สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 781 ท่านย่าลงมือ (ตอนสอง)
บทที่ 781 ท่านย่าลงมือ (ตอนสอง)
“จิ้งคง!”
ไม่ไกลนัก เย่ชิงเดินก้าวเข้ามา เขามองดูนักบวชชิงเฟิง แล้วมองดูเสี่ยวจิ้งคงที่ถูกนักบวชชิงเฟิงคว้าตัวค้างเติ่งกลางอากาศ ก่อนจะถามอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้น”
เสี่ยวจิ้งคงอธิบาย “พี่เย่ชิง ข้าเกือบจะล้มแล้วพี่ชิงเฟิงเป็นคนช่วยข้าไว้”
เย่ชิงยิ่งสงสัยมากขึ้น “พวกเจ้ารู้จักกันหรือ”
เสี่ยวจิ้งคงตอบ “เพิ่งรู้จักกัน!”
“เช่นนี้นี่เอง” เย่ชิงพยักหน้ารับรู้ ยื่นมือไปรับเสี่ยวจิ้งคงมา “ขอบคุณท่านนักบวชชิงเฟิงนัก”
นักบวชชิงเฟิงที่รับลูกศิษย์ไม่สำเร็จ ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก หันหลังแล้วเดินจากไป
นิสัยของเขาไม่เหมือนคนปกติ เย่ชิงไม่ได้คิดอะไร ถนนลื่น เขาอุ้มเสี่ยวจิ้งคงกลับไปที่ตำหนักฉีหลินโดยตรง
ในที่สุดจางเต๋อเฉวียนก็ตามมาทัน เสี่ยวจิ้งคงก็กระโดดโลดเต้นไปหากู้เจียวแล้ว
จางเต๋อเฉวียนไปเยี่ยมซ่างกวานเยี่ยน แต่พบว่าอาการของซ่างกวานเยี่ยนไม่ได้ดีขึ้นเลย เขาจึงถอนหายใจด้วยความกังวล
…
เสี่ยวจิ้งคงเพิ่งจะรู้ว่าท่านย่าและท่านปู่มาเยี่ยมหลังจากที่เขาเข้าไปในห้องกู้เจียว
ปฏิกิริยาของเขาไม่ต่างจากเซียวเหิงเลย เหมือนกันไม่มีผิด ตกตะลึงนิ่งชะงักไป
“เจ้าเณรน้อย มานี่สิ” จวงไทเฮานั่งบนเก้าอี้ เอ่ยกับเสี่ยวจิ้งคง
“ข้าไม่ใช่เจ้าเณรน้อยแล้ว!” เสี่ยวจิ้งคงแก้ไขและใช้มือเล็กๆ ตบผมจุกของตัวเอง “ผมของข้ายาวขนาดนี้แล้ว”
จวงไทเฮาย่นจมูกพลางเอ่ย “หืม ดูหน่อยสิ”
เสี่ยวจิ้งคงรีบวิ่งไปพร้อมกับถือกระเป๋าหนังสือ ยื่นศีรษะออกมาให้ท่านย่าดูจุกผมตัวเอง
จวงไทเฮาเอ่ย “อืม ดูเหมือนจะยาวขึ้นนิดหน่อยนะ” ไม่มีอะไรจะเถียง
จวงไทเฮาเอากระเป๋าหนังสือที่เขาถืออยู่มาวางบนโต๊ะ
เขาจ้องมองทั้งสองคนด้วยความประหลาดใจแล้วถาม “ท่านย่า ท่านปู่ พวกท่านมาที่นี่ได้อย่างไร”
“มาแย่งของกินจากเจ้า” จวงไทเฮาตอบ
เสี่ยวจิ้งคงรู้สึกเหมือนเผชิญศัตรู รีบกำกระเป๋ากางเกงของตัวเองแน่น “ข้า ข้าไม่ได้เก็บของกินไว้!”
