สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 779 สู้กับกุ้ยเฟย
บทที่ 779 สู้กับกุ้ยเฟย
เซียวเหิงไปที่ห้องซ่างกวานเยี่ยน
นางกำนัลขันทีที่รับใช้ข้างกายซ่างกวานเยี่ยนมีทั้งหมดห้าคน คนหนึ่งคือหวนเอ๋อร์นางกำนัลน้อยที่พามาจากตำหนักเจาหยางด้วย สี่คนที่เหลือเป็นคนที่จางเจ๋อเฉวียนพามาให้เมื่อเช้า
ทั้งห้าคนนี้ล้วนไม่รู้ว่าซ่างกวานเยี่ยนแกล้งป่วย แต่เนื่องจากหวนเอ๋อร์รับใช้ซ่างกวานเยี่ยนมายาวนานที่สุด จึงเหมาะสมทั้งเหตุผลทั้งความรู้สึกที่เซียวเหิงจะทิ้งนางไว้ให้ในห้องได้
“ท่านแม่ข้าตื่นหรือยัง” เซียวเหิงถามหวนเอ๋อร์
หวนเอ๋อร์คำนับให้พลางเอ่ย “ทูลพระนัดดา องค์หญิงสามยังไม่ตื่นเพคะ”
ดูท่าความจะยังไม่แตก ไม่ตกม้าตายในช่วงเวลาสำคัญ
เซียวเหิงยืนอยู่ข้างเตียงสักพัก ก่อนเอ่ยกับหวนเอ๋อร์ “ดี เจ้าเฝ้าต่อไป หากท่านแม่ข้าตื่นแล้วก็มาบอกข้าด้วย ข้าอยู่กับทางคุณชายเซียว”
หวนเอ๋อร์ขานรับอย่างนอบน้อม “เพคะ พระนัดดา”
ซ่างกวานเยี่ยนที่นอนเป็นศพอยู่ในมุ้งมาทั้งคืน “…”
ไปแล้วรึ ไปทั้งอย่างนี้น่ะรึ
ลูกชาย!
ข้าอยากลุกแล้ว!
…
เซียวเหิงไปที่ห้องของกู้เจียว
จวงไทเฮากำลังกักตุนผลไม้เชื่อมอยู่
นางไม่ได้กินมาสามวันแล้ว ผลไม้เชื่อมสิบห้าลูกที่อุตส่าห์สะสมไว้ได้ก็ระเนระนาดอยู่ในสายฝนหมดแล้ว
กู้เจียวรับปากว่าจะชดเชยให้นางไม่ให้ขาดแม้แต่ลูกเดียว
เซียวเหิงเอ่ย “ฮ่องเต้ให้คนส่งเข้ามา จะเอ่ยจริงจังหน่อยก็นับว่าเป็นคนของท่านแม่ข้า”
จวงไทเฮาถาม “เพิ่งจะส่งมาให้รึ”
เซียวเหิงส่งเสียงอืม “ขอรับ ส่งมาเมื่อเช้า”
จวงไทเฮาตรัสเสียงนิ่ง “ขันทีน้อยหูกางนั่น จับตาดูไว้หน่อยนะ”
เซียวเหิงสัมผัสได้ถึงบางอย่าง ขมวดคิ้วถาม “เขามีปัญหารึ”
“อืม” จวงไทเฮาให้คำตอบหนักแน่นกับเขาโดยไม่หยุดคิดแม้แต่น้อย
เซียวเหิงนิ่งอึ้ง “ขันทีน้อยนั่นเป็นคนที่ดูซื่อๆ ที่สุดในบรรดาสี่คนนี้… อีกทั้งจางเต๋อเฉวียนก็เป็นคนส่งพวกเขาสี่คนมา ท่านแม่ข้าบอกว่าจางเต๋อเฉวียนเป็นคนไว้ใจได้”
จวงไทเฮาเอ่ย “หากท่านแม่เจ้าไม่ได้ไว้ใจผิดคน ก็เป็นจางเต๋อเฉวียนคนนั้นที่ไว้ใจผิดคน”
เซียวเหิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ท่านย่ามองออกได้อย่างไร”
