สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 771-2 ฉีกหน้าไท่จื่อ (2)
บทที่ 771 ฉีกหน้าไท่จื่อ (2)
ท้ายที่สุด กั๋วซือก็ยอมแต่โดยดี “เย่ชิง พาไท่จื่อเข้าไปด้านใน”
“ไม่ต้อง ข้าและคนของข้าจะออกตามหาเอง!” เขาเอ่ยด้วยท่าทีหยิ่งผยอง
จากนั้นเขาลงจากรถม้า
พร้อมกับองครักษ์ที่คอยกางร่มให้
โดยกั๋วซือและเย่ชิงได้หลีกทางให้เขาและทหารองครักษ์เดินนำหน้าไป
กู้ฉังชิงได้รับบาดเจ็บสาหัสตามคาด แม้บาดแผลของเขาอาจทิ้งคราบเลือดไว้ตามทาง แต่โชคดีที่ฝนตกหนักจนร่องรอยบนพื้นถูกชะล้างออกไป
ทหารองครักษ์กระจายตัวออกตามหาทั่วทั้งตำหนัก แม้แต่ป่าไผ่และห้องสมุดชั้นสามก็ไม่เว้น
“ฝ่าบาทเจอไหมพ่ะย่ะค่ะ” กั๋วซือเอ่ยถาม
ไท่จื่อขมวดคิ้วแน่น ก่อนหันไปถามหัวหน้าทหารผ้าแพรที่อยู่ด้านข้างด้วยเสียงต่ำ “เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่ามันเข้ามาในนี้”
“ใช่แล้วขอรับ” หัวหน้าทหารตอบ
ในตอนนั้นเอง ทหารผู้อาวุโสนายหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท ยังมีอีกจุดหนึ่งที่ยังไม่ได้ค้นหาขอรับ”
ไท่จื่อ “ที่ใด”
ทหารนายนั้นตอบกลับ “ตำหนักฉีหลินขอรับ!”
…
“พวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างใน!”
เป็นเสียงของลูกศิษย์กั๋วซือที่กำลังกั้นไม่ให้คนของไท่จื่อเข้าไปในตำหนักฉีหลิน
“พวกข้าเป็นทหารในนามไท่จื่อ มาที่นี่เพื่อตามจับนักโทษ!” ทหารผ้าแพรนายหนึ่งยืนกรานเสียงแข็ง
ลูกศิษย์กั๋วซือก็เช่นกัน “ที่นี่ไม่มีนักโทษของพวกเจ้า อีกอย่าง ห้ามรบกวนเวลาพักผ่อนของพระราชนัดดาและท่านผู้บัญชาการโดยเด็ดขาด”
“น่าขันนัก เป็นแค่พระราชนัดดา กล้าขัดขวางคำสั่งของไท่จื่ออย่างนั้นรึ!” ทหารผ้าแพรแสยะยิ้ม
“เป็นแค่สุนัขรับใช้ของจวนไท่จื่อ บังอาจเอ่ยจาดูหมิ่นพระราชนัดดาได้เยี่ยงไร”
เสียงของซ่างกวานเยี่ยนดังขึ้นจากโถงด้านในตำหนัก
แม้นางจะอยู่ในสภาพที่ต้องเดินค้ำไม้เท้า แต่ทั้งน้ำเสียง แววตา ท่าทางของนางล้วนแผ่ซ่านรังสีอำมหิตและน่ายำเกรงในคราวเดียวกัน
แสงเทียนสลัวส่องสะท้อนรูปร่างเพรียวบางและตั้งตรงของนาง ตามมาด้วยแสงและเสียงของสายฟ้าฟาดจากท้องฟ้าที่ส่องแสงขาวโพลนไปทั่วทั้งตำหนักกั๋วซือ
ทำให้ทหารทุกคนเห็นรูปพรรณของอดีตองค์หญิงได้อย่างชัดเจน
พวกเขาถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่
ราวกับได้เห็นองค์หญิงผู้ทรงพลังคนเดิมกลับมาอีกครั้ง
เมื่อนางมาถึงประตู รัศมีอันทรงพลังของนางในฐานะองค์หญิงทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงแรงกดดันในทันที
ทหารผ้าแพรเดินถอยหลงหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว
“พี่สาม ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เป็นอย่างไรบ้าง”
เสียงของไท่จื่อดังขึ้นจากด้านหลังพวกเขา เขาปรากฏกายพร้อมกับทหารผ้าแพรอีกสิบนาย ขณะที่ซ่างกวานเยี่ยนฉายเดี่ยว
แต่ถึงกระนั้นแววตาของนางก็มิได้เผยความกลัวเกรงใดๆ “เสด็จพ่อไม่อยู่ที่นี่เสียหน่อย ไม่เห็นต้องเล่นละครตบตาเลย”
“แปลว่าพี่สามยอมรับแล้วสินะว่าที่ผ่านมาท่านจงใจแกล้งความจำเสื่อม” ไท่จื่อเอ่ยพร้อมกับแผดเสียงหัวเราะ
“ถ้าเจ้ามีหลักฐานก็เอาไปฟ้องต่อหน้าเสด็จพ่อสิ” นางโต้กลับทันที
“อย่างไรเสียเราก็เป็นพี่น้องกัน จะให้ข้าทำเรื่องไร้ความปราณีแบบนั้นได้เยี่ยงไหร่ อันที่จริงถ้าท่านอยากกลับเมืองหลวงนัก แค่บอกกับข้าตรงๆ ก็สิ้นเรื่อง ไม่เห็นต้องมาเหนื่อยหลอกลวงคนอื่นเลย”
ซ่างกวานเยี่ยนถอนหายใจยาว “เฮ้อ เจ้ายังชอบกินมันหวานเหมือนเดิมสินะ”
ไท่จื่อได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว
แต่หารู้ไม่ว่าทหารผ้าแพรที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับกลั้นขำแทบไม่อยู่
“เจ้าหัวเราะอะไร” ไท่จื่อย่นคิ้วถาม
ทหารผ้าแพรจึงกระซิบเฉลยเบาๆ “ฝะ ฝ่าบาท กินมันหวานเยอะจะทำให้ผายลมง่ายขอรับ นางกำลังบอกเป็นนัยว่าฝ่าบาททรงชอบผายลมขอรับ”
ไท่จื่อ “…”
“แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน พี่สามก็ไม่เปลี่ยนเลยนะ!”
ยังกวนบาทาอยู่เหมือนเดิม!
ซ่างกวานเยี่ยนทำท่าแบมือ “แต่น่าเสียดายที่เจ้ากลับดูชราลงเยอะเลย คนนอกอาจมองว่าเจ้าเป็นลุงของข้าได้นะ”
ไท่จื่อโกรธจัดจนแทบล้มหงายหลัง!
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาต้องผ่านความผันผวนมากมายทั้งเรื่องงานราษฎร์และงานหลวง ใครจะใช้ชีวิตไร้กังวลเฉกเช่นนางล่ะ วันๆ เอาแต่เฝ้าสุสาน สิบปีที่แล้วเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น นิสัยเดิมไม่เคยเปลี่ยน!
ไท่จื่อเริ่มกำหมัดแน่น “พี่สามอย่าเปลี่ยนเรื่องหน่อยเลย ข้ามาที่นี่ก็เพื่อจับนักโทษ หากพี่สามขัดขวาง ข้าจะถือว่าท่านกำลังให้ที่ซ่อนนักโทษนะ”
ต้องใช่แน่ๆ ถ้าหลงอ้าวเทียนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์หญิง จะเข้ามาหลบภัยที่นี่ในช่วงเวลาวิกฤติได้อย่างไร
ที่แท้ก็เป็นเจ้ามาตลอดสินะ ซ่างกวานเยี่ยน!
ดวงตาของซ่างกวานเยี่ยนส่องวาวโรจน์ พร้อมกับเอ่ยเสียงแข็ง “เจ้ามีหลักฐานหรือไม่ หากเจ้าไม่มีหลักฐาน ก็อย่ามาใส่ร้ายป้ายสี!”