จวงไทเฮา “…”
เสี่ยวจิ้งคงที่ตัวคร้ามแดดจากการเดินทาง ตอนนี้ผิวขาวขึ้นเกือบเหมือนเดิมแล้ว ดูแข็งแรงกว่าตอนอยู่ในแคว้นเจา และพละกำลังเยอะขึ้นมาก
เหมือนลูกวัวที่แข็งแรงไม่มีผิด
จวงไทเฮาไม่ได้เอ่ยอะไร แต่แววตาของนางก็เผยให้เห็นความพึงพอใจที่ยากจะสังเกตเห็น
หลังจากตกใจเพียงชั่วครู่ เสี่ยวจิ้งคงก็กลับมาพูดเก่งอีกครั้ง เจื้อยแจ้วไม่หยุดทั้งคืน
จวงไทเฮาคร้านจะฟังเจ้าโทรโข่งน้อยเสียแล้ว เอนตัวพิงเก้าอี้อย่างท้อแท้
จี้จิ่วอาวุโสทดสอบบทเรียนของเสี่ยวจิ้งคง พบว่าเขาเรียนรู้ความรู้ใหม่มากมายในแคว้นเยี่ยน แต่ก็มิได้ทิ้งขว้างความรู้เดิม
ในบรรดาคนที่เดินทางมาแคว้นเยี่ยน มีเพียงเสี่ยวจิ้งคงเท่านั้นที่ตั้งใจเรียนหนังสือ
เสี่ยวจิ้งคงรั้นจะนอนกับกู้เจียวและท่านย่า กู้เจียวก็ไม่ได้คัดค้าน
ยามค่ำคืนเงียบสงัด ตำหนักกั๋วซืออันลึกลับเปรียบเสมือนสัตว์ร้ายในหุบเหวลึกที่หลับใหล ดวงตาอันแหลมคมปิดสนิท
ภายในมุ้ง เต็มไปด้วยกลิ่นของยาหม่องและยาทาแผลอบอวลออกมาจากร่างของจวงไทเฮา
เสี่ยวจิ้งคงนอนหงายหงายอยู่ตรงกลาง มือของเขาจับลูกคิดทองคำชิ้นโปรดของเขาเอาไว้ เสียงลมหายใจของเขาสม่ำเสมอ
กู้เจียวดึงผ้าห่มผืนน้อยมาวางบนท้องของเขา กำลังจะหลับตาลง ก็ได้ยินจวงไทเฮาที่นอนอยู่ด้านนอกถามอย่างงัวเงีย “อาการของกู้เหยี่ยนหายดีแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่”
กู้เจียวเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ดีแล้ว การผ่าตัดประสบความสำเร็จลุล่วง ต่อไปนี้ก็เหมือนคนปกติแล้วเจ้าค่ะ”
“ดี” จวงไทเฮาพลิกตัว
ไม่นานนัก จวงไทเฮาก็พึมพำ “เสี่ยวซุนสูงขึ้นแล้ว”
“…อืม”
จวงไทเฮาพึมพำตอบรับก่อนจะดำดิ่งสู้ห้วงนิทรา
…
เอ่ยถึงหันกุ้ยเฟย หลังจากที่อับอายขายหน้าที่ตำหนักบรรทมแล้ว ก็กลับมานั่งหงุดหงิดอยู่คนเดียวในห้องเป็นเวลานาน
จนกระทั่งเที่ยงคืน นางจึงสงบสติอารมณ์ลง
สวี่เกาถอนหายใจยาว “กุ้ยเฟย”
หันกุ้ยเฟยเย็นลงแล้ว สีหน้าสงบลงมาก “ข้าไม่มีอะไรแล้ว เจ้าไปเถอะ”
“กุ้ยเฟยอยากให้จัดการทางนั้นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
สิ่งที่สวี่เกาเอ่ยถึงเรื่องทางนั้นนั้น หมายถึงสายลับที่พวกเขาแอบวางไว้ในตำหนักฉีหลิน
หันกุ้ยเฟยถอนหายใจ “ไม่เป็นไร แค่เด็กคนเดียว ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องใหญ่ ทำตามแผนเดิม อย่าเพิ่งทำอะไรพลาด”
เมื่อได้ยินหันกุ้ยเฟยเอ่ยแบบนี้ ใจของสวี่เกาที่อกสั่นขวัญแขวนก็กลับมาอยู่กับร่องกับรอย “ทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง กุ้ยเฟยช่างเฉลียวฉลาดนัก”