จวงไทเฮาตรัส “ข้าเห็นคนผู้นั้นแล้วขวางหูขวางตา รู้สึกว่าเขาน่ารำคาญ คนที่ทำให้ข้ารู้สึกเช่นนี้ได้ ต้องมีปัญหาแน่”
เซียวเหิง “เอ่อ…แค่นี้น่ะหรือ”
จวงไทเฮาเอ่ยด้วยสีพระพักตร์สะทกสะท้อนใจ “เมื่อเจ้าถูกคนในวังนับพันทรยศหักหลัง เจ้าก็จะจำท่าทางหักหลังสารพัดแบบได้ แผนการทุกอย่างล้วนไม่อาจเก็บซ่อนได้อีกต่อไป”
กู้เจียว “ท่านย่าพูดภาษาคนที”
จวงไทเฮา “ข้าอยากได้ผลไม้เชื่อมลูกหนึ่ง”
กู้เจียว “…”
ไม่มีทางให้ผลไม้เชื่อมมากกว่านี้ได้ ตกลงกันสิบห้าลูกก็คือสิบห้าลูก
จวงไทเฮาเอาผลไม้เชื่อมลูกสุดท้ายใส่เรียบร้อย ก็จุ๊ๆ ปาก อยากอาศัยจังหวะที่กู้เจียวไม่ทันสังเกตหยิบมาอีกสองลูก
นางเพิ่งยกมือขึ้น กู้เจียวก็เอ่ยขึ้น “ในจานยังเหลืออีกหกลูก”
กู้เจียวกำลังปูที่นอนบนเตียง นางไม่ได้เหลือบตาขึ้นมอง แต่นางเห็นเงาบนพื้น
จวงไทเฮาพลันตัวแข็งทื่อ
นางเบ้ปาก ดันจานที่มีผลไม้เชื่อมไปด้านข้าง ตีหน้าหงิกแค่นเสียง “ระหว่างเรามีความไว้เนื้อเชื่อใจหน่อยจะได้หรือไม่! ข้าเป็นพวกขี้ขโมยผลไม้เชื่อมรึ! เหอะ! ไม่กินแล้ว! ลิ่วหลังเจ้าเอาไปกินสิ!”
“ข้า…ขอรับ” เซียวเหิงยกจานผลไม้เชื่อมมาภายใต้สายตาจดจ้องของท่านย่า
เดี๋ยวผลไม้เชื่อมหกลูกนี้จะกลายเป็นของลักลอบนำเข้าของจวงไทเฮาอย่างไม่ต้องสงสัย
เซียวเหิงเอ่ย “ขะ… ขันทีคนนั้น…”
จวงไทเฮาแค่นเสียงตรัส “ลูกไม้ตื้นๆ แบบนี้ข้าเล่นจนเบื่อแล้ว ไม่ต้องไล่ออก ข้าจะดูว่าใครเป็นคนส่งเขามา”
นึกไม่ถึงว่าจะแทรกซึมสายลับมาอยู่ข้างกายเจียวเจียวกับลิ่วหลัง อยากตายหรือไร!
หากบีบเจ้าไม่ตาย ก็อย่ามาเรียกข้าว่าจวงจิ่นเซ่อ!
“ท่านย่ามีแผนในใจแล้วหรือ” เซียวเหิงถาม
จวงไทเฮามองกู้เจียวกับเซียวเหิงพลางตรัสเสียงนิ่ง “ถือเป็นของขวัญพบหน้าที่ข้ามอบให้พวกเจ้าแล้วกัน รอรับได้เลย”
…
ณ วังหลวง
หันกุ้ยเฟยกำลังคัดคัมภีร์อยู่ในตำหนักบรรทมตัวเอง
ฝนมาตกในยามย่ำค่ำ วังหลวงสะสมน้ำฝนไว้ในหลายแห่งไม่น้อย ยามสวี่เกากลับมาจากด้านนอกตัวก็เปียกซ่ก น้ำเข้ารองเท้าไปหมด
ทว่าเขาไม่กล้าไปเปลี่ยนรองเท้าก่อน แต่มาทูลข่าวที่สายลับไปสืบมาได้กับหันกุ้ยเฟยก่อน
“สถานการณ์ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง” หันกุ้ยเฟยคัดคัมภีร์พลางถาม
