สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 780 จอมต้มตุ๋น
บทที่ 780 จอมต้มตุ๋น
แรงเหยียบของเด็กน้อยดูเหมือนไร้เรี่ยวแรง แต่ถ้าเด็กคนนั้นคือเสี่ยวจิ้งคงก็อีกเรื่องหนึ่ง
นี่คือเสี่ยวจิ้งคงที่ฝึกฝนวรยุทธ์พื้นฐานในวัดตั้งแต่เด็ก และเพิ่งเริ่มฝึกฝนวิชากังฟูเมื่อไม่นานมานี้
เพราะฉะนั้นแรงเหยียบของเขาจึงไม่ธรรมดา!
หันกุ้ยเฟยรู้สึกเหมือนหลังเท้าของตัวเองถูกตุ้มน้ำหนักเล็กๆ กระแทก นางร้องอุทานด้วยความเจ็บปวด “โอ๊ย!”
ทันใดนั้นนางก็เสียหลักล้มไปทางด้านหลัง ล้มนั่งลงอย่างน่าอับอายบนตรอกซอกซอยที่เต็มไปด้วยโคลนตม
แอ่งโคลนน้ำกระเด็น เสี่ยวจิ้งคงจับมือองค์หญิงน้อยกระโดดไปด้านข้างอย่างว่องไว
ในที่สุด โคลนตมก็สาดกระเด็นเข้าเต็มหน้าหันกุ้ยเฟยเพียงคนเดียว
หันกุ้ยเฟยตกใจจนร่างแข็งทื่อ
นางอายุปาเข้าไปเท่าไรแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะยังล้มแบบนี้ได้อีก แถมยังล้มต่อหน้าบ่าวรับใช้ทุกคนอีกด้วย
นางทั้งโมโหทั้งอับอาย รู้สึกเจ็บแปลบที่หลังเท้าและข้อเท้า ใบหน้าที่เคยดูแลอย่างดีกลับกลายเป็นเหยเก ไม่อาจคงความสง่างามและเยือกเย็นเหมือนเคยได้อีกต่อไป
บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างกายตกใจกลัว
สวี่เการีบเดินไปข้างหน้าพลางเอ่ย “กุ้ยเฟย กุ้ยเฟย ไม่เป็นอะไรใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ!”
เด็กน้อยสองคนมองนางด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
แม้ว่าสัมผัสของหินจะต่างจากสัมผัสของเท้า แต่เด็กน้อยจะไปไวต่อเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร
เสี่ยวจิ้งงงไปหมด ร้องถาม “ท่านย่าคนนี้ล้มได้อย่างไร”
หันกุ้ยเฟยกำลังจะลุกขึ้นด้วยการช่วยเหลือจากคนอื่น แต่พอได้ยินคำว่าท่านย่า นางก็โกรธจนตัวสั่น ล้มลงไปอีกครั้ง
นางน่ะหรือ! ท่านย่า!
เด็กน้อย! เจ้าไม่มีตาหรือไร!
หันกุ้ยเฟยยามสาวนั้นคือยอดสาวงาม ถึงแม้จะอายุมากแล้ว แต่นางก็ดูแลตัวเองเป็นพิเศษ ดูเผินๆ ก็เหมือนอายุไม่ถึงห้าสิบ เป็นผู้หญิงที่สวยสง่างดงามตามวัย
เสี่ยวจิ้งคงเอียงคอมองหันกุ้ยเฟย เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดผู้ใหญ่ถึงใส่ใจเรื่องคำเรียกขานนัก เพราะอาจารย์ของเขาอายุเพิ่งจะยี่สิบเจ็ดหรือยี่สิบแปดปี แต่เขากลับเรียกตัวเองว่าผู้เฒ่าแล้ว
ประกอบกับท่านย่าที่บ้านไม่มีความกังวลเรื่องรูปร่างหน้าตาและอายุเลย แม้จะไม่พอใจกับความสูงวัยในยามนี้นะ แต่นางก็คงไม่หวังว่าจะมีคนเรียกนางว่าบรรพบุรุษ
เสี่ยวจิ้งคงเรียกท่านย่านั้น แสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างแท้จริง
หันกุ้ยเฟยโกรธจนแทบจะปากเบี้ยว
