สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 773 เพื่อน้องสาว (1)
บทที่ 773 เพื่อน้องสาว (1)
แม้กู้เจียวจะไม่ถนัดท่องบท แต่หาเป็นฉากบู๊ขอให้บอก ถึงพริกถึงขิงแน่นอน
แต่ละท่วงท่า แต่ละหยาดเหงื่อ กู้เจียวทำออกมาได้อย่างเต็มที่จนคนดูต้องสูดปาก
หัวหน้าทหารผ้าแพร แย่ละ แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ
“มัวแต่ยืนอึ้งอยู่ได้ รีบเข้าไปช่วยสิ!” ในที่สุด ไท่จื่อก็ได้สติกลับคืนมาแม้จะยังมึนงงอยู่บ้าง ด้วยความที่เซียวเหิงและคนอื่นๆ เล่นละครกันได้สมบทบาท ทำเอาเขาเกือบหลงเชื่อ
ถึงขนาดที่ว่าเขาจินตนาการเห็นภาพเกิดอุบัติเหตุกับเสด็จพ่อและซ่างกวานเยี่ยน! โอกาสที่เขาจะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิก็มาถึง!
นี่สินะความสำคัญของนักแสดงและบทละคร
แต่แน่นอนว่าเขายังพอมีสติอยู่บ้าง และไม่บ้าบิ่นพอที่จะพลั้งมือสังหารพ่อบังเกิดกล้าของตัวเอง
หลังจากได้ยินคำสั่ง หัวหน้าทหารผ้าแพรก็พุ่งตรงเข้าไปทางกู้เจียวและกู้เฉิงเฟิง
กู้เฉิงเฟิงยิ้มมุมปากหนึ่งที “ก็ดี มาช่วยข้าฆ่ามันเร็วเข้า! ฆ่าตาเฒ่าหง่อมนั่นไปด้วยกัน!”
คำพูดของเขาทำเอาหัวหน้าทหารถึงกับชะงัก!
บ้าจริง ข้าไม่ได้มาช่วยเจ้า! ข้าจะมากำจัดเจ้าต่างหาก!
กู้เฉิงเฟิงไม่ยอมรับความจริง เจ้าไม่ได้มาฆ่าข้าหรอก
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังตีกันวุ่น ความสนใจทั้งหมดของฮ่องเต้อยู่ที่ซ่างกวานเยี่ยน
“ใช่แล้ว! ฆ่าเซียวลิ่วหลังซะ!” กู้เฉิงเฟิงตะโกนขณะสกัดดาบของหัวหน้าทหารไว้
“เจ้าเลิกเล่นละครได้แล้ว!” หัวหน้าทหารผ้าแพรโต้กลับ
“เจ้ารู้แล้วสินะ เอาละ ข้าเริ่มบาดเจ็บแล้ว ที่เหลือฝากเจ้าด้วยแล้วกัน! ข้าขอตัวไปทำแผลก่อน!” กู้เฉิงเฟิงพูดกับเขา
แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ!
กู้เฉิงเฟิงผละตัวออก จากนั้นปล่อยให้กู้เจียวจัดการกับหัวหน้าทหารผ้าแพร
พอเสร็จ กู้เจียวก็มุ่งหน้าไล่ล่ากู้เฉิงเฟิงต่อ
กู้เจียวคว้าดาบจากมือของเขา ก่อนจะหมุนตัวแล้วพุ่งดาบเล็งไปที่บริเวณเอวของเขา ซึ่งเป็นจุดที่กู้เฉิงเฟิงห้อยถุงเลือดไว้ จากนั้นเขาแอบยัดสีผสมอาหารเข้าไปในปากอย่างรวดเร็ว
พอกัดเม็ดสีผสมอาหาร ทำให้ดูเหมือนมีเลือดกบปาก จากนั้นก็ทำท่าล้มลงบนพื้น…”ตายตาไม่หลับ”!
จากนั้นกู้เจียวก็จ่อปลายดาบลงไปที่ลำคอของไท่จื่อ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เซียวเหิงจ้องกู้เจียวด้วยแววตาหนักแน่น “ท่านชายเซียว ปล่อยให้เสด็จปู่จัดการกับเขาเองดีกว่า”
ขณะเดียวกัน ซ่างกวานเยี่ยนที่อยู่ในอ้อมกอดของฮ่องเต้ก็เริ่มหมดสติจนคอพับมือทิ้ง
สีหน้าของฮ่องเต้ย่ำแย่ลงกว่าเดิม “เยี่ยนเอ๋อร์! เยี่ยนเอ๋อร์!”