สวี่เกาคำนับพลางเอ่ย “พระนัดดาไว้ใจคนที่จางเต๋อเฉวียนส่งมายิ่งนัก รับไว้ทุกคนเลยพ่ะย่ะค่ะ”
หันกุ้ยเฟยยิ้มเย็นเอ่ย “ตอนนั้นเซวียนหยวนฮองเฮาช่วยเหลืองจางเต๋อเฉวียนเอาไว้ จดจำบุญคุณของเซวียนหยวนฮองเฮาไว้ในใจมาตลอด ซ่างกวานเยี่ยนกับซ่างกวานชิ่งล้วนทราบเรื่องนี้ดี จึงไว้เนื้อเชื่อใจคนที่จางเต๋อเฉวียนส่งให้โดยไม่สงสัยอะไร เพียงแต่พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่า ข้าได้แทรกซึมคนไว้ข้างกายจางเต๋อเฉวียนนานแล้ว”
สวี่เกายิ้มเอ่ย “คนผู้นั้นถูกขันทีใหญ่รังแกตอนแปดขวบ จางเต๋อเฉวียนมาเห็นเข้าจึงช่วยเอาไว้ จากนั้นก็มาพึ่งพิงจางเต๋อเฉวียน จางเต๋อเฉวียนดูแลเขามาเก้าปี และสังเกตเขามาเก้าปีเช่นกัน”
หันกุ้ยเฟยยิ้มลำพอง “น่าเสียดายที่มองไม่เห็นความผิดปกติอะไร”
สวี่เกาเอ่ย “เขาไหนเลยจะคิดได้ว่าฉากรังแกคนเมื่อปีนั้นกุ้ยเฟยเป็นคนจัดฉากขึ้น”
หันกุ้ยเฟยจุ่มน้ำหมึก พลางตรัสอย่างยโสโอหัง “ขันทีน้อยคนนั้นก็เล่นเก่งเกิน หลายปีมานี้พวกเราปลูกฝังเมล็ดพันธุ์ไว้ไม่น้อย แต่ที่ความแตกก็มีไม่น้อยเช่นกัน เขาฉลาดมาก เดี๋ยวเจ้าไปบอกเขาว่า หากสามารถช่วยข้าจัดการซ่างกวานเยี่ยนกับลูกชายในครานี้ได้ ข้าจะทูลขอราชโองการให้เขา ย้ายเขาไปยังกรมขันทีมหาดเล็กหลวง บังเอิญตำแหน่งหัวหน้าขันทีกรมขันทีมหาดเล็กหลวงว่างอยู่พอดี แม้เขาจะอายุยังน้อย แต่ข้าจะสนับสนุนเขาก็ไม่ได้ยาก”
สวี่เการ้องไอ้หยา “นี่มันพระกรุณาใหญ่หลวงนัก! บ่าวอิจฉาตาร้อนไปหมดแล้ว”
หันกุ้ยเฟยเอ่ย “เช่นนั้นย้ายเจ้าไปกรมขันทีมหาดเล็กหลวงแทน”
สวี่เการีบยิ้มเอ่ย “ดูกุ้ยเฟยตรัสเข้าสิ บ่าวอิจฉาที่เขาได้รับพระกรุณาจากกุ้ยเฟยต่างหาก ไหนเลยจะไปอิจฉาตำแหน่งผู้ดูแลกรมขันทีมหาดเล็กหลวงได้ ได้ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายกุ้ยเฟยเป็นวาสนาที่บ่าวสั่งสมมาแปดชาติภพแล้ว บ่าวจะติดตามกุ้ยเฟยไปตลอดชีวิตพ่ะย่ะค่ะ!”
หันกุ้ยเฟยยิ้ม “เจ้ามันรู้จักพูดจริงๆ ”
สวี่เกายิ้มพลางเข้าไปฝนหมึกให้หันกุ้ยเฟย
หันกุ้ยเฟยชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง ตรัส “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าค่อยมารับใช้ดีกว่า เจ้าป่วยขึ้นมา ข้าใช้คนอื่นไม่ชิน”
สวี่เกาซาบซึ้งยิ่งนัก “พ่ะย่ะค่ะ!”
