สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 775-2 ท่านย่าขาใหญ่ (2)
บทที่ 775-2 ท่านย่าขาใหญ่ (2)
กู้เจียวมองท่าทางจมอยู่กับความคิดของเขา พลางเอ่ย “วันนี้เล่าให้เจ้าฟังเท่านี้ก่อน เจ้าไปทำความเข้าใจสักหน่อย วันหลังข้าจะเล่าให้ฟังต่อ”
“อื้อ” เซียวเหิงพยักหน้า
กู้เจียวเอ่ย “ข้าควรไปดูกู้ฉังชิงแล้ว อ๊ะ จริงสิ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่ค่อยจะเข้าใจเลย”
เซียวเหิงถาม “เรื่องอะไรหรือ”
กู้เจียวหยุดเว้นก่อนจะเอ่ย “กู้ฉังชิงบอกว่า ไท่จื่อ… ไม่สิ เขาไม่ใช่ไท่จื่อแล้ว ซ่างกวานฉีรู้แล้วว่าข้าไม่ใช่เซียวลิ่วหลังตัวจริง แล้วเหตุใดเขาไม่เปิดโปงข้าต่อหน้าฮ่องเต้เล่า”
ข้อสงสัยนี้เซียวเหิงก็วิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว เขาเอ่ย “เพราะเปิดโปงเจ้าก็ยืนยันได้แค่ว่าเจ้าเป็นคนเลวเท่านั้น ไม่อาจลบล้างโทษปลงพระชนม์ของเขาไปได้ นี่มันคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง ต่อให้เขาบอกว่าเจ้าเป็นสายลับที่ซ่างกวานเยี่ยนส่งมา แต่หลักฐานเล่า เขาไม่มีหลักฐาน ก็กลายเป็นการใส่ร้ายซ่างกวานเยี่ยนปากเปล่า”
กู้เจียวกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
เซียวเหิงเอ่ยต่อ “ยังมีเหตุผลที่สำคัญอีกอย่าง เจ้าไม่มีที่พึ่งที่แข็งแกร่ง ทหารม้าเฮยเฟิงตกอยู่ในมือเจ้ามีประโยชน์กว่าตกอยู่ในตระกูลอื่น ในอนาคตเขายังกลับมาทวงคืนได้ง่าย”
กู้เจียวส่งเสียงอ๋อ “ดังนั้นความจริงแล้วเขาก็กำลังใช้ประโยชน์จากข้าเช่นกัน ซ่างกวานฉีเจ้าเล่ห์กว่าที่คิดไว้เสียอีก”
เซียวเหิงจัดปอยผมดำขลับของนางที่ร่วงลงมา ก่อนจ้องมองนางอย่างแน่วแน่ทว่าอ่อนโยน “ต้องมีสักวันที่เขาจะเข้าใจ ว่าเจ้าที่โดนดูถูกต่างหากคือศัตรูที่เขาไม่อาจสั่นคลอน”
“พูดถึงศัตรูแล้ว” กู้เจียวขมวดคิ้วมุ่น “นึกไม่ถึงว่าข้างกายไท่จื่อจะมียอดฝีมือที่ทำร้ายกู้ฉังชิงได้ ก่อนหน้านี้กู้ฉังชิงไม่เคยเจอเขามาก่อน มันน่าฉงนนัก”
เซียวเหิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง “แปลกจริงๆ นั่นแหละ ในเมื่อคนผู้นั้นเก่งกาจเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่ให้เขาเข้าร่วมการคัดเลือกในครานี้ด้วยเล่า เขาน่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่ากู้ฉังชิงนี่นา”
กู้เจียวลูบคาง “ข้าจะหาโอกาสไปสืบความจริงที่จวนไท่จื่อดู”
“ข้าไปสืบเอง” เซียวเหิงเอ่ย “ข้าเป็นพระนัดดา รอให้ฮ่องเต้ตื่นจากบรรทมก่อน ข้าจะหาข้ออ้างไปยังจวนไท่จื่อ ดูว่าคนที่ทำร้ายคนผู้นั้นเป็นเทพเซียนมาจากไหน”
…
เรื่องที่ซ่างกวานฉีถูกปลดออกจากตำแหน่งไท่จื่อถูกลือกันให้ทั่วทั้งวังหลวงในค่ำวันนั้น
หันกุ้ยเฟยกำลังคัดคัมภีร์อยู่ในห้อง ได้ยินข่าวร้ายนี้เข้า พู่กันในมือนางก็พลันร่วงลงบนคัมภีร์ที่คัดไปได้ครึ่งเดียว
คัมภีร์ทั้งแผ่นถูกทำลายในชั่วพริบตา
หันกุ้ยเฟยนั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะรอง หันมามองขันทีน้อยที่คุกเข่าอยู่หน้าประตูด้วยความเย็นชา “พูดอีกทีซิ! เกิดเหตุอันใดขึ้นกับโอรสของข้า!”
