบี่เข้าไปให้ลึกกว่าเดิมจนทะลุเข้าแผ่นอกของกู้ฉังชิงเต็มๆ
จากนั้นเขาชักกระบี่ออกอย่างเลือดเย็น สายโลหิตไหลพุ่งพวยออกมาจนนองพื้น
ร่างของกู้ฉังชิงล้มลงกับพื้นภายในพริบตา
บ่าวใบ้ตกใจผวาจนไม่กล้าขยับตัว
ชายชุดดำตะโกนสั่งทหารองครักษ์ที่เข้ามายังที่เกิดเหตุภายหลังโดยไม่ทันสังเกตบ่าวใบ้ที่อยู่ตรงนั้น “จัดการศพด้วยล่ะ”
“ขอรับ!”
ทหารองครักษ์น้อมรับคำสั่ง
หนึ่งในนั้นคุกเข่าลง ยื่นมือออก และแตะที่ลำคอของกู้ฉังชิง พบว่าไม่มีสัญญาณชีพจรเหลืออยู่แล้ว
ด้วยความเชื่อเรื่องมงคล จวนไท่จื่อจึงไม่อาจเก็บศพไว้ได้ พวกทหารจึงจ้างรถเกวียนที่ชำรุดทรุดโทรมและช่วยกันแบกร่างของกู้ฉังชิงขึ้นรถ
หลังจากอากาศที่อบอ้าวทั้งวัน ในที่สุดเสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้น
ฝนใกล้จะตกแล้วสินะ
ทหารองครักษ์คลุมร่างศพด้วยเสื่อฟางแล้วเดินทางออกไปทางประตูหลังของจวน
ฟ้าแลบฟ้าร้องดังขึ้น ผู้คนเดินถนนจำนวนมากพยายามหาที่กำบังฝนล่วงหน้า
“เฮ้อ ซวยจริงๆ พวกเราอีกแล้วหรือ” ทหารนายหนึ่งเอ่ยขึ้น
ส่วนทหารอีกคนที่มองโลกในแง่ดีจึงตอบกลับ “ออกมาข้างนอกอย่างน้อยก็ดีกว่าอุดอู้อยู่ข้างในนะ”
“แต่เดี๋ยวพวกเราต้องไปที่สุสานนะ ที่นั่นเต็มไปด้วยซากศพเน่าเฟะ บางทีก็มีศพที่แขนขาขาด แล้วถ้าเกิดโชคร้ายเจอวิญญาณอาฆาตตามกลับมาด้วยจะทำอย่างไร”
“เจ้าพูดมาขนาดนี้ ข้าชักกลัวแล้วสิ”
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็เดินทางมาถึงสุสานซากศพที่ส่งกลิ่นเน่าชวนขนหัวลุก ศพที่นี่ไม่ถูกกลบฝังดินก็ถูกวางทิ้งไว้บนพื้น
ทั้งสายลมที่พัดพากลิ่นชวนให้สะอิดสะเอียน เงาของต้นไม้ที่กำลังเต้นรำ รวมถึงเสียงร้องของอีแร้ง ทุกสิ่งล้วนชวนให้เสียวสันหลังวาบยิ่งนัก
“ที่นี่น่ากลัวชะมัด! รีบโยนศพทิ้งกันเถอะ!”
“ตรงนี้ดีไหม อย่าเข้าไปลึกกว่านี้เลย”
หลังจากจอดรถ ทั้งสองก็ลงจากรถเพื่อเตรียมขนย้ายศพ
แต่เมื่อทั้งสองเปิดเสื่อฟางขึ้นมา ก็พบว่าศพของกู้ฉังชิงหายไปแล้ว!
สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป ที่แรกที่พวกเขามองหาคือใต้รถม้า
“เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย”
พวกเขาไม่เจออะไรใต้รถม้า
“ขะ ข้า ก็ไม่รู้เหมือนกัน หรือว่าเขายังไม่ตาย”
“ไม่ได้การ ต้องรีบกลับไปรายงานไท่จื่อโดยเร็วที่สุด!”