กู้เจียวโยนดาบทิ้งทันที รีบวิ่งเข้ามาจากนั้นคุกเข่า “ขอกระหม่อมดูหน่อย”
กู้เจียวเอานิ้วแตะวัดชีพจรบริเวณท้ายทอย “ยังมีลมหายใจอยู่ คงเป็นเพราะเสียเลือดหนักเกินจนหมดสติ อันตรายมาก ต้องห้ามเลือดให้เร็วที่สุด”
การที่ฮ่องเต้ลงโทษซ่างกวานเยี่ยนด้วยความสมัครใจนั้นต่างกับการที่ซ่างกวานเยี่ยนถูกสวรรค์ลงโทษอย่างสิ้นเชิง ถ้าเขาลงโทษนางเอง อย่างน้อยเขายังพอรู้หนักเบา ขณะที่อย่างหลังนั้นเป็นเรื่องของโชคชะตาล้วนๆ
ฮ่องเต้พยายามข่มอารมณ์ของตัวเองให้ได้มากที่สุด “กั๋วซือเล่า กั๋วซืออยู่ที่ไหน รีบเปิดประตูเร็วเข้า! ตามกั๋วซือเข้ามาเดี๋ยวนี้!”
กู้เจียวกับเซียวเหิงสบตากันในทันที
เซียวเหิง “ข้าไปดูก่อนว่าต้องเปิดประตูอย่างไร ส่วนท่านชายเซียว คอยห้ามเลือดไว้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่ทำได้!”
ตามแผนการแล้ว ประตูบานนี้จะต้อง ‘เปิดไม่ออก’ เพื่อที่ฮ่องเต้จะได้ซึมซับความรู้สึกเศร้าโศกของการสูญเสียลูกสาวและการถูกลูกชายหักหลังได้อย่างเต็มที่
ในสภาพจิตใจเช่นนี้ อาจทำให้ฮ่องเต้ตัดสินใจลงโทษไท่จื่อด้วยโทษสถานหนักที่สุด
“ส่งองค์หญิงมาให้กระหม่อมเถิด” กู้เจียวเอ่ยกับฝ่าบาท
จากนั้นเขาก็ส่งร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของซ่างกวานเยี่ยนให้แก่กู้เจียว
กู้เจียววางร่างของนางไว้บนแผ่นกระดานไม้ “เสื้อของข้าเปียกหมดแล้ว อาจไม่สะดวกทำแผลให้คนเจ็บ กระหม่อมขอยืมฉลองพระองค์ของฝ่าบาทได้หรือไม่”
ฮ่องเต้ถอดเสื้อคลุมยาวสีเหลือสดใสออกแล้วยื่นให้กู้เจียวอย่างไม่ลังเล
ฮ่องเต้ถึงขั้นสละเสื้อคลุมอันสูงส่งให้ แปลว่าทรงเริ่มใจอ่อนแล้ว
กู้เจียวไม่แสดงอาการเสียใจหรือเสียดายต่อฉลองพระองค์ ฮ่องเต้จะต้องทรงยอมลงแรงกายแรงใจทั้งหมดที่มีเพื่อให้รู้สึกฝังพระทัยมากขึ้น
กู้เจียวฉีกฉลองพระองค์ออกเป็นชิ้นๆ
พลางพูดในใจ จำไว้นะท่าน นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าท่านรักและเป็นห่วงนางแค่ไหน และท่านจะต้องรู้สึกภูมิใจในภายภาคหน้าที่ได้ช่วยนางไว้
แล้วก็ได้โปรด รีบกำจัดไท่จื่อได้แล้ว
อึดอัดจะแย่แล้ว
“ท่านกั๋วซือ ข้าต้องเปิดประตูนี้อย่างไร พวกท่านดันประตูจากข้างนอกเข้ามาได้หรือไม่” เซียวเหิงยืนอยู่ที่หลังประตูพร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน
แต่ความจริงแล้ว กลไกของประตูบานนี้ถูกกู้เฉิงเฟิงจัดการไปเรียบร้อยแล้ว พวกเขาไม่อาจเปิดประตูเข้ามาจากด้านนอกได้
ณ นอกประตูห้องลับ เย่ชิงยืนมองอาจารย์ขอตัวเองด้วยสีหน้าสับสนงุนงง
“พวกข้ากำลังหาวิธีอยู่ อดทนไว้ก่อนนะ” กั๋วซือเอ่ย
แววตาของเย่ชิงชะงักไปครู่หนึ่ง
เซียวเหิงตอบ “เร่งมือหน่อยนะพวกท่าน เสด็จแม่ทรงบาดเจ็บสาหัสมาก”
กั๋วซือตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ “เข้าใจแล้ว อวี้เหอ ไปหาอุปกรณ์มางัดประตู”
“ขอรับท่านอาจารย์!” ชีวิตคนต้องมาก่อน อวี้เหอรีบวิ่งออกไปตามอุปกรณ์อย่างรวดเร็ว
เย่ชิงได้แต่อ้ำอึ้งไม่กล้าเอ่ยอะไร
เพราะนอกจากเขา ท่านอาจารย์ ทหารหน่วยกล้าตาย และลูกศิษย์คนอื่นๆ แล้ว ยังมีทหารของไท่จื่ออยู่อีกด้วย
เขาควรรอถามนอกรอบจะดีกว่า
ขณะเดียวกันในห้องลับ ฮ่องเต้ก็ทรงร้อนพระทัยกว่าเดิมหลังจากพบว่าประตูเปิดไม่ได้
กู้เจียวอยู่ในท่านั่งคุกเข่า และพยายามอย่างมากในการห้ามเลือด แม้แต่ใบหน้าของกู้เจียวก็เต็มไปด้วยเลือดของซ่างกวานเยี่ยน
“ยังไม่หยุดเลย แผลขององค์หญิงฉกรรจ์นัก อีกทั้งที่นี่ไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่พร้อม ทำให้ทุกอย่างยากขึ้นกว่าเดิม!”
