สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 776 คืนตำแหน่ง
บทที่ 776 คืนตำแหน่ง
กู้เจียวกับเซียวเหิงในตอนนี้ไม่ได้รู้เลยว่าท่านย่ากับท่านปู่ขับรถม้าซอมซ่อ เดินทางตรากตรำเข้ามาในเมืองแล้ว
เมื่อเซียวเหิงกลับมาที่ห้อง กู้เจียวก็มัดผมที่แห้งแล้วขึ้นบนศีรษะ จากนั้นก็ไปยังห้องลับ
ไม่กล่าวถึงคงไม่ได้ ฝีมือของเซียวเหิงไม่เลวจริงๆ ขาทั้งสองข้างของนางไม่ได้ปวดถึงเพียงนั้นแล้ว
กู้เจียววางกล่องยาใส่ช่องเว้า เปลี่ยนชุดปลอดเชื้อเข้าไปในห้องผู้ป่วยหนัก
อัตราการเคลื่อนที่ของเวลาในสองมิตินี้เท่ากัน ด้านนอกผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ในนี้ก็ผ่านไปสองชั่วโมงเช่นกัน
เพียงแต่ว่า ดูเหมือนบริเวณแสดงวันที่บนเครื่องมือหลักต่างๆ จะเสียแล้ว มองได้แต่เวลา
ยามนี้เป็นเวลาตีหนึ่ง สามสิบเก้านาที
กู้ฉังชิงสวมหน้ากากออกซิเจนไว้ มีสายระโยงระยางเต็มไปหมด นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยที่ไร้อุณหภูมิ
ภายในห้องเงียบมาก มีเพียงเสียงกลไกเล็กน้อยของเครื่องมือเท่านั้น
กู้เจียวได้ยินเสียงลมหายใจหนักๆ ของเขาได้อย่างชัดเจน มันทั้งยากลำบากและติดขัด
ปราณกระบี่ของคนผู้นั้นทำร้ายกำลังภายในของเขาย่อยยับ อวัยวะภายในเสียหายหมด เส้นเอ็นและหลอดเลือดดำก็ขาดครึ่ง
นางใช้ยาที่ดีที่สุดกับเขา แต่ก็ยังไม่อาจรักษาชีวิตเขาให้พ้นขีดอันตรายได้
แอ๊ด
ประตูด้านหลังถูกเปิดออก
เป็นใต้เท้ากั๋วซือที่สวมชุดปลอดเชื้อเดินมาอย่างสงบนิ่ง
“ท่านเข้ามาได้อย่างไร” กู้เจียวถาม
นางจำได้ว่านางลงกลอนกลไกประตูเหล็กแล้วแท้ๆ
“ประตูเปิดจากด้านนอกได้” ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ยพลางเดินมาหยุดข้างเตียง
เปิดจากด้านนอกได้ เช่นนั้นเมื่อกลางวันเขาก็จงใจไม่บุกเข้ามาขัดการทำโทษไท่จื่อน่ะสิ
คนผู้นี้แปลกจริงๆ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นหนึ่งในคนที่ทำร้ายตระกูลเซวียนหยวนแท้ๆ กลับช่วยเหลือนางกับคนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเซวียนหยวนคราแล้วคราเล่า
ใต้เท้ากั๋วซือมองกู้ฉังชิงที่หมดสติอยู่ ก่อนเอ่ย “เจ้าไปพักเถิด คืนนี้จะเฝ้าให้เอง”
กู้เจียวไม่ขยับ
ไม่รู้ว่าเพราะมองออกว่ากู้เจียวไม่ไว้ใจตนหรือไม่ ใต้เท้ากั๋วซือจึงเอ่ยขึ้นเนิบๆ “เขามาหาข้าแล้ว ด้วยเรื่องของเจ้า”
แววตากู้เจียววูบไหว
ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ยต่อ “จุดประสงค์ที่เขามายังแคว้นเยี่ยนคือเพื่อรักษาอาการป่วยของเจ้าให้หาย ที่เขากลายเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เจ้าไม่ต้องโทษตัวเอง และเจ้าก็ทุ่มสุดชีวิตเพื่อเขาแล้วเช่นกัน”
เขาเอ่ยพลางหันไปมองกู้เจียวแวบหนึ่ง บังเอิญกู้เจียวก็หันมามองเขาเช่นกัน
แววตากู้เจียวเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไรอย่างเห็นได้ชัด
