สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 777-3 พบพานท่านย่า (3)
บทที่ 777 พบพานท่านย่า (3)
จี้จิ่วอาวุโสทอดมองจากข้างในตรอก
รถม้าเคลื่อนผ่านเขาไป
เกือบครึ่งชั่วยามต่อมา นักเรียนคนสุดท้ายก็ออกมาจากสำนักบัณฑิตหลิงโปแล้ว ยามของสำนักบัณฑิตหลิงโปเริ่มปิดประตูใหญ่
จี้จิ่วอาวุโสตกใจ “เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้น ไยจึงปิดประตูแล้วเล่า” เขาหันกลับไปมองจวงไทเฮาที่อยู่ในรถม้า “เมื่อครู่นี้เสี่ยวจิ้งคงออกมาแล้วหรือ เจ้าเห็นหรือไม่”
“ยังไม่ออกมา” จวงไทเฮาตรัส
นางอายุปูนนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงกับดวงตาฝ้าฟาง นางมั่นใจยิ่งว่าตัวเองไม่ได้มองข้ามไป
จี้จิ่วอาวุโสฉงน “หรือว่า…วันนี้จิ้งคงจะไม่ได้มาเรียน คงไม่ใช่ว่าที่พวกเขาไม่ได้มาสำนักบัณฑิตหลิงโป เพราะเกิดเรื่องกับพวกเขาหรอกนะ พวกเขา…”
จวงไทเฮาตรัสเสียงเย็น “หุบปาก!”
จี้จิ่วอาวุโสปิดปากอย่างหวาดๆ
อากาศที่ร้อนอบอ้าวทั้งวันเริ่มมีเมฆดำปกคลุม ดูท่าฝนกำลังจะตกแล้ว
จี้จิ่วอาวุโสเอ่ย “เอาอย่างนี้ ไปค้างที่โรงเตี๊ยมก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ดีหรือไม่”
จวงไทเฮาหรี่ตาจ้องพลางเอ่ย “ประตูยังปิดไม่สนิท เหลือช่องว่างอยู่เลย รออีกหน่อย”
หอสุราที่อยู่ข้างๆ มีกลิ่นหอมหมูผัดกระเทียมโชยมาเป็นระลอก จี้จิ่วอาวุโสท้องร้องโครกครากเป็นระยะ เขาจึงเพิ่งนึกได้ว่าพวกเขาเอาแต่รอคน ยังไม่ได้กินอะไรมาเลยทั้งวัน
เขาหิวจะตายแล้ว จวงจิ่นเซ่อตะกละถึงเพียงนี้ ก็คงจะไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใดหรอก
“ข้าไปซื้ออะไรมากินก่อนนะ” เขาเอ่ยพลางลูบกระเป๋าเงินแบนๆ ของตัวเอง ก่อนกระแอมขึ้นเบาๆ เอ่ยกับจวงไทเฮา “ค่าเดินทางของข้าหมดแล้ว”
ระหว่างทางมานี้ใช้แต่เงินของเขา
จวงไทเฮากอดห่อสัมภาระในอ้อมอกแน่นอย่างระแวง “นี่เอาไว้ให้เจียวเจียว!”
ห้ามใช้แม้แต่เหวินเดียว!
จี้จิ่วอาวุโสต้องควักกระเป๋าเสื้อตัวเองอย่างจนปัญญา สุดท้ายคลำเจอเหรียญเตาปี้ที่ไม่รู้ตกลงไปในแขนเสื้อเก่าๆ ตั้งแต่เมื่อใด
เขามีโชคอยู่ไม่น้อย ปกติเหรียญเตาปี้สองเหรียญซื้อหมั่นโถวได้สองลูก วันนี้ฝนใกล้จะตกแล้ว เถ้าแก่ร้อนใจอยากเก็บร้าน จึงยกหมั่นโถวสองลูกสุดท้ายให้กับจี้จิ่วอาวุโสไปเลย
จี้จิ่วอาวุโสยกลูกที่ใหญ่กว่าให้จวงไทเฮา
ฝนตกลงมาในเซิ่งตูทันที
เส้นขอบฟ้าถูกแหวกเป็นแอ่งกว้าง เม็ดฝนห่าใหญ่อดรนทนไม่ไหวสาดเทลงมา คลอเคล้ากับลมคลั่งกระโชกแรงดังซู่ซ่า ร้านแผงลอยริมทางถูกพัดคว่ำไปหมด!