ท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียด ฮ่องเต้ก็พาจางเต๋อเฉวียนเดินมาทางนี้
เขามาหาองค์หญิงน้อย
เด็กหญิงคนนี้วันนี้ไม่ได้ร้องไห้รบเร้าไปตำหนักกั๋วซือ เขารู้สึกแปลกใจ เด็กหญิงคนนี้เปลี่ยนนิสัยแล้วหรือ หรือว่าเล่นกับเพื่อนจนเบื่อแล้ว จากนั้นก็ได้ยินว่านางพาเพื่อนกลับมาที่วัง
เด็กคนนี้ รู้จักพาคนกลับบ้านแล้วหรือ
แต่เขาก็ว่าอะไรไม่ได้
เพราะว่าจางเต๋อเฉวียนเตือนเขา เขาจึงจำได้ว่าตัวเองเคยเอ่ยกับเด็กคนนี้ว่า ถ้ามีเพื่อนเล่น ก็พากลับมาเล่นที่วังได้
ฮ่องเต้มาถึงที่เกิดเหตุ เมื่อเห็นภาพอลหม่าน หันกุ้ยเฟยดูเหมือนประสบภัย สองเด็กน้อยดูเหมือนจะกลัวนางมาก
“เกิดอะไรขึ้น” เขาถามเสียงต่ำ
“ฝ่าบาท!” หันกุ้ยเฟยและบ่าวรับใช้รีบค้อมกายถวายบังคมต่อฮ่องเต้
หันกุ้ยเฟยไม่ทันได้สนใจจักผมเผ้า เอ่ยกับฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ไม่ได้มีเรื่องอะไรใหญ่โต เพียงแต่เด็กเมื่อกี้นี้…”
เผลอไปเหยียบเท้าข้า
นางยังเอ่ยไม่จบ องค์หญิงน้อยก็วิ่งพรวดมาโอบกอดขาของฮ่องเต้ หันขวับมองหันกุ้ยเฟยพลางเอ่ย “กุ้ยเฟยลื่นล้ม! ล้มแล้วเจ็บ ข้ากลัวมาก!”
“เจ้ากลัวอะไร” ฮ่องเต้ทรงยิ้มอย่างเอ็นดู “ใจเสาะขนาดนี้ เหตุใดถึงยังตะลอนออกไปข้างนอกได้ทุกวัน”
เขารู้แล้วว่าองค์หญิงน้อยเป็นใครและรู้ว่าลุงของนางคือฮ่องเต้แห่งเมืองเยี่ยน
แต่ครอบครัวของเขาไม่เคยสอนเขาเกี่ยวกับลำดับชั้นระหว่างชนชั้นปกครองและบ่าวไพร่ แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นเจาและฉินฉู่อวี้ก็เช่นกัน
ทุกคนเป็นแค่เพื่อนกัน
ฮ่องเต้สบตากับชายหนุ่มตัวน้อย หากเขาแสดงท่าทีสงบ เมื่อไม่เคยรู้จักตัวตนมาก่อนก็เป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตนคือกษัตริย์แห่งต้าเยี่ยน แต่เขายังคงสงบนิ่งไม่เกรงกลัวได้
เป็นเพราะเจ้าเด็กคนนี้ทึ่ม ไม่เข้าใจความยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้ หรือว่าเขาเข้าใจแล้ว แต่ก็ไม่กลัวโดยธรรมชาติ
ทันใดนั้น ฮ่องเต้นึกถึงตระกูลเซวียนหยวน และคำพูดของเซวียนหยวนลี่
เขาถามเซวียนหยวนลี่ว่า เจ้าต้องการอะไรในชีวิตนี้
เขาคิดว่าเซวียนหยวนลี่จะตอบว่า จงรักภักดีต่อราชวงศ์ต้าเยี่ยน การช่วยเหลือฝ่าบาทหรือฟื้นฟูตระกูลเซวียนหยวน เพื่อให้ตระกูลเซวียนหยวนกลายเป็นตระกูลชั้นสูงอันดับหนึ่งของต้าเยี่ยนในมือของเซวียนหยวนลี่
แต่ใครจะคาดคิดว่า เขาทายไม่ถูกสักอย่าง
เซวียนหยวนลี่ ยืนอยู่ท่ามกลางฟ้าดินที่สดใส ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมพลางเอ่ย “เพื่อตั้งจิตให้มั่นคงต่อฟ้าดิน เพื่อสร้างชีวิตให้กับประชาชน เพื่อสืบทอดวิชาอันล้ำค่าจากปราชญ์ผู้ล่วงลับ เพื่อสร้างสันติสุขให้กับโลกชั่วนิรันดร์!”