เขากำลังจะออกไป เสียงหัวเราะฮ่าๆ ก็ดังขึ้นหน้าตำหนัก
หันกุ้ยเฟยไม่ชอบเสียงดัง นางจึงขมวดคิ้วมุ่น “เกิดอะไรขึ้น”
สวี่เกาตั้งใจฟังให้ดี “เหมือนจะเป็นเสียงขององค์หญิงน้อยนะพ่ะย่ะค่ะ บ่าวจะไปดูให้”
ยามนี้ฝนไม่ได้ตกหนักแล้ว ฟากฟ้ามีฝนปรอยเล็กน้อย
เจ้าหนูน้อยทั้งสามเปลือยเท้าเปล่า สวมชุดกันฝนตัวน้อย กับหมวกสานใบเล็กย่ำหลุมน้ำเล่น
“สนุก! สนุกยิ่งนัก!”
องค์หญิงน้อยมาย่ำหลุมน้ำเล่นเป็นครั้งแรกในชีวิต ตื่นเต้นจนร้องวี้ดว้าย
เสี่ยวจิ้งคงมักจะย่ำน้ำเล่นยามอยู่ที่แคว้นเจา สวมชุดกันฝนที่กู้เจียวทำให้เขา แต่ความสนุกนี้ไม่ได้ลดลงเพราะย่ำมาเยอะแล้วเลย
อย่างไรเสีย ยามนี้สิ่งที่เขาเหยียบย่ำอยู่ก็เป็นบ่อน้ำของแคว้นเยี่ยนนี่นา!
และยังมีเสี่ยวเสวี่ยที่เหยียบเล่นด้วยกันกับเขาอีก!
เจ้าหนูน้อยทั้งสองเล่นกันสนุกสนาน
แม่นมห้ามก็ห้ามไม่ได้
สวี่เกามองทั้งสองอยู่ไกลๆ กลับมาทูลหันกุ้ยเฟยในตำหนักบรรทม “ทูลกุ้ยเฟย เป็นองค์หญิงน้อยกับสหายร่วมเรียนคนหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องที่องค์หญิงน้อยไปเรียนที่บัณฑิตหลิงโปทั่วทั้งวังหลังต่างรู้กันหมด พาสหายกลับมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
หันกุ้ยเฟยกระแทกพู่กันลงแท่นอย่างแรง “หนวกหูนัก!”
หันกุ้ยเฟยไม่ชอบองค์หญิงน้อย สาเหตุหลักเพราะองค์หญิงน้อยมาแย่งความรักจากฮ่องเต้ไปมากเกินไป ทำให้สตรีในวังหลังริษยากันมาก
หันกุ้ยเฟยฟังเสียงหัวเราะไร้เดียงสาที่ลอยมาจากด้านนอก ในใจก็ยิ่งหงุดหงิดรำคาญ
นางลุกขึ้นอย่างเย็นชา
สวี่เกามองนางอย่างตกใจ “กุ้ยเฟย…”
หันกุ้ยเฟยคล้ายเหน็บคล้ายแนม “องค์หญิงน้อยเล่นสนุกถึงเพียงนี้ ข้าก็อยากไปดูหน่อยว่านางกำลังเล่นอะไรอยู่”
“…พ่ะย่ะค่ะ” ดังนั้นรองเท้าเปียกชุ่มกับเสื้อผ้าเปียกซ่กของเขาก็เปลี่ยนไม่ได้แล้วรึ
สวี่เกากัดฟันออกจากตำหนักตามหันกุ้ยเฟยมา
เขากางร่มให้หันกุ้ยเฟย
หันกุ้ยเฟยยืนอยู่หน้าประตูตำหนักบรรทม ทอดมองเด็กๆ ไร้เดียงสาสองคน แววเนตรไม่เพียงไร้ความเอ็นดูและรักใคร่ ยังเจือความชิงชังเข้มข้นไว้ด้วย
นางเก็บความชิงชังไว้ ฉีกยิ้มเต็มสีหน้าเดินไปหา “นี่มันเสี่ยวเสวี่ยมิใช่หรือ เสี่ยวเสวี่ยมาตำหนักป้ากุ้ยเฟยได้อย่างไรนี่ มาหาป้ากุ้ยเฟยหรือ”
เจ้าหนูน้อยทั้งสองถูกขัดจังหวะการเล่นน้ำ