จี้จิ่วอาวุโสใช้ปากคาบหมั่นโถวครึ่งลูกที่เหลือ รีบดึงหน้าต่างรถม้าไว้แน่น พร้อมกับปล่อยม่านลง
ทว่าอากาศย่ำแย่เกินไป ม่านรถถูกพัดขาดเสียงดังแควก ลมกระโชกแรงเจือเม็ดฝนสาดเข้ามาในรถม้าอย่างไร้ความปรานี
จี้จิ่วอาวุโสรีบลุกขึ้นยืน กำลังจะใช้ร่างกายผอมโซบังฝนไว้ สองมือเขาจับกรอบประตูไว้แน่น แต่ใครจะคิดว่าครู่ต่อมา หลังคารถม้าก็โดนพัดปลิวไปแล้ว
จี้จิ่วอาวุโสถูกฝนซัดจนลืมตาไม่ขึ้น เขาไปคว้าร่มมา หมายจะกางเพื่อบังฝนให้ไทเฮา ไหนเลยจะรู้ ยังไม่ทันกางร่ม เขาก็โดนพัดจนล้มกับพื้นไปก่อนแล้ว
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงแย่แน่! ต้องรีบหาที่หลบฝน!” เขาปาดเม็ดฝนออกจากใบหน้า พยายามลืมตาขึ้น เอื้อมมือไปหาไทเฮา “รีบลงมา! ข้าจับไว้แล้ว!”
ผู้สูงวัยสองคนเผยตัวท่ามกลางสภาพอากาศเลวร้ายถึงขีดสุด เป็นเรื่องที่อันตรายมาก แค่ไม่ระวังนิดเดียวพวกเขาอาจล้มแล้วลุกไม่ขึ้นอีกเลยก็ได้
จวงไทเฮาลืมตาไม่ขึ้นตั้งนานแล้ว ย่อมมองไม่เห็นมือข้างนั้นที่เขายื่นมาหา นางมือหนึ่งกอดห่อสัมภาระไว้แน่น อีกมือคว้าผนังรถม้าไว้ ค่อยๆ ขยับลงไปทีละก้าวอย่างยากลำบาก
นางลื่นไถล ไทเฮาแคว้นเจาผู้เปี่ยมอำนาจนั่งจมแอ่งน้ำอย่างอนาถ
จี้จิ่วอาวุโสถามเสียงดัง “เจ้าไม่เป็นไรกระมัง”
นางลองลุกขึ้นยืน กลับล้มลงคืนตั้งหลายครา
จี้จิ่วอาวุโสใช้เรี่ยวแรงมหาศาลจึงเดินมาใกล้ๆ นางได้ เขายื่นมือไปคว้าแขนนางไว้
เขาเพิ่งจะดึงจวงไทเฮาขึ้นมา ยังยืนไม่ทันจะดี ทั้งสองก็ถลาล้มลงไปกับพื้นกันทั้งคู่
ในขณะนั้นเอง จู่ๆ ขอทานคนหนึ่งอายุราวๆ ยี่สิบต้นๆ ก็พุ่งมาจากด้านหลังทั้งคู่ ชิงห่อสัมภาระในมือจวงไทเฮาแล้วเผ่นหนีไป!
“ค่าเดินทาง!”
จวงไทเฮาฉายแววเนตรเย็นเยียบ!
นั่นมันเงินที่เอามาให้เจียวเจียวนะ ระหว่างทางกินใช้ประหยัดยิ่ง ตั๋วเงินสักใบยังไม่ได้หยิบออกจ่าย สุดท้ายมาโดนขโมยแย่งไปแล้ว
จวงไทเฮากริ้วขึ้นมาแล้ว!