คำชมเชยนี้มาจากใจจริง
หันกุ้ยเฟยเป็นคนโมโหร้าย แต่โกรธง่ายหายเร็ว เมื่อความโกรธผ่านไป นางก็จะไม่จมอยู่กับอดีต
“ข้าจะเสียเวลาทำเรื่องสำคัญเพราะเด็กคนหนึ่งได้อย่างไร”
การเอาเด็กคนนั้นมาลงโทษนั้นง่ายมาก แค่ทำตามอารมณ์ คล้ายกับการตบยุงที่ตอมตัว
ไม่จำเป็นต้องคิดตรึกตรอง และไม่จำเป็นต้องวางแผน
นางไม่คาดคิดว่าจะพ่ายแพ้
อย่างไรก็ตาม นางไม่ควรปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความโกรธแค้นจากเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ศัตรูตัวจริงของนางคือซ่างกวานเยี่ยน ซ่างกวานชิ่งและเซียวลิ่วหลัง ผู้บัญชาการกองทหารม้าเฮยเฟิงคนใหม่ ผู้ยึดอำนาจตระกูลหันไป
“พวกซ่างกวานเยี่ยนยังต้องระวังไว้ก่อน” นางเอ่ย “รอให้พวกเขาสืบหาข่าวที่มีประโยชน์ได้ก่อน ค่อยลงมือก็ยังไม่สาย”
…
เช้าวันรุ่งขึ้น เซียวเหิงพาเสี่ยวจิ้งคงไปเรียนที่สำนักบัณฑิตหลิงโป จากนั้นก็เขาไปในตัวเมืองเซิ่งตูเพื่อหานายหน้าเพื่อหาบ้านเช่าที่เหมาะสม
ในที่สุดจวงไทเฮาและจี้จิ่วอาวุโสก็รู้ว่านี่คือตำหนักกั๋วซือ สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์และลึกลับที่สุดของต้าเยี่ยน
ต้องรู้ไว้ว่าเมื่อสามสิบปีก่อน แคว้นเยี่ยนและแคว้นเจาเป็นเพียงแคว้นล้าหลัง ทว่าอาศัยวิชาขั้นสูงจากตำราทั้งหกจากตำหนักกั๋วซือ แคว้นเยี่ยนจึงรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษก็แข็งแกร่งทิ้งห่างแคว้นเจา
ในฐานะไทเฮาแห่งแคว้น จวงจิ่นเซ่อใฝ่ฝันอยากตำราทั้งหกแห่งแคว้นเยี่ยน
ในฐานะขุนนางผู้ทรงอำนาจ จี้จิ่วอาวุโสอยากรู้อยากเห็นและโหยหาสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ที่ให้กำเนิดภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่
หลังจากตื่นนอน ทั้งสองคนต่างตกตะลึงในห้องของตัวเองเป็นเวลานาน
พวกเขา… มาถึงตำหนักกั๋วซือที่ใฝ่ฝันมานานแล้วจริงๆ หรือ
พอมานึกดูแล้วเด็กสองคนนี้ก็ฝีมือไม่เลวเลยทีเดียว
คิดไม่ถึงว่าภายในเวลาเพียงสองเดือน จะสามารถได้รับสิทธิ์เข้าตำหนักกั๋วซือและได้รับการยกย่องเป็นแขกคนสำคัญ
ถึงแม้ว่าจะอาศัยตำแหน่งยศถาของเซียวเหิงช่วยไว้ แต่การที่สามารถมีชีวิตอยู่และมาถึงตำหนักกั๋วซือได้ ก็ถือว่าเป็นความสามารถของเด็กสองคนนี้
พวกเขายังเด็ก ขาดประสบการณ์ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขามีความคิดที่เฉียบแหลม กล้าหาญ และมีโชคชะตาที่แม้แต่ไทเฮาและจี้จิ่วอาวุโสเองก็ไม่มี
“อืม ไม่เลวเลย”