ไท่จื่อหรี่ตาลง พลางคิดในใจ เริ่มร้อนตัวแล้วสินะ
“ข้ามาที่นี่เพื่อจับกุมนักโทษ ไม่มีเวลามาทะเลาะกับท่านหรอกนะ! หลีกไปซะถ้าไม่อยากเจ็บตัว!”
“แล้วถ้าข้าไม่หลีกล่ะ” ซ่างกวานเยี่ยนถามกลับ
“เช่นนั้น ข้าก็จะไม่เกรงใจท่านพี่ละนะ! ทหาร! จัดการนางเดี๋ยวนี้!”
“หยุดนะ!”
เสียงตะโกนของเซียวเหิงดังขึ้น
เขาเดินออกมาจากโถงจนมาถึงประตูตำหนักฉีหลิน ก่อนจะเข้ามายืนกำบังให้ซ่างกวานเยี่ยน
โดยมีลูกศิษย์ของกั๋วซือเข็นรถเข็นของกู้เจียวตามมาจากข้างหลังอีกที
ไท่จื่อมองหน้าเซียวเหิง สลับกับมองกู้เจียวที่นั่งอยู่บนรถเข็น แววตาของเขาเย็นลงทันที
หวังซวี่เคยสืบเรื่องนี้ให้เขา พระราชนัดดาพำนักอยู่ที่ตำหนักกั๋วซือจริงๆ
แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ผิดแปลกไป
เซียวเหิงกวาดตามองทุกคน ก่อนจะมาหยุดที่ไท่จื่อ “ไม่ล้ำเส้นกันเกินไปหน่อยหรือ เสด็จแม่มาที่นี่เพื่อพักฟื้นร่างกายตามพระบัญชา แต่ท่านกลับให้คนของท่านเอามือสกปรกมาแตะต้องเนื้อตัวอันสูงศักดิ์ของพระนาง! ท่านคงไม่กลัวว่าเรื่องนี้จะถึงหูเสด็จปู่สินะ!”
ไท่จื่อแผดเสียงใส่ “ซ่างกวานชิ่ง อย่าเอาเสด็จพ่อมาข่มข้าหน่อยเลย! ข้าเป็นไท่จื่อ มาที่นี่ก็เพื่อจับนักโทษ ขนาดท่านกั๋วซือยังอนุญาตให้ข้าเข้ามาเลย หลีกทางซะ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”
เซียวเหิงไม่แสดงท่าทีเกรงกลัวแม้แต่นิด “ก็ลองเข้ามาสิ!”
ไท่จื่อหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนออกคำสั่ง “จัดการเลย!”
ทันทีที่เขาเอ่ยจบ ทหารผ้าแพรนายหนึ่งก็ปรี่เข้าไปคว้าปกเสื้อของเซียวเหิงอย่างดุเดือด
นัยน์ตากู้เจียวฉายแววดุดันในทันที จากนั้นรีบถอดผ้าพันแผลที่มือขวาออก ผละตัวออจากเก้าอี้รถเข็นและพุ่งเข้าไปที่ทหารผ้าแพรคนนั้นราวกับกระสุนปืนใหญ่
กู้เจียวคว้าคอของเขา ผลักเขาออกจากห้องโถงตำหนัก ก่อนจะเหวี่ยงร่างของเขาลงอย่างแรงบนพื้นหินอ่อนที่เปียกฝน!
วินาทีที่ร่างกระแทกพื้น หยดน้ำฝนถึงกับดีดขึ้นราวสามฉื่อจนเห็นเป็นเม็ดๆ อย่างชัดเจน!
อีกฝ่ายไม่มีช่องโหว่ให้สู้กลับ เขาอาเจียนเป็นเลือด และหมดสติไปทันที!
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันตกตะลึง
หยดฝนกระหน่ำบนร่างของนาง ผมสีนิลที่เปียกฉ่ำ ร่างในชุดชายหนุ่มนั้นแม้จะดูผอมบางไร้เรี่ยวแรง แต่กลับเต็มไปด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว
กู้เจียวหันหลังกลับท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก แววตาร้อนระอุราวหมาป่าล่าเหยื่อจ้องไปที่ไท่จื่อและเหล่าองครักษ์ “ไหนใครกล้าแตะต้องตัวเขาอีก”