นางก็ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ไม่สนใจบาดแผลและรอยช้ำบนตัว คว้าไม้บนพื้นขึ้นขว้างไปทางขอทานนั่นอย่างแรง!
“โอ๊ยยย”
ขอทานถูกกระบองกระแทกใส่ ล้มตึงอยู่กลางสายฝน
จวงไทเฮาสาวเท้าเดินไปหาด้วยมาดหญิงชราสั่งสอนหลานชายเนรคุณ มาหยุดตรงหน้าขอทานหนุ่มอย่างเดือดดาล แล้วคว้าไม้บนพื้นขึ้นอีกหน ก่อนจะกระหน่ำทุบขอทานยกใหญ่!
“ใครให้เจ้ามาแย่งของของข้า!”
“ใครให้เจ้าแย่งเงินเจียวเจียว!”
“ใครให้เจ้ามาขโมยของ!”
“ใครให้เจ้าทำเรื่องไม่สุจริตเช่นนี้!”
ฝนตกหนัก จวงไทเฮาคำรามเดือดดาลจึงใช้ภาษาของแคว้นเจา ขอทานไม่เข้าใจแม้แต่คำเดียว แต่ตัวเขาโดนกระบองฟาดอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่ง
“โอ๊ย! หยุดเถิด! อย่าตี! คืนให้แล้ว! คืนให้แล้วได้ยินหรือไม่! ยายเฒ่านี่ ไยจึงมีเรี่ยวแรงเยอะนัก!”
ขอทานโดนฟาดจนหน้าจะกลายเป็นหมูแล้ว
เขาไหนเลยจะคิดว่าหญิงชราที่ล้มแล้วลุกยังไม่ได้นางนี้ ยามตีคนขึ้นมาจะโหดเพียงนี้
ลงมือครานี้หนักไม่เบาจริงๆ !
จวงไทเฮาฟาดลงไปอีกหน เกือบจะฟาดขาที่สามเขาเดี้ยงแล้ว ขอทานสะดุ้งไปทั้งตัว มองกระบองที่ฟาดอยู่หว่างขาตน
หากไม้นี้ขยับขึ้นหน้าอีกครึ่งชุ่น เขาคง…เขาคง…
เขาหันไปมองหญิงชราตรงหน้าอีกหน เห็นเพียงแววตาอีกฝ่ายเจือไอสังหารเข้มข้นของคนเหนือกว่า เขารู้สึกหวาดผวาขึ้นมาจับใจ
เขาไม่กล้าแม้แต่จะเล่นตุกติก โยนห่อสัมภาระในมือใส่หญิงชราอย่างแรง อาศัยจังหวะที่หญิงชรารับห่อผ้าไว้ ล้มลุกคลุกคลานหนีไป
ห่อสัมภาระถูกโยนมาจนกระจัดกระจาย แท่งเงินในนั้นร่วงพรวดออกมา ตั๋วเงินถูกลมแรงพัดปลิวออกไป ลอยไปทั่วทั้งตรอก
จวงไทเฮานั่งยองๆ ลงไปเก็บตั๋วเงิน
เมื่อครู่นี้จี้จิ่วอาวุโสเท้าแพลง ลุกอยู่นานจึงเดินกะเผลกๆ มาหา เขามองจวงไทเฮานั่งเก็บเงินกับตั๋วเงินบนพื้น จู่ๆ ก็เกิดอารมณ์หลากหลายซับซ้อนขึ้นอยู่ในใจ
นางเป็นธิดาสายตรงแห่งตระกูลจวงเชียวนะ ชาติกำเนิดสูงส่ง เข้าวังมาก็ได้เป็นฮองเฮาเลย ฮ่องเต้พระองค์ก่อนสวรรคต นางก็ได้เป็นไทเฮาผู้สำเร็จราชการแทน