จวงไทเฮาพึมพำ
กู้เจียวไม่เข้าใจว่าท่านย่าเอ่ยอะไร จวงไทเฮาก็ไม่คิดจะอธิบาย กลัวว่าเด็กสาวจะเหลิงจนเกินไป
นางถาม “เจ้าใบหูโบกลมนั้นทำอะไรอยู่”
กู้เจียวเอ่ย “เสี่ยวลี่จื่อกำลังกวาดพื้นทางเดินกับอีกสามคน เช้านี้ข้าสังเกตเป็นพิเศษ เขาไม่มีท่าทีอะไรเลย ไม่แอบฟังข่าวคราว ไม่คิดหาทางเข้าใกล้ซ่างกวานเยี่ยน”
จวงไทเฮาพึมพำ “เขาใช้วิธีนิ่งเฉยรอจังหวะอยู่”
กู้เจียวเอ่ย “ถ้าเขายังนิ่งเฉยอยู่ เราจะจับตัวผู้บงการเบื้องหลังได้อย่างไร”
จวงไทเฮาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ถ้าเขาไม่ยอมเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง ก็หาวิธีทำให้เขากลัวจนต้องเคลื่อนไหวเอง”
จวงไทเฮาออกจากห้องไป
นางมาถึงที่ระเบียง
คนทั้งสี่กำลังกวาดล้างอย่างขยันขันแข็ง แต่ละคนยืนห่างกันไม่ไกลนัก
จวงไทเฮาเดินผ่านไปพร้อมกับกลิ่นยาทาแผลและยาแก้เคล็ดที่ติดตัว
นางเป็นเพียงคนป่วยธรรมดา เป็นธรรมดาที่เหล่าบ่าวไพร่จะไม่แสดงความเคารพ เช่นเดียวกัน นางเองก็อยากจะไม่ดึงดูดความสนใจ
ในขณะที่จวงไทเฮาเดินผ่านเสี่ยวลี่จื่อที่กำลังกวาดพื้น จวงไทเฮาก็หยุดชะงักและเอ่ยเสียงเรียบ “นายท่านสั่งให้เจ้าอย่าทำอะไรโผงผาง จงใจเย็นไว้”
หลังจากเอ่ยจบ จวงไทเฮาก็เดินจากไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
กู้เจียวมองเสี่ยวลี่จื่อผ่านช่องประตู พฤติกรรมภายนอกของเสี่ยวลี่จื่อดูไม่มีอะไรผิดปกติ เพียงแต่เขาเหลือบมองท่านย่าด้วยสายตาที่แปลกประหลาด
แต่นี่คือปฏิกิริยาที่ปกติหลังจากถูกคนแปลกหน้าทักทายด้วยถ้อยคำพิลึกพิลั่น
ความเจ้าบทบาทนี้ สุดยอดเสียจริง
ถ้าไม่ใช่เพราะท่านย่าบอกว่าเขาเป็นสายลับ ใครจะรู้เล่า
จวงไทเฮาไปหากู้เจียว เรื่องที่นางพักค้างคืนที่นี่ตอนกลางคืนไม่มีใครรู้ ส่วนตอนกลางวันก็ไม่เป็นไร นางเป็นคนไข้ มาหาหมอเป็นเรื่องปกติ
กู้เจียวยกมือปิดประตู เดินไปที่หน้าต่างพร้อมกับท่านย่า ถามเสียงแผ่วเบา “ท่านย่าพูดอะไรกับเขาเมื่อครู่”
“ข้าบอกเขาอย่าทำอะไรโผงผาง จงใจเย็นไว้” จวงไทเฮาเอ่ยต่ออีกประโยค “เอ่ยภาษาแคว้นเจา”
“อืม” กู้เจียวกะพริบตา
“อย่ากังวล เขาฟังเข้าใจ พวกเจ้าสามคนล้วนเป็นคนแข็งกระด้าง เจ้าก็อยู่ในสายตาของเขา เจ้าเป็นคนแคว้นเจา ถ้าเจ้าต้องการสื่อสารกับใคร จะเอ่ยภาษาแคว้นเจาหรือภาษาแคว้นเยี่ยนปลอดภัยกว่ากัน”
“ภาษาแคว้นเจา” เพราะว่าศิษย์ทั่วไปฟังไม่เข้าใจ
กู้เจียวเข้าใจแล้ว
ผู้บงการเบื้องหลังเพื่อที่จะสืบนางอย่างดีที่สุด จะต้องส่งขันทีที่เอ่ยภาษาแคว้นเจาได้