คำพูดของกู้เจียวเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ความโกรธของเขาที่มีต่อไท่จื่อมาถึงจุดสูงสุด
เขาเดินไปหาไท่จื่อช้า พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าก็หลงนึกว่าเจ้าเป็นคนใจดี มีเกียรติ ไม่หลอกลวงใคร ในบรรดาบุตรชายของจ้าทั้งหมด เจ้าเป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ที่สุด แม้แต่ท่านผู้อาวุโสหยางเกอก็ยกย่องเจ้า! แม้เจ้ามิใช่บุตรเอก มิใช่พี่ใหญ่ แต่ข้ากลับไม่ฟังความคิดเห็นคนอื่น ยังยืนกรานแต่งตั้งให้เจ้าเป็นรัชทายาทแห่งแคว้นเยี่ยน หลายปีที่ผ่านมา ข้าไม่รู้เรื่องกลอุบายทางการเมืองของเจ้า ทั้งเรื่องที่อยู่ในสายตาและนอกสายตา ข้าอนุญาตให้เจ้าสร้างอำนาจขึ้นด้วยตัวเอง เรื่องที่เจ้าพยายามเอาชนะตระกูลขุนนาง ข้าก็ทำเป็นปิดตาข้างหนึ่งลืมตาข้างนึ่งมาตลอด ข้ารู้ดีว่าข้าไม่สามารถบังคับเจ้าให้เป็นจักรพรรดิได้โดยไม่มีการวางแผนใด ตราบใดที่เจ้าไม่ล้ำเส้นกันเกินไป เจ้ามีทางเลือกตั้งมากมาย แต่กลับเลือกใช้วิธีสกปรกๆ แบบนี้! หรือว่าเจ้าไม่พอใจกับการเป็นไท่จื่ออย่างนั้นรึ! เจ้าอยากกำจัดข้าไปให้พ้นๆ ทางของเจ้าเพื่อที่เจ้าจะขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้โดยเร็วที่สุดสินะ!”
ไท่จื่อได้ฟังดังนั้นก็ถึงกับแขนขาอ่อนจนต้องคุกเข่าลงบนพื้น “เสด็จพ่อ! กระหม่อมไม่เคยคิดเช่นนั้น! กระหม่อมไม่เคยคิดจะปลงพระชนม์เสด็จพ่อ! กระหม่อมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหลงอ้าวเทียนนั่น! หากเสด็จพ่อไม่เชื่อ โปรดเรียกตัวผังไห่เข้ามาทีพ่ะย่ะค่ะ เขาเป็นพยานให้กระหม่อมได้!”
จากนั้นฮ่องเต้ชี้ไปทางกู้เฉิงเฟิงที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น “เช่นนั้น เป็นเรื่องบังเอิญหรือที่พวกเขาเจอกันตอนเซียวลิ่วหลังกำลังถูกไล่ล่าน่ะ”
ไท่จื่อพูดไม่ออก
“เจ้าคิดว่าข้าเขลานักรึอย่างไร ถึงอ่านอุบายของเจ้าไม่ออก เห็นได้ชัดว่าเจ้าจงใจหลอกล่อให้คนคนนี้เข้าใกล้เซียวลิ่วหลัง และทำความคุ้นเคยกับเขา แล้วก็บังเอิญที่เยี่ยนเอ๋อร์ กับชิ่งเอ๋อร์พำนักอยู่ที่ตำหนักฉีหลิน จากนั้นเจ้าก็สร้างเรื่องให้พวกเขาทั้งสามเป็นพวกเดียวกัน เจ้านี่เก่งจริงๆ นะ ถึงขนาดหลอกให้ลูกศิษย์ของกั๋วซือเป็นพยานได้!”
ไท่จื่อได้แต่อึ้งชะงักไปจนพูดไม่ออก
กู้เจียวเองก็เช่นกัน
คาดไม่ถึงเลยว่าทักษะการเชื่อมโยงเรื่องราวของฝ่าบาทจะทรงพลังเช่นนี้ ที่เซียวเหิงได้พรสวรรค์การเขียนบทนั้นเป็นเพราะกรรมพันธุ์หรือไม่นะ