ชั่วชีวิตนี้นางล้วนยืนอย่างสูงส่ง ไม่เคยลดตัวลดศักดิ์ศรีมาเก็บของบนพื้นมาก่อน อย่าว่าแต่ตั๋วเงินปึกหนึ่งเลย ต่อให้เป็นวัตถุโบราณสูงค่าร่วงลงพื้น นางก็ไม่เคยชายตามองแม้แต่แวบเดียว
แต่ยามนี้ นางกลับ…
เขาอ้าปาก “จวงจิ่นเซ่อ…”
จวงไทเฮาเก็บตั๋วเงินใบหนึ่งที่ปลิวตกหลุมน้ำสกปรกขึ้นมาเช็ดกับแขนเสื้อ “ตอนที่เพิ่งจะถึงชนบท ฐานะยังไม่ได้ร่ำรวย ทุกวันฟ้ายังไม่ทันแจ้งเจียวเจียวจะขึ้นเขาไปขุดผักป่า เก็บผลไม้ป่าเพื่อไปขายที่ตลาด เพื่อประหยัดค่ารถ นางยอมแบกของป่าหนักๆ เดินตั้งสิบกว่าลี้ ตอนนั้นนางเพิ่งจะสิบสี่ นางอยู่ข้างนอกแม้แต่บะหมี่น้ำร้อนๆ สักชามนางยังหักใจกินไม่ลง อากาศหนาวๆ ตอนอยู่ที่ตลาดก็แทะแต่หมั่นโถวแข็งๆ เย็นๆ แต่เงินค่าเรียนของลิ่วหลังนางมีให้ไม่เคยขาด อาหารการกินของคนที่บ้านนางก็ไม่เคยให้อด นางไม่ยอมกิน เก็บไว้ให้ลิ่วหลังกับเสี่ยวซุ่นรวมถึงข้าได้กิน ต่อมามีเจ้าเณรน้อยเพิ่มเข้ามา นางไม่ละความพยายามที่จะซื้อทุกสิ่งที่ควรซื้อให้กับเจ้าเณรน้อย นางเคยซื้อแค่รองเท้าคู่เดียวให้ตัวเองเท่านั้น แล้วก็ของลิ่วหลังด้วยอีกคู่”
จี้จิ่วอาวุโสตกตะลึงอยู่ในใจ
จวงไทเฮาหลบตาลงตรัส “หากเงินไม่พอใช้ นางเอาแต่อดเองตลอด… ข้าไม่อยากให้เจียวเจียวลำบากแล้ว ไม่อยากให้นางลำบากแม้แต่น้อยเลย”
จี้จิ่วอาวุโสขอบตาแดงก่ำขึ้น ไม่รู้เพราะกู้เจียว หรือเพราะจวงจิ่นเซ่อ
เขานั่งยองๆ ลง “ข้าช่วยเจ้าเก็บ”
ทั้งคู่ต่างนั่งยองๆ กับพื้น เก็บตั๋วเงินเปียกฝนกันเงียบๆ
จวงไทเฮาเก็บไปเก็บมา จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีคนเดินมา
นางขยับตัวไปข้างหน้า บังตั๋วเงินสองสามใบที่อยู่ในแอ่งน้ำข้างหน้าไว้
เด็กหนุ่มสวมเสื้อกันฝนกาบมะพร้าวกับหมวกสาน ถือหอกพู่แดงเอาไว้ เดินเข้าตรอกมาจากทางด้านหลังนาง
จวงไทเฮาไม่ได้ใส่ใจ ยังคงเก็บตั๋วเงินต่อ
เด็กหนุ่มเดินผ่านข้างกายนางไป
ครั้นถึงหน้าตรอก ฝีเท้าเด็กหนุ่มพลันชะงัก
เหลือตั๋วเงินอีกไม่กี่ใบสุดท้ายแล้ว ผู้คนที่ผ่านไปมาในตรอกดูเหมือนจะมากขึ้น จวงไทเฮาจึงเร่งมือเก็บ
ขานางชาดิกไปหมดแล้ว ทันใดนั้น เสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นด้านหลัง
“ท่านย่ารึ”