แยบยลนัก สมัยนี้ถ้าพูดภาษาต่างแคว้นไม่ได้หลายภาษา คงเป็นสายลับไม่ได้แล้ว
กู้เจียวเอ่ยต่อ “แต่ประโยคนั้นหมายความว่าอย่างไร ทำไมไม่ส่งเขาไปปฏิบัติการโดยตรง แต่ให้เขารอเฉยๆ เขาไม่ได้รอเฉยๆ อยู่แล้วหรือ”
จวงไทเฮาอธิบายให้กู้เจียวฟังอย่างใจเย็น เหมือนนกอินทรีผู้เป็นปู่สอนลูกนกอินทรีตัวเล็กจับเหยื่อ “เจ้านายของเขาสั่งให้เขารอเฉยๆ ถ้าข้าส่งเขาไปปฏิบัติการ เขาจะรู้ทันทีว่าข้ามาลองใจเจ้า แต่ถ้าข้าเอ่ยเหมือนกับเจ้านายของเขา เขาจะไม่แน่ใจว่าข้ามาลองใจเขา หรือว่าเจ้านายของเขาส่งคนอื่นมาจริงๆ ”
กู้เจียวพยักหน้ารับ “รวมถึงท่านย่าก็เอ่ยภาษาแคว้นเจา คล้ายกับรหัสลับระหว่างท่าน”
“จะว่าเช่นนั้นก็ได้” จวงไทเฮาเอ่ยเสียงเรียบ “ต่อไป เขาสืบตัวตนของข้าอย่างระมัดระวังมากขึ้น”
“เขาจะเชื่อไหม” กู้เจียวถาม
จวงไทเฮาตอบ “เขาคงไม่เชื่อทั้งหมดแต่ใช่ว่าจะไม่เชื่อไปเสียหมด เขาเป็นคนที่ระมัดระวัง แต่ด้วยความที่ระมัดระวังมากเกินไป จึงต้องสืบสาวตัวตนที่แท้จริงของข้าอย่างแน่นอน เพื่อขจัดความเป็นไปได้ที่ตัวเองจะความแตก”
ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านย่าคาดการณ์ไว้ เสี่ยวลี่จื่อกลั้นไว้ทั้งวัน สุดท้ายก็อดรนทนไม่ไหว
เขาเหลือบมองออกไปนอกตำหนักฉีหลินสามครั้งในหนึ่งนาที
นี่แสดงว่าเขาอยากออกไปมาก
กู้เจียวดีใจที่ได้ช่วยเขา
นางเรียกขันทีสองคนมาหา “ข้าไม่มีสมุนไพรเหลือแล้ว เสี่ยวลี่จื่อ เสี่ยวเติ้งจื่อ ไปซื้อสมุนไพรมาให้ข้าหน่อย ข้าเกรงใจที่จะใช้ของตำหนักกั๋วซือบ่อยๆ ”
ขันทีสองคนรับใบสั่งยาจากนาง ขึ้นรถม้าออกจากตำหนักกั๋วซือ
เสี่ยวลี่จื่อเป็นคนผ่านการฝึกฝนพิเศษ การโดนติดตามจากยอดฝีมือไม่อาจเล็ดรอดไปจากสายตาของเขาได้
เพียงแต่เขาคงคิดไม่ถึงว่า คนที่สะกดรอยตามเขาในครั้งนี้จะไม่ใช่ยอดฝีมือ แต่เป็นเจ้าแห่งเวหาอย่างเสี่ยวจิ่ว
ใครจะไปสนใจนกที่บินอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนกันเล่า
แค่จะมองหายังมองไม่เห็นเลยด้วยซ้ำไป
เสี่ยวลี่จื่อใส่ยาลงในน้ำชาของเสี่ยวเติ้งจื่อ รอจังหวะเสี่ยวเติ้งจื่อปวดท้องวิ่งเข้าห้องน้ำ เสี่ยวลี่จื่อก็ไปที่บ่อนการพนัน
เขาพบกับใครบางคนในสวนหลังของบ่อนการพนัน เขาเอานกพิราบสื่อสารที่เตรียมไว้แล้วจากมือของอีกฝ่าย จุ่มพู่กันลงในหมึก วาดสามเส้นบนขาขวาของนกพิราบ
จากนั้นเขาก็ปล่อยนกพิราบสื่อสารออกไป
นกพิราบพาตัวบินตรงไปยังวังหลวง บินเข้าไปในตำหนักบรรทมของหันกุ้ยเฟย ทันทีที่มันกำลังจะลงจอดบนหน้าต่างของหันกุ้ยเฟย เสี่ยวจิ่วก็บินโฉบไปคว้ามันไว้ในปาก!