….
“เจ้านั่นรอดจากกระบี่ของข้าไปได้อย่างไร” หลังจากได้ยินรายงาน ชายชุดดำเหลือบมองทหารยามหนึ่งที วางถ้วยชาในมือลงแล้วเอ่ยกับไท่จื่อ “น่าสนใจยิ่งนัก กระหม่อมจะออกตามหาเขาเองขอรับ”
ทว่าไท่จื่อกลับรั้งเขาไว้ “ช้าก่อน เจ้านั่นบาดเจ็บจากกระบี่ของท่านแล้ว คงหนีไปได้ไม่ไกล ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทหารผ้าแพรในการออกตามล่าเถิด เพื่อท่านจะได้ไม่ต้องเปิดเผยตัวตน”
ชายชุดดำตอบกลับอย่างเนิบช้า “ก็ดีขอรับ กระหม่อมแทงเข้าจุดสำคัญ ต่อให้มันหนีออกไปได้ก็จริง แต่คงรอดไม่พ้นคืนนี้แน่นอนขอรับ”
“ข้าต้องเห็นศพของมันกับตาตัวเองเท่านั้น” ไท่จื่อกล่าวพร้อมกับหรี่ตาลง
…
“ฝนตกอีกแล้วหรือนี่” กู้เจียวเข็นรถเข็นไปบริเวณใกล้หน้าต่าง จากนั้นหยิบไม้ตะขอขึ้นมาเพื่อจะปิดหน้าต่าง แต่ขณะที่กำลังเอื้อมมือออกไป จู่ๆ ก็ปรากฏร่างเปียกฝนของใครบางคนร่วงตุ้บลงพื้น
ผู้คนบนถนนน้อยลงถนัดตาเนื่องจากฝนที่ตกหนัก
ทหารผ้าแพรของจวนไท่จื่อในชุดกันฝนและหมวกไม้ไผ่ต่างวควบม้าอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก
“ชู่ววว…”
พวกเขาชะลอมาลงตรงบริเวณหน้าทางเข้าตำหนักกั๋วซือ
คนที่เป็นหัวหน้าทหารเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน “แน่ใจนะว่าเป็นที่นี่”
“ขอรับฝ่าบาท ข้าน้อยตามเขามาเรื่อยๆ จนถึงที่นี่ เห็นเขาปีนกำแพงเข้าไปในตำหนักกั๋วซือกับตาของข้าน้อยเอง ใต้เท้าจะเข้าไปด้านในไหมขอรับ” หนึ่งในทหารผ้าแพรตอบ
หัวหน้าทหารมองไปที่แผ่นจารึกอันสง่างามที่อยู่ด้านหน้าตำหนักกั๋วซือท่ามกลางฝนตกหนัก ก่อนจะตะคอกเสียงใส่ทหารผู้น้อย “ตำหนักกั๋วซือหาใช่สถานที่ที่สามารถเข้าออกได้ง่ายๆ ไม่ แม้แต่ทหารองครักษ์ยศสูงกว่ายังไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปในนั้นด้วยซ้ำ!”
“ควรทำอย่างไรดีขอรับ”
หัวหน้าทหารขมวดคิ้วพลางเอ่ย “พวกเจ้า คุ้มกันทางเข้าหลักและกำแพงของตำหนักกั๋วซือไว้ หากเจอตัวเมื่อไหร่ให้จับกุมทันที! ส่วนข้าจะไปรายงานฝ่าบาทก่อน!”
“ขอรับ!”