ช่างเป็นคำกล่าวที่ยิ่งใหญ่ “เพื่อตั้งจิตให้มั่นคงต่อฟ้าดิน เพื่อสร้างชีวิตให้กับปวงประชา เพื่อสืบทอดวิชาอันล้ำค่าจากปราชญ์ผู้ล่วงลับ เพื่อสร้างสันติสุขให้กับโลกชั่วนิรันดร์!”
เขาใช้ชีวิตมาครึ่งค่อนแล้ว ยังไม่เคยได้ยินคำพูดในที่สะกิดใจเขาเช่นนี้มาก่อน
ในชั่วขณะนั้น เขารู้สึกว่าตัวเองในฐานะฮ่องเต้ ใจยังคับแคบเหลือเกิน
“เสด็จลุง เสด็จลุง เหตุใดไม่เอ่ยอะไรเลยเล่า จิ้งคงทักทายเสด็จลุงนะ!” องค์หญิงน้อยเกาะขาเขาไว้ ดึงพู่ห้อยของเข็มขัดหยกที่เอวเขา
ก็มีแต่องค์หญิงน้อยนี่แหละที่กล้าขนาดนี้
สมัยหมิงจวิ้นอ๋องยังเด็ก เคยจับแบบนี้เหมือนกัน ผลลัพธ์คือน่าเวทนามาก สีหน้าของฮ่องเต้ตอนนั้นขรึมในทันใด
ฮ่องเต้ได้สติกลับมา ก่อนจะค่อยๆ นึกมือน้อยขององค์หญิงน้อยออกพลางเอ่ย “ห้ามจับอันนี้”
“ก็ได้” องค์หญิงน้อยเชื่อฟัง เก็บมือน้อยๆ กลับ
ฮ่องเต้ไม่อยากคิดเรื่องอดีตอีกต่อไป ภายใต้สายตาที่จ้องมองอย่างใจจดใจจ่อของหลานสาว เขาจึงทักทายจิ้งคงอย่างให้เกียรติ ก่อนจะตรัสถามต่อ “เหตุใดพวกเจ้าถึงมาเล่นน้ำกันที่นี่ได้”
“ก็สนุกน่ะสิ!” องค์หญิงน้อยเอ่ย
เด็กผู้หญิงควรมีกิริยาแบบเด็กผู้หญิง… ฮ่องเต้คิดจะเอ่ยประโยคนี้ แต่พอคิดถึงซ่างกวานเยี่ยนตอนเด็ก ก็พบว่าซ่างกวานเยี่ยนยังซนกว่าองค์หญิงน้อยเสียอีก องค์หญิงน้อยแค่เหยียบแอ่งน้ำ แต่ซ่างกวานเยี่ยนกระโดดลงไปในแอ่งโคลน
ในวังห้ามไม่ให้นางกระโดด นางก็ไปกระโดดที่ตระกูลเซวียนหยวน
พอคิดถึงซ่างกวานเยี่ยน สีพระพักตร์ของฮ่องเต้จึงซับซ้อนขึ้นมาระดับหนึ่ง
ฮ่องเต้เสด็จมาถึงแล้ว การเล่นเหยียบแอ่งน้ำเล่นจึงไม่อาจดำเนินต่อไปได้
“กุ้ยเฟยกลับวังเถิด” ฮ่องเต้เอ่ยกับหันกุ้ยเฟย
หันกุ้ยเฟยยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางเอ่ย “ฝนตกแล้วเพคะ ฮ่องเต้ไม่พาองค์หญิงน้อยกับเพื่อนของนางมานั่งเล่นในตำหนักของหม่อมฉันหน่อยหรือเพคะ หม่อมฉันจะให้คนเตรียมอาหารเย็น มีเนื้อทอดกรอบที่องค์หญิงน้อยชอบด้วย”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปที่องค์หญิงน้อย องค์หญิงน้อยส่ายหน้าไปมาก่อนเอ่ย “ข้าไม่อยากไปที่ตำหนักกุ้ยเฟย”
ฮ่องเต้พาเด็กน้อยสองคนกลับไปที่ห้องโถงนอนของเขา
หันกุ้ยเฟยเห็นว่าฮ่องเต้ไม่สนใจเลยแม้แต่คำเดียว โกรธจนเท้าเจ็บมากขึ้น!