ใต้เท้ากั๋วซือจึงเอ่ย “ตอนที่ด่านชายแดนแคว้นเจาโจมตีเทียนหลางนั้น เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าสู้เทียนหลางไม่ได้ แต่ก็ยังจะกำจัดศัตรูที่แข็งแกร่งคนนี้ให้กู้ฉังชิงอีก สุดท้ายก็เกือบจะตายด้วยน้ำมือเทียนหลาง ซ้ำยังติดโรคติดต่อมาอีก”
กู้เจียวดึงสายตากลับมา จ้องกู้ฉังชิงพลางพึมพำ “เขาคุยแม้แต่เรื่องนี้กับท่านได้อย่างไร”
ใต้เท้ากั๋วซืออธิบายอย่างใจดี “ข้าต้องการรู้อดีตของเจ้า รวมถึงคนและเรื่องราวทุกคราที่ก่อนและหลังที่เจ้าจะหลุดการควบคุม ยิ่งละเอียดเท่าใดยิ่งดี จึงจะสามารถวินิจฉัยออกมาได้แม่นยำที่สุด”
กู้เจียวถาม “เช่นนั้นท่านวินิจฉัยออกมาได้แล้วหรือ”
ใต้เท้ากั๋วซือส่ายหน้า “ยัง อาการของเจ้าซับซ้อนมาก และพิเศษมากด้วย แต่ว่า…”
เขาเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็ชะงักไป
“แต่ว่าอะไรรึ” กู้เจียวมองเขา
ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ย “ข้าเคยเจอพวกที่มีอาการคล้ายกับเจ้าในบางด้าน”
กู้เจียว “ท่านพูดจาอ้อมค้อมเช่นนี้เสมอเลยรึ”
ใต้เท้ากั๋วซือกระแอมเบาๆ เอ่ย “คืออาการคล้ายคลึงกับเจ้า แต่ไม่ได้เหมือนทั้งหมด พวกเขาก็สติหลุดเช่นกัน ส่วนใหญ่จะเป็นตอนต่อสู้ สาเหตุที่หลุดนั้นต่างกันออกไป บ้างก็ถูกกระตุ้นเพลิงโทสะในใจขึ้นมา บ้างก็อยู่ในช่วงอันตรายถึงชีวิต ยามไม่หลุดก็ไม่แตกต่างจากคนทั่วไปเลย”
กู้เจียวครุ่นคิด “หลังจากสติหลุดแล้วศักยภาพจะเพิ่มขึ้นหรือไม่”
ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ย “เพิ่ม แต่ไม่ได้เพิ่มมากเท่ากับของเจ้า ดังนั้นข้าจึงได้บอกว่า อาการของพวกเจ้าคล้ายคลึงกัน แต่ไม่ได้เหมือนกันทั้งหมด”
ไม่เหมือนกันจริงๆ ความรุนแรงในร่างกายของนางมีอยู่ตลอดเวลา แต่นางก็คุ้นชินกับการมีอยู่ของพวกมันแล้ว
เหมือนกับคนคนหนึ่งที่เกิดมาก็มีความเจ็บปวดมาด้วย เขาจึงรู้สึกว่าความเจ็บปวดคือสิ่งปกติ
เลือดจะทำให้นางสูญเสียความควบคุม ทำให้นางทรมานขึ้นกว่าเดิม แต่ผ่านการฝึกฝนมานานหลายปี นางจึงควบคุมได้ดีมากแล้ว
สถานการณ์ที่ไม่อาจควบคุมได้คือการอยู่ในสนามรบ เลือด การต่อสู้ ความตาย ปัจจัยไม่ดีทั้งหมดมารวมกัน ก็จะกระตุ้นให้นางสติหลุด
ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ย “หลายปีมานี้ข้าศึกษาคนเหล่านั้นอยู่ตลอดว่าเหตุใดตอนแรกจึงสติหลุดเสียการควบคุม พบว่าพวกเขาไม่ได้เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เกิด ล้วนเกิดอาการเช่นนี้หลังจากโดนพิษแล้วทั้งสิ้น นายท่านห้าหันเจ้าเคยเจอ เจ้าคิดว่าฝีมือเขาเป็นเช่นไร”
กู้เจียวเอ่ยจับประเด็น “ก็ไม่เลว ช้าก่อน เขาคงไม่ใช่หนึ่งในนั้นหรอกกระมัง”
ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ย “เขาคือคนที่ปกติที่สุด แทบจะไม่สติหลุดเลย ที่ข้ารวมเขาเข้ามาด้วยเป็นเพราะเขาก็มีกำลังภายในเพิ่มพูนขึ้นอย่างรุนแรงหลังจากโดนพิษเช่นกัน ซึ่งแลกมากับความชรา”
กู้เจียวลูบคาง “เขายังหนุ่มยังแน่นแต่ผมหงอกขาวแล้ว ที่แท้ก็เพราะเหตุนี้นี่เอง พิษอะไรรึจึงร้ายกาจถึงเพียงนี้”