หัวหน้าทหารผ้าแพรควบม้ากลับมายังจวนไท่จื่อ และรายงานเหตุการณ์ที่หลงอ้าวเทียนเข้าไปหลบในตำหนักกั๋วซือให้ไท่จื่อทราบ
“รู้ดีนักนะว่าต้องซ่อนตัวที่ไหน!” ไท่จื่อยกกำปั้นทุบโต๊ะด้วยความโมโห
ตำหนักกั๋วซือสถานที่แห่งเดียวที่พวกเขาไม่สามารถใช้อาญาสิทธิ์ค้นหาตามอำเภอใจได้
ให้ใช้เหตุผลว่ามีนักฆ่าบุกเข้าไปในนั้นรึ
ทางตำหนักกั๋วซือจะต้องตอบกลับมาว่าพวกเขาจะจัดการเองอย่างแน่นอน
“เจ้านั่นมันรู้ความลับเยอะเกินไป อย่าให้มันไปอยู่ในเงื้อมมือของท่านกั๋วซือเป็นอันขาด ไปตามคนมา! เตรียมรถม้า! ข้าจะเดินทางไปยังตำหนักกั๋วซือด้วยตัวเอง!”
ครึ่งชั่วยามผ่านไป รถม้าของไท่จื่อก็มาจอดเทียบที่หน้าตำหนักกั๋วซือ
“ฝ่าบาทขอรับ” ลูกศิษย์ของกั๋วซือเดินออกมาต้อนรับ
ไท่จื่อเปิดประตูรถออก จากนั้นตอบกลับ “ข้าตองการพบท่านกั๋วซือ”
จากนั้นลูกศิษย์กั๋วซือจึงรีบไปแจ้งข่าว
ไม่นาน กั๋วซือก็เดินออกมาด้วยท่าทีสงบนิ่ง โดยมีเย่ชิงคอยกางร่มให้
“ฝ่าบาท” กั๋วซือเอ่ยทักทายไท่จื่ออย่างนอบน้อม
ไท่จื่อยังคงนั่งรออยู่ในรถม้า ดวงตาจ้องมองไปที่ใบหน้าเคร่งขรึมของกั๋วซือ เขาจำได้ว่ากั๋วซือตอนหนุ่มเป็นคนที่มีหน้าตาหล่อเหลาไม่แพ้กันกับกั๋วกงอัน
เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน
ร่องรอยแห่งอายุปรากฏชัดเจนบนใบหน้าของกั๋วซือ
วันฝนตกมักทำให้คนมีอารมณ์อ่อนไหวเสมอ อยากรู้เสียจริงว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
ไท่จื่อหยุดความคิดฟุ้งซ่านของเขาลง แล้วตั้งใจเอ่ยธุระ “ข้าขอเรียนท่านตามตรง ทหารผ้าแพรของข้าเห็นนักโทษจากจวนไท่จื่อเข้ามาซ่อนตัวอยู่ในตำหนักกั๋วซือ”
กั๋วซือจึงกล่าว “จริงหรือ ถ้าเช่นนั้น เย่ชิง เจ้านำคนไปค้นหาและดูว่ามีคนน่าสัยตามที่ไท่จื่อทรงกล่าวถึงหรือไม่”
“ขอรับ” เย่ชิงน้อมรับคำสั่ง
“ช้าก่อน!” ไท่จื่อเอ่ย ”ข้าจะเป็นผู้ค้นหาเอง!”
เย่ชิงโต้กลับทันที “ฝ่าบาท ที่นี่คือตำหนักกั๋วซือ หาใช่จวนไท่จื่อไม่”
หรืออีกความหมายนึงก็คือ ท่านไม่มีสิทธิ์จะกระทำใด ณ ที่แห่งนี้
ไท่จื่อไม่สนใจเย่ชิง ได้แต่จ้องเขม็งไปทางกั๋วซือ “ถ้าวันนี้ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ข้าต้องการค้นหาล่ะ”
แววตาของไท่จื่อเริ่มเผยรังสีอำมหิต
เขามุ่งมั่นที่จะตามหา ต่อให้อีกฝ่ายไม่อนุญาตก็ตาม!
แม้เขาจะต้องเสียหน้า ต้องถูกเสด็จพ่อดุด่าว่าไม่เคารพท่านกั๋วซือ แต่เขาต้องตามหาหลงอ้าวเทียนให้เจอจงได้!