องค์หญิงน้อยเงยหน้ามองนาง ก่อนเอ่ยอย่างจริงจัง “ท่านไม่ใช่ป้าข้า ท่านคือกุ้ยเฟย”
องค์หญิงน้อยไม่ได้มีเจตนาทำให้กุ้ยเฟยอับอาย นางแค่พูดไปตามความจริง ท่านป้าของนางคือฮองเฮา และฮองเฮาสวรรคตไปแล้ว
พวกนางกำนัลและขันทีต่างอยู่กันหมด หันกุ้ยเฟยรู้สึกหน้าร้อนเห่อขึ้นมาเหมือนโดนตบฉาดใหญ่
นางกำหมัดแน่น แย้มยิ้มเอ่ย “เสี่ยวเสวี่ยอยากเรียกข้าว่าอะไร ก็เรียกอย่างนั้นเถิด เล่นกันนานเพียงนี้แล้ว เหนื่อยหรือไม่ จะไปนั่งเล่นที่ตำหนักข้าหรือไม่ ในตำหนักข้ามีของอร่อยด้วยนะ”
แม้จะชิงชังเด็กคนนี้มาก แต่อีกเดี๋ยวฮ่องเต้มาตามหาอีกฝ่ายถึงตำหนักนาง ก็เข้าท่าไม่เลว
อายุอานามอย่างนางไม่หาความโปรดปรานให้ตัวเองแล้ว แต่เป็นสามีภรรยากับฮ่องเต้มานานก็ไม่มีอะไรแย่ ก็อย่างฮ่องเต้กับเซวียนหยวนฮองเฮานั่นอย่างไร
องค์หญิงน้อย “จิ้งคงเจ้าอยากกินหรือไม่”
เสี่ยวจิ้งคง “เจ้าล่ะ”
องค์หญิงน้อย “ข้าไม่หิว”
เสี่ยวจิ้งคง “ข้าก็ไม่หิว”
องค์หญิงน้อย “เช่นนั้นพวกเราไม่กินแล้วละ! พวกเราเล่นกันต่อ!”
เสี่ยวจิ้งคงมีความประทับใจแรกต่อหันกุ้ยเฟยไม่ค่อยดีนัก นางพูดจาหยิ่งยโส ไม่ก้มหัวให้ใคร เด็กๆ อย่างพวกเขาต้องแหงนหน้ากันคอแทบเคล็ด นางก็ไม่ถามชื่อเขาสักคำ
เสี่ยวจิ้งคงยามนี้ยังไม่รู้ว่านี่เรียกว่าไม่เห็นหัวใคร เขาแค่รู้สึกว่าไม่ค่อยสบายใจเท่าใด
เขาเอ่ย “ข้าไม่อยากเล่นตรงนี้แล้ว ไปตรงนั้นดีกว่า!”
องค์หญิงน้อยพยักหน้า “เอาสิ เอาสิ!”
เจ้าหนูน้อยทั้งสองตัดสินใจกันอย่างเบิกบาน
“ลาก่อนกุ้ยเฟย!”
องค์หญิงน้อยบอกลาอย่างมีมารยาท
หันกุ้ยเฟยสีหน้าเย็นชาทันที
ข้าอุตส่าห์มีน้ำใจแต่เจ้าดันไม่เห็นค่า เจ้าก็แค่องค์หญิงน้อยคนหนึ่งเท่านั้น พ่อของเจ้าไม่มีแม้แต่อำนาจที่แท้จริง ยังกล้าไม่เห็นหัวข้าอีก!
ใช่ว่าอายุยิ่งมาก ความละมุนละม่อมจะมากขึ้นตาม คนบางคนยามจะร้ายขึ้นมาก็ไม่เกี่ยวกับอายุหรอก
คนร้ายบางคนแก่ตัวลง ก็มีแต่จะร้ายขึ้นกว่าเดิม
หันกุ้ยเฟยล่วงเกินองค์หญิงน้อยไม่ได้ นางจึงต้องย้ายโทสะมาใส่ร่างเจ้าหนูน้อยที่เป็นสหายใหม่ขององค์หญิงน้อยแทน
เด็กทั้งสองวิ่งตึกๆ ไปข้างหน้า
เสี่ยวจิ้งคงบังเอิญอยู่กับทางหันกุ้ยเฟย
หันกุ้ยเฟยจึงยื่นเท้าออกไปใต้เท้าเสี่ยวจิ้งคงอย่างไม่กระโตกกระตาก
เสี่ยวจิ้งคงมองไม่เห็นเท้าของหันกุ้ยเฟย นึกว่าเป็นก้อนหิน เขาจึงเหยียบเข้าเต็มๆ !
หันกุ้ยเฟย “…!!”