ใต้เท้ากั๋วซือส่ายหน้า “ไม่แน่ชัด ข้ายังสืบไม่ได้ คนอื่นๆ ที่เหลือล้วนสติหลุดอย่างน้อยๆ สามคราขึ้นไป คนเหล่านี้ล้วนเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจมาก ซึ่งสองคนในนั้นเป็นตัวอันตรายที่สุด”
เขาใช้คำว่าอันตราย
จากสถานะปัจจุบันของเขายังสามารถให้คำจำกัดความเช่นนี้ คงไม่ใช่อันตรายธรรมดาๆ แน่
กู้เจียวเลียมุมปากอย่างสนใจใคร่รู้ “ใครรึ”
ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ยเสียงนิ่ง “ข้าไม่รู้นามจริงของพวกเขา รู้แต่นามแฝงในยุทธภพ คนหนึ่งนามว่าวิญญาณทมิฬ อีกคนนามว่าพิฆาตเวหา”
ชื่อเสียงเรียงนามเท่ระเบิดเช่นนี้ พิชิตพสุธาของเขาฟังดูกระจอกไปเลย
ใต้เท้ากั๋วซือเห็นท่าทางขมขื่นของนางแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่านางกำลังคิดเรื่องฉายานามในยุทธภพอยู่ นึกว่านางกำลังไตร่ตรองตัวตนของอีกฝ่ายอยู่
เขาเอ่ย “วิญญูทมิฬยามนี้เป็นที่ปรึกษาของหันกุ้ยเฟย หากข้าเดาไม่ผิด คนที่ทำร้ายกู้ฉังชิงก็คือเขานี่ล่ะ”
เก่งไม่เบา แม้แต่นามจริงของกู้ฉังชิงก็รู้แล้ว
ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ยนิ่งๆ “ที่ข้าอยากเตือนเจ้าก็คือ อย่าไปล้างแค้นวิญญาณทมิฬสุ่มสี่สุ่มห้า เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาหรอก คนที่จะจัดการกับวิญญาณทมิฬได้…มีเพียงพิฆาตเวหาเท่านั้น น่าเสียดายที่พิฆาตเวหาหายตัวไปจากแคว้นเยี่ยนตั้งแต่ยี่สิบเอ็ดปีก่อนแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาไปที่ใด จวบจนบัดนี้ก็ยังไร้ข่าวคราว”
เมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อน
นั่นมันปีที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนของแคว้นเจาสวรรคตมิใช่หรือ
ก่อนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนแคว้นเจาจะสวรรคตเคยพระราชทานองครักษ์หลงอิ่งสี่นายให้กับองค์หญิงซิ่นหยาง ซ้ำยังทิ้งพระราชโองการไว้ให้องค์หญิงซิ่นหยางอภิเษกกับเซวียนผิงโหวในช่วงไว้ทุกข์ด้วย
หลงอีเป็นคนที่จับพลัดจับผลูเพิ่มเข้ามาในปีนั้น
กู้เจียวหันไปมองใต้เท้ากั๋วซือ ก่อนจะถาม “พิฆาตเวหาอายุเท่าใด”
ใต้เท้ากั๋วซือนึกย้อนความทรงจำในสมอง เอ่ย “ตอนที่เขาหายตัวไปยังเด็กอยู่ สิบสาม สิบสี่ปีเท่านั้น”
อายุสอดคล้องกับหลงอีเลย
คงไม่ใช่ว่าเป็นหลงอีจริงๆ หรอกกระมัง
กู้เจียวอดนึกถึงภาพเหมือนใบนั้นที่เคยเห็นในหอตำราเมื่อคราก่อนขึ้นมาไม่ได้ เด็กหนุ่มในภาพเหมือนคล้ายกันในด้านจิตวิญญาณกับหลงอี
กู้เจียวถามอย่างไม่กระโตกกระตาก “ข้าขอดูภาพเหมือนของวิญญาณทมิฬกับพิฆาตเวหาได้หรือไม่”
…
อรุณเพิ่งจะเบิกฟ้า
ฮ่องเต้ตื่นจากบรรทมอันเหนื่อยล้า ทรงเสวยยาไป ฤทธิ์ยายังอยู่ จึงยังมึนๆ งงๆ อยู่
จางเต๋อเฉวียนได้ยินเสียงเคลื่อนไหว จึงรีบลุกพรวดขึ้นจากที่นอน เดินย่องเบามาข้างแท่นบรรทม “ฝ่าบาท ท่านตื่นบรรทมแล้วหรือ ยังปวดพระเศียรอยู่หรือไม่ จะให้บ่าวไปตามท่านกั๋วซือหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้องแล้ว” ฮ่องเต้ลุกขึ้นมานั่ง สงบสติอารมณ์ครู่หนึ่งก็ถาม “องค์หญิงสามกับเสี่ยวเสวี่ยเล่า”