ขันทีน้อยโขลกหน้าผากกับพื้น หมอบอยู่บนพื้นตัวสั่นด้วยความกลัว “ทะ ทะ ทะ ทูลกุ้ยเฟย องค์ชายรองลอบสังหารฮ่องเต้ที่ตำหนักกั๋วซือ ฮ่องเต้ทรงกริ้วหนัก… องค์ชายรอง… จึงโดนปลดตำแหน่งไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ!”
หันกุ้ยเฟยขยำแส้ขนหางจามรีในมือเป็นก้อน “เหลวไหล! ไท่จื่อจะไปลอบสังหารฝ่าบาทได้อย่างไร!”
ขันทีน้อยเอ่ยอย่างหวาดกลัว “บ่าว บ่าวก็เพิ่งจะได้ข่าวมาเช่นกัน”
หันกุ้ยเฟยตวาดลั่น “ไป! ไปเรียกคนข้างกายไท่จื่อมา!”
“พะ… พ่ะย่ะค่ะ!”
ขันทีน้อยล้มลุกคลุกคลานเดินออกไป
“ไม่ต้องไปตามแล้ว เรื่องนี้เป็นความจริง”
พร้อมกับเสียงทุ้มต่ำนี้ บุรุษอาภรณ์ดำสวมหมวกสานคนหนึ่งสาวเท้าเดินมาจากความมืด
หันกุ้ยเฟยส่งสายตาให้ขันทีใหญ่
ขันทีใหญ่กระจ่าง พานางกำนัลคนสนิทสองคนของตำหนักออกมา ก่อนงับประตูให้จากด้านนอก
หันกุ้ยเฟยมองบุรุษแวบหนึ่ง สีหน้ากลับไม่ได้ยโสเหมือนยามอยู่ต่อหน้าคนรับใช้ อย่างไรเสียก็เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว นางก็ทำสีหน้าดูดีอะไรไม่ได้เช่นกัน
“เจ้ามาแล้วรึ” นางเอ่ยเสียงนิ่ง “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
บุรุษอาภรณ์ดำนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้านาง “เป็นคนที่ต่อกรด้วยยากพ่ะย่ะค่ะ”
หันกุ้ยเฟยตกใจชะงักไป “คนที่ทำให้เจ้ารู้สึกว่าต่อการได้ยากมีไม่มาก”
บุรุษอาภรณ์ดำถอนหายใจช้าๆ “เป็นที่ปรึกษาของจวนไท่จื่อคนนั้น เรื่องนี้ก็นับว่าเป็นความเลินเล่อของข้าด้วยเช่นกัน ข้าไม่อาจสังหารเขาในดาบเดียวได้ ทำให้เขาหนีไป ไท่จื่อไปจับตัวเขา สุดท้ายจึงตกหลุมพรางของซ่างกวานเยี่ยน”
หันกุ้ยเฟยถาม “เป็นฝีมือซ่างกวานเยี่ยนรึ”
บุรุษอาภรณ์ดำเอ่ยเสียงนิ่ง “อาจจะเป็นฝีมือพระนัดดาเช่นกัน อย่างไรสองแม่ลูกคู่นั้นก็อยู่ด้วย และไม่ใช่แผนการที่วางไว้อย่างไร้ช่องโหวเท่าใดนัก เพียงแต่เล่นกับใจคนสุดแสน นอกจากนี้ ตำหนักกั๋วซือก็รับบทที่น่าสนใจมากในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน”
หันกุ้ยเฟยขมวดคิ้วเรียว “หมายความว่าอย่างไร”
บุรุษอาภรณ์ดำเอ่ย “จากสถานะของกั๋วซือนั้น เดิมสามารถห้ามองค์ชายรองไม่ให้เขาเข้าไปตรวจสอบที่ตำหนักกั๋วซือได้ แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น ข้าคิดว่าเขาจงใจ”
หันกุ้ยเฟยเอ่ยอย่างเหลือเชื่อ “เจ้ากำลังจะบอกว่ากั๋วซือสมคบคิดกับซ่างกวานเยี่ยนอย่างนั้นรึ เป็นไปไม่ได้! ซ่างกวานเยี่ยนกับตระกูลเซวียนหยวนตกต่ำเช่นนี้ได้ต้องขอบคุณกั๋วซือที่ประทานให้ด้วยซ้ำ!”
บุรุษอาภรณ์ดำถอนหายใจเฮือก เอ่ยเสียงเนิบ “กุ้ยเฟย สิ่งที่เป็นไปไม่ได้บนโลกนี้ต่างหากที่ยิ่งทำให้เราคาดไม่ถึงและรับมือไม่ทัน พวกท่านเป็นคนในจึงมองไม่ออก ข้าเป็นคนนอกยืนชมอยู่จึงมองออกชัดแจ้ง ดังนั้นข้าพูดไปพวกท่านก็ไม่มีทางเชื่อหรอก ต่อให้ฮ่องเต้จะแอบสงสัยว่าตำหนักกั๋วซือรับบทหนึ่งในนั้น ก็คงไม่ปลดฐานันดรไท่จื่อขององค์ชายรองเดี๋ยวนั้นเลยหรอก”
หลังจากหันกุ้ยเฟยสงบสติอารมณ์แล้ว ก็แค่นเสียงเย็นเอ่ย “แล้วอย่างไรเล่า ตำหนักกั๋วซือสอดมือเข้ามาถึงข้าได้รึ ข้าไม่สนว่าซ่างกวานเยี่ยนกับกั๋วซือจะมีข้อตกลงอะไรกันลับหลัง ขอแค่นางกล้าคืนฐานันดรองค์หญิง ข้าก็มีวิธีจะจัดการกับนาง!”