เสี่ยวจิ้งคงมีค่ำคืนที่สนุกสนานในพระราชวัง เขาเหยียบแอ่งน้ำในวังหลวง กินอาหารจากห้องเครื่องหลวง แม้ว่าเขาจะกินได้แค่ผัก แต่ก็รสชาติดีไม่น้อย
ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ฮ่องเต้เรียกจางเต๋อเฉวียนมา “เจ้าไปที่จวนแม่ทัพ บอกให้หวังซวี่ส่งจิ้งคงกลับตำหนักกั๋วซือ”
พระราชนัดดารักเด็กมาก จึงให้เขาอยู่เป็นเพื่อนในตำหนักกั๋วซือ
สำหรับหลานชายที่ใกล้จะตาย ฮ่องเต้จึงอลุ่มอะล่วยให้อย่างมาก
เพียงแค่เขาไม่ฆ่าคน ไม่วางเพลิง ทำอะไรก็ตาม ฮ่องเต้ก็จะตามใจเขา
หวังซวี่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระราชนัดดา จึงให้เขาเป็นคนส่งจิ้งคงกลับไป ซึ่งก็ถือเป็นการช่วยให้หลานชายของฮ่องเต้ได้พบปะเพื่อนเก่าของเขาอีกครั้งในช่วงท้ายของชีวิต
แต่น่าเสียดายที่หวังซวี่ไม่อยู่ เขาออกไปทำธุระ
“เช่นนั้นเจ้าไปส่งด้วยตัวเองเสีย” ฮ่องเต้เอ่ย
“พ่ะย่ะค่ะ” จางเต๋อเฉวียนพายอดฝีมือจากวังหลวงสองคนไปส่งเสี่ยวจิ้งคงกลับตำหนักกั๋วซือ
เสี่ยวจิ้งคงกอดถุงหนังสือไว้พลางเอ่ย “เอาละ ข้าเข้าไปเองได้ ไว้เจอกันจางกงกง!”
จางเต๋อเฉวียนเอ่ย “ข้าจะส่งเจ้าข้างใน”
เสี่ยวจิ้งคงโบกมือพลางเอ่ย “ไม่ต้องหรอก ข้ารู้ทาง!”
เขาเดินจากประตูไปยังตำหนักฉีหลินหลายรอบแล้ว!
ตอนนี้ฝนหยุดแล้ว
เสี่ยวจิ้งคงกอดถุงหนังสือกระโดดลงจากรถม้า วิ่งตรงไปยังตำหนักฉีหลินอย่างรวดเร็ว
“เจ้าช้าๆ หน่อย”
จางเต๋อเฉวียนอยากจะวิ่งตามแต่ก็ไม่ทัน
เจ้าเด็กน้อยนี่วิ่งเร็วอะไรอย่างนี้
เสี่ยวจิ้งคงคงคิดถึงเจียวเจียวเลยวิ่งเร็วเป็นธรรมดา เขาวิ่งตรงไปข้างหน้าแบบไม่คิดอะไร ไม่ทันสังเกตว่ามีคนอยู่ข้างหน้า
แต่ทันใดนั้น ก่อนที่จะชน เขารู้สึกตัว รีบกอดกระเป๋าสะพายข้างไว้แล้วหลบไปด้านข้าง แล่นผ่านคนคนนั้นไปอย่างเฉียดฉิว
แต่แล้ว ความซุ่มซ่ามของเขาก็กำเริบขึ้นมาอีกครั้ง เขาร้องอุทานไอ้หยาแล้วก็ล้มหน้าคะมำไปข้างหน้า
ชายคนนั้นหันกลับมาทันใดนั้น คว้าเสี่ยวจิ้งคงขึ้นมาด้วยมือขาวนวลเรียวบาง
แต่กระเป๋าสะพายที่อยู่ในอ้อมอกของเสี่ยวจิ้งคงกลับกระจัดกระจายบนพื้น
เขาตาไว ปลายเท้าเล็กๆ เกี่ยวและคว้าไว้
คว้ากระเป๋าที่เกือบจะตกลงไปในแอ่งน้ำกลับมาไว้ในอ้อมแขน
“เอ๊ะ”
ชายคนนั้นอุทานด้วยความตกใจ
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คาดคิดว่าสิ่งมีชีวิตลึกลับตัวน้อยนี้จะตอบสนองรวดเร็วขนาดนี้
“เจ้าชื่ออะไร”
เขาถาม
เสี่ยวจิ้งคงยังถูกเขาคว้าไว้ ดูน่ารักเหมือนตัวไหมน้อยที่แขวนอยู่บนต้นไม้