อะ… องค์หญิงสามอย่างนั้นรึ
ฮ่องเต้เรียกองค์หญิงสามครั้งล่าสุดเมื่อคราซ่างกวานเยี่ยนอายุเต็มเดือนโน่น ตั้งแต่งานเลี้ยงครบเดือนแต่งตั้งซ่างกวานเยี่ยนเป็นองค์หญิงแล้ว ฮ่องเต้ก็เรียกนางแค่สองอย่าง.. .ต่อหน้าคนเรียกองค์หญิง ลับหลังคนเรียกเยี่ยนเอ๋อร์
ฮ่องเต้อาจจะพลั้งปากเรียกองค์หญิงอยู่บ้าง
แต่ฮ่องเต้ไม่มีทางพลั้งปากเรียกองค์หญิงสามแน่นอน
ดูท่าเจ้านายน้อยที่สูญเสียอำนาจไปท่านนี้จะกลับคืนฐานันดรองค์หญิงแล้วล่ะ
จางเต๋อเฉวียนรีบทูล “ทูลฝ่าบาท ท่านหญิงน้อยพักอยู่ที่ห้องข้างๆ บ่าวให้แม่นมในวังมาดูแลแล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงสามถูกช่วยชีวิตอยู่ในห้องลับสามชั่วยามเพิ่งจะออกมา เดิมทีองค์หญิงสามก็มีแผลเก่าอยู่แล้ว กระดูกสันหลังฝังหมุดไว้… ซ้ำยังรับกระบี่แทนฝ่าบาทอีก ผู้บัญชาการเซียวบอกว่า… จะฟื้นขึ้นมาได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับชะตากรรมของนางแล้ว”
ฮ่องเต้ตื่นมาก็พลันเกิดความรู้สึกว่าพระองค์ลงโทษซ่างกวานฉีมากเกินไป แรกๆ ซ่างกวานฉีไม่ได้คิดจะฆ่าพระองค์ เป็นมือสังหารที่ถนัดการล่อลวงให้ไท่จื่อปลงพระชนม์
แต่เมื่อได้ฟังว่าซ่างกวานเยี่ยนอาจจะไม่รอดแล้ว ฮ่องเต้ก็ร้อนใจดังไฟเผา
ซ่างกวานฉีไยไม่พุ่งมาขวางดาบเล่า
คนของเขาก่อกบฏ แต่ทำร้ายซ่างกวานเยี่ยนให้รับดาบแทน!
และไม่ได้ยินเขาออกปากห้าม ตกใจจนบื้อใบ้ไปแล้วรึ เหอะ เกรงว่าจะเห็นด้วยกับการกระทำของมือสังหารเสียมากกว่า!
ฮ่องเต้ยิ่งคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยิ่งโมโห “เราควรจะปลดเขาเสียได้ตั้งนานแล้ว!”
…
ฮ่องเต้เสด็จไปยังห้องของซ่างกวานเยี่ยน
อาการบาดเจ็บของซ่างกวานเยี่ยนเกิดจากอุปกรณ์ประกอบฉาก เมื่อเปิดผ้าพันแผลออกก็จะเห็น ‘แผลเย็บ’ ได้
แต่อันที่จริงฮ่องเต้ก็ไม่มีทางไปเปิดผ้าพันแผลของนางหรอก
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเซียวเหิงที่เฝ้าอยู่ข้างเตียง ก่อนพรูลมหายใจยาวเหยียดตรัส “สุขภาพร่างกายเจ้าสำคัญ อย่าอดนอนจนป่วยไข้ ที่นี่มีนางกำนัลขันทีเฝ้าอยู่”
ตรัสว่ามีนางกำนัล แต่ความจริงมีเพียงนางกำนัลน้อยคนเดียวเท่านั้น
ฮ่องเต้ยิ่งรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม “จางเต๋อเฉวียน”
“บ่าวอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ” จางเต๋อเฉวียนเดินขึ้นหน้า เอ่ยอย่างรู้ใจ “บ่าวกลับวังแล้วจะรีบเลือกนางกำนัลคล่องแคล่วมาสองสามนางพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยังต้องไปประชุมเช้า ทรงเฝ้าอยู่ข้างเตียงพักหนึ่งจึงเสด็จกลับไป
“น้อมส่งเสด็จปู่” เซียวเหิงประสานมือคำนับ
ไปแล้วรึ
ซ่างกวานเยี่ยนเลิกมุ้งกันยุ่งออก ชะโงกศีรษะออกมาจากในมุ้ง
เซียวเหิงรีบไปกดนางกลับเข้าไปในมุ้ง “เสด็จปู่กลับดีๆ พ่ะย่ะค่ะ!”
คนยังไม่ทันก้าวออกจากห้องเลย!