บุรุษอาภรณ์ดำเกลี้ยกล่อมอย่างหวังดี “ซ่างกวานเยี่ยนไม่เหมือนกับเมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว กุ้ยเฟยจะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด”
หันกุ้ยเฟยเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “กะอีแค่องค์หญิงคนหนึ่ง แม้แต่เสด็จแม่เซวียนหยวนหันเยี่ยนยังพ่ายแพ้ให้กับข้า! ที่เป็นฮองเฮาก็ยังสู้ข้าไม่ได้ นางคิดว่าเป็นองค์หญิงแล้ววิเศษวิโสมากนักรึ”
บุรุษอาภรณ์ดำยกถ้วยชาขึ้น “วิธีการของกุ้ยเฟยสมควรยกย่องให้เลิศล้ำที่สุดในวังหลัง”
หันกุ้ยเฟยยิ้มเย็น “หากว่าด้วยเรื่องชิงรักหักสวาทในวังหลังแล้ว ข้าไม่เคยแพ้มาก่อน!”
จันทร์กระจ่าง ดาราอับแสง
รถม้าเก่าโทรมคันหนึ่งโคลงเคลงมาถึงหน้าประตูเมืองเซิ่งตู
ทหารยามเฝ้าประตูเมืองขวางรถม้าเอาไว้ “หยุด! เจ้าเป็นใคร!”
สารถีหยุดรถม้าลง
ชายสูงวัยคนหนึ่ง ใบหน้าเคร่งขรึม แผ่กลิ่นอายนักปราชญ์ออกมาเลิกม่านรถม้าขึ้น ยื่นหนังสือในมือไปให้ “รบกวนน้องชายอะลุ่มอล่วยที พวกเรารีบเข้าเมือง”
ทหารยามเปิดหนังสือราชการออกดู “เจ้าเป็นอาจารย์ของสำนักบัณฑิตหลิงโปรึ เจ้าออกจากเมืองไปได้อย่างไร”
ชายสูงวัยยิ้มเอ่ย “อ่า ข้ากลับบ้านเก่าไปเยี่ยมญาติน่ะ”
“ประตูเมืองปิดแล้ว!”
ทหารยามอีกคนที่อยู่ภายในเมืองตะโกนขึ้น
โดยปกติแล้ว เมื่อถึงเวลาปิดประตูเมืองจะไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าเมืองได้อีก
ชายสูงวัยยัดถุงเงินให้เขา
ยามกะน้ำหนักดู จำนวนเป็นที่น่าพอใจมาก
เขายัดถุงเงินเข้าในอกอย่างไม่เป็นที่สังเกตเห็น แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หมู่นี้เซิ่งตูเกิดเรื่องขึ้นไม่น้อย คนที่มายังเซิ่งตูต้องโดนตรวจสอบเคร่งมาก ตามหลักแล้วต้องดูใบรับรองผ่านทางกลับบ้านเก่าของเจ้าด้วย แต่ทหารที่ตรวจใบผ่านทางออกเวรไปเมื่อเวลาหนึ่งเค่อที่แล้ว ข้าดูแล้วเจ้าอายุอานามมากเพียงนี้ จะนอนกลางดินกินกลางทรายอยู่ข้างนอกคงไม่สะดวก จึงผ่อนผันให้เจ้าไปแล้วกัน! ช้าก่อน ในรถม้ามีผู้ใดอยู่อีก”
ชายสูงวัยเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน “ภรรยาข้าเอง”
ทหารยามมองเข้าไปในม่าน
เห็นเพียงหญิงชราในอาภรณ์เรียบง่าย กำลังกอดโหลผลไม้เชื่อม กินผลไม้เชื่อมไม่หยุดปาก
“มองอะไรอยู่ได้!” หญิงชราถลึงตาใส่เขาอย่างโหดเหี้ยม
ทหารยามโดนตวาดใส่จนชะงัก
ตะ…ต้องตรวจทะเบียนบ้านด้วยนะ บอกว่าเป็นภรรยาปากเปล่าได้หรือ
บังเอิญในขณะนั้นเอง หญิงชรารู้สึกคันหลัง นางอยากจะเกา
นางเพิ่งจะยกมือขึ้น ทหารยามก็เห็นชายสูงวัยที่อยู่ข้างๆ กุมศีรษะไว้ตามจิตใต้สำนึกทันที!
ทหารยาม “…”
เอ่อ…หากไม่โดนข่มเหงมานานหลายสิบปีก็คงมีสภาพนี้ไม่ได้หรอก
ไม่ต้องตรวจแล้ว นี่หากไม่ใช่สามีภรรยากันเขาให้ฟันหัวเลย!