เสี่ยวจิ้งคงหันขวับมาดูเขา พลางเอ่ย “ข้าชื่อจิ้งคง เจ้าชื่ออะไร”
เขาตอบ “ข้าชื่อเฟิงอู่หมิง ฉายาชิงเฟิง”
“ฉายาคืออะไร” เสี่ยวจิ้งคงเคยได้ยินแต่คำว่านามแฝง แต่พี่ชายคนนี้ช่างหล่อเหลาเสียจริง
นักบวชชิงเฟิงตอบ “คืออีกชื่อหนึ่ง”
เสี่ยวจิ้งคง “อ้อ เหตุใดเจ้าถึงมีชื่อเยอะจัง”
ก็เพราะว่าหนึ่งในนั้นคือฉายาน่ะสิ
นักบวชชิงเฟิงไม่เคยมีประสบการณ์ในการอยู่กับเด็ก เลยอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ชัดเจน เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อถามเสี่ยวจิ้งคง “เจ้าเรียนวิชามาจากใคร”
เสี่ยวจิ้งคงถามอาจารย์ชิงเฟิง “หมายถึงท่าทางเมื่อกี้นี้หรือเปล่า ข้าคิดท่าทางนั้นขึ้นมาเอง”
แค่ล้มยังต้องเรียนกับคนอื่นอีกหรือ
ดูเหมือนว่าน่าจะไม่มีอาจารย์สอน
จริงๆ แล้ว นักบวชชิงเฟิงกับเสี่ยวจิ้งคงเคยเจอกันมาแล้วครั้งหนึ่ง
แต่ว่าตอนนั้นนักบวชชิงเฟิงกำลังยุ่งกับการจัดการเหลี่ยวเฉิน ไม่ได้สังเกตเด็กน้อยคนนี้ ส่วนเสี่ยวจิ้งคงก็มัวแต่ดูอาจารย์ ไม่ได้มองดูนักบวชชิงเฟิงที่เคลื่อนไหวรวดเร็วจนเหลือเพียงเงา
นักบวชชิงเฟิงรู้สึกเพียงว่าเสียงของเด็กน้อยคนนี้คุ้นหู
แต่จำไม่ได้ในทันที
นักบวชชิงเฟิงเอ่ย “ข้าเพิ่งจะช่วยเจ้า เจ้าจะตอบแทนข้าอย่างไร”
เสี่ยวจิ้งคงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางเอ่ย “บุญคุณใหญ่หลวงต้องทวงถามด้วยรึ”
นักบวชชิงเฟิง “…”
นักบวชชิงเฟิงชี้ไปที่ข้อมือของตัวเองพลางเอ่ย “แต่เจ้าดึงเสื้อข้าจนขาด”
เสี่ยวจิ้งคงก้มมองลงไปแล้วก็พบว่า ตอนที่เขาไปหยิบกระเป๋าหนังสือ เขาเผลอดึงแขนเสื้อของนักบวชชิงเฟิงด้วย ทั้งยังดึงเสียจนขาดวิ่น
เขาเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “แล้ว… ข้าจะชดใช้ให้เจ้าอย่างไร”
เจียวเจียวเคยบอกว่า เด็กผู้ชายที่กล้าหาญต้องกล้ารับผิดชอบ
นักบวชชิงเฟิงเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย “เสื้อชุดนี้ราคาแพงมาก เจ้าชดใช้ไม่ไหวหรอก เว้นแต่ว่า เจ้าจะเอาตัวเจ้ามาชดใช้ให้ข้า”
เขาต้องการรับเด็กคนนี้เป็นลูกศิษย์
เสี่ยวจิ้งคงอุทานเอ๊ะ กอดกระเป๋าใส่หนังสือ ไขว้หน้าผากน้อยๆ ด้วยความลำบากใจ “แต่ว่า… แต่ว่า… ข้าเป็นของเจียวเจียวแล้ว… ไม่เช่นนั้น ข้าจะยกอาจารย์ของข้าให้เจ้าก็แล้วกัน”
บนหลังคาบ้านหลังหนึ่งในเมืองเซิ่งตู นักบวชรูปหนึ่งกำลังเงยหน้าดื่มสุรา จู่ๆ ก็จามออกมาอย่างแรง