เสี่ยวจิ่วบินกลับไปยังตำหนักฉีหลิน โยนนกพิราบที่ตกใจกลัวจนสลบไปแล้วลงบนหน้าต่างของกู้เจียว เสี่ยวจิ่วยังคาบจดหมายที่ถูกกรงเล็บของมันจิกไว้มาด้วย
ไม่พบข้อมูลที่มีประโยชน์บนนกพิราบ มีเพียงรอยหมึกสามหยด ซึ่งน่าจะเป็นรหัสลับ
ค่อนข้างรอบคอบ
กู้เจียวถือจดหมายไปที่ห้องของซ่างกวานเยี่ยน
ซ่างกวานเยี่ยนจำได้ในพริบตาว่านี่คือลายมือของหันกุ้ยเฟย
กู้เจียวเอ่ย “เป็นนางสินะ”
เป็นนางก็ดี
ถ้าจางเต๋อเฉวียนคิดร้าย ความเมตตาของฮองเฮาเซวียนหยวนในอดีตก็เท่ากับสูญเปล่าเหมือนสุนัขที่เลี้ยงเสียข้าวสุก
ในส่วนของวิธีจัดการกับหันกุ้ยเฟย หญิงทั้งสามในห้องถกเถียงกันอย่างออกรสออกชาติ ส่วนใหญ่เป็นกู้เจียวกับซ่างกวานเยี่ยนที่ถกเถียงกัน ท่านย่าแก่ฟังอย่างใจเย็น
ซ่างกวานเยี่ยนเสนอให้ใช้กลอุบายใช้แผนของศัตรูต้านศัตรู รอให้หันกุ้ยเฟยใช้เสี่ยวลี่จื่อใส่ร้ายนาง แล้วพวกนางค่อยตลบหลัง
จวงไทเฮาเอ่ยโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง “ช้าเกินไป”
กู้เจียวเสนอให้โจมตีก่อน นางมียาหลอนประสาทที่สามารถทำให้เสี่ยวลี่จื่อเอ่ยความจริง เปิดเผยว่าหันกุ้ยเฟยเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง หรือไม่ก็ส่งข้อมูลเท็จให้ลี่จื่อ ทำให้หันกุ้ยเฟยตกหลุมพราง
จวงไทเฮา “ยุ่งยากเกินไป”
พวกเขาไม่มีเวลาเหลือเฟือ และไม่มีโอกาสให้ลองผิดลองถูกหลายครั้ง
พวกเขาจำเป็นต้องจัดการหันกุ้ยเฟยให้สิ้นซากในครั้งเดียว
แต่ยิ่งใช้วิธีการที่ซับซ้อน ก็ยิ่งมีตัวแปรมากขึ้น
จวงไทเฮาจ้องมองซ่างกวานเยี่ยนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคิด
ซ่างกวานเยี่ยนรู้สึกขนลุกขึ้นมาเมื่อถูกมอง เขาร้องถาม “ทำไมรึ”
จวงไทเฮาเอ่ย “บาดแผลของเจ้าหายดีแล้วรึ”
ซ่างกวานเยี่ยน “ข้าไม่มี”
จวงไทเฮา “ไม่ เจ้ามี”