สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 782 ท่าไม้ตาย!
บทที่ 782 ท่าไม้ตาย!
หลังเลิกเรียนวันนี้ องค์หญิงน้อยก็มาที่ตำหนักกั๋วซืออีกแล้ว
เด็กน้อยสองคนทำการบ้านที่อาจารย์หลู่กำหนดเสร็จด้วยกัน
ส่วนระหว่างที่ทำการบ้านในวันนี้… เสี่ยวจิ้งคงตั้งใจทำโจทย์ทุกข้อ องค์หญิงน้อยตั้งใจวาดเต่าตัวเล็กทุกตัว
อาจารย์หลู่ไม่กล้าว่าอะไรนาง แต่ละครั้งก็ต้องกลั้นใจให้คะแนนเต็มงานของนาง
องค์หญิงน้อยเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้าคะแนนมาโดยภาพเต่า
เจ้าโทรโข่งน้อยคนเดียวก็หนวกหูพอแล้ว ดันมีโทรโข่งน้อยเพิ่มมาอีกคน สองเสียงประสานกึกก้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่านย่าเองก็แทบจะถูกหามขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับดวงอาทิตย์นู่นแล้ว
จางเต๋อเฉวียนไม่รู้ว่าเสียงดังในห้องทำเอาวิญญาณของไทเจาหลุดออกจากร่างไปแล้ว เขาแค่มาเพื่อดูแลแทนฮ่องเต้ ฮ่องเต้รักองค์หญิงน้อยมาก รอคอยนางอยู่ทุกวัน
แต่สุดท้ายหญิงใดก็ต้องออกเรือน
ภายในลานบ้าน จางเต๋อเฉวียนเอ่ยอึกๆ อักๆ “องค์หญิงน้อย พวกเราจะมาตำหนักกั๋วซือทุกวันไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ…”
องค์หญิงน้อยเอ่ยเสียงดังฟังชัด “ข้ามาเยี่ยมหลานชายและพี่สาว มีอะไรไม่เหมาะสมหรือ!”
ท่านมาเยี่ยมพระนัดดากับองค์หญิงสามอย่างนั้นหรือ
ท่านว่าแปรงในมือลงก่อนแล้วค่อยพูดดีหรือไม่
เด็กน้อยสองคนกำลังแปรงขนม้า
ราชาม้าหนีไปนานแล้ว ตอนนี้ราชาม้าเฮยเฟิงนอนหมอบอยู่บนพื้นอย่างแสนเชื่อง เด็กน้อยสองคนนอนซุกตัวบนตัวมันโดยไม่นึกกลัว
“ขนเจ้าช่างงามนัก” องค์หญิงน้อยเอ่ยเสียงออดอ้อนยามแปรงแผงคอให้ราชาม้าเฮยเฟิง
ราชาม้าเฮยเฟิงมีความอดทนต่อมนุษย์เด็กมาก เด็กๆ แปรงขนให้มันไป มันก็พักผ่อนไป
เจ้าม้าไม่เหมือนตอนอยู่กับตระกูลหันอีกต่อไป ไม่ต้องตึงเครียด ไม่ต้องระวังตัวตลอดเวลา ไม่ต้องกังวลว่าตนจะแสดงออกว่าอ่อนแอ
ไม่มีใครบังคับให้มันเป็นม้าศึกที่ไม่มีวันล้ม
มันสามารถพักผ่อน เกียจคร้าน และเพลิดเพลินกับเวลาว่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในสิบห้าปี
มันไม่ต้องใช้ชีวิตเพื่อเจ้านาย ไม่ต้องใช้ชีวิตเพื่อเฝ้ารออะไรบางอย่าง ชีวิตที่เหลือนั้นมันจะใช้ชีวิตเพื่อตัวเองและต่อสู้เพื่อมิตรสหาย
การต่อสู้เคียงข้างกันไม่ใช่ภารกิจ แต่คือปณิธาน
ภายในห้อง
กู้เจียวทำตุ๊กตาตัวที่สามเสร็จแล้ว นางทำทั้งวันจนปวดตา
“เท่านี้พอหรือยังท่านย่า” กู้เจียวส่งตุ๊กตาให้จวงไทเฮาแล้วถาม
ท่านย่าพยักหน้า ถามจี้จิ่วอาวุโสที่ยืนอยู่ข้างๆ “ยังเขียนไม่เสร็จอีกหรือ”
“เขียนเสร็จแล้ว เขียนเสร็จแล้ว!” จี้จิ่วอาวุโสวางพู่กันลง แปะกระดาษทีละแผ่นบนหลังตุ๊กตา
วิธีของท่านย่านั้นง่ายมาก แต่ก็โหดร้ายมากเช่นกันนั่นคือ… มนต์สะกดวิญญาณ
หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าตุ๊กตาคุณไสย์
ในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยลัทธิขงจื๊อและความเชื่องมงาย ไสยศาสตร์นั้นถูกห้ามโดยกฎหมาย เพราะทุกคนต่างเชื่อและคิดว่ามันชั่วร้าย ไม่ต่างจากการฆ่าคนเผาบ้าน แถมทำร้ายคนอย่างแยบยล
“เข็มเงิน” ท่านย่าเอ่ย
กู้เจียวหยิบเข็มเงินขึ้นมาแทงที่ตุ๊กตา เอ่ยด้วยน้ำเสียงตลกขบขัน “ท่านย่า ท่านไม่กลัวว่าจะแทงอาเหิงตายหรือ”
จวงไทเฮาเอ่ยอย่างใจเย็น “นี่ไม่ใช่ปีนักษัตรของอาเหิง แต่เป็นของเซียวชิ่ง”
กู้เจียว “…”
จวงไทเฮาเอ่ยต่อ “อีกอย่างเจ้าของสิ่งนี้มันไม่ได้ผลหรอก ไม่ได้ผลเลยสักนิดเดียว”
น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
ราวกับว่าเคยลองใช้มันด้วยตัวเอง เสียเวลา เสียแรงกายแรงใจ ผลลัพธ์ที่ได้กลับล้มเหลว
กู้เจียวถามด้วยความสงสัย “ท่านรู้ได้อย่างไร ท่านย่าลองใช้มันแล้วหรือ ท่านแทงใครมา”
จวงไทเฮาเหลือบมองจี้จิ่วอาวุโสฝั่งตรงข้ามอย่างแนบเนียน ก่อนจะกระแอมเบาๆ “ไม่มีใครทั้งนั้น”
กู้เจียวเข้าใจแววตานั้นของท่านย่าอย่างลึกซึ้ง รู้สึกนับถือในตัวท่านปู่ สามารถใช้ชีวิตภายใต้การบงการของท่านย่าได้ เรียกได้ว่าแข็งแกร่งเสียงยิ่งกว่าแข็งแกร่ง
กู้เจียวทำตุ๊กตาต่อ “เสร็จแล้ว ต่อไปก็ต้องดูว่าจะเอาเข้าไปในตำหนักหันกุ้ยเฟยได้อย่างไร”
คืนเดือนมืดลมแรง
ร่างเล็กในชุดขันทีคลานผ่านรูสุนัขของตำหนักเย็น ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเศษหญ้าบนศีรษะ
นอกกำแพงตำหนักเย็น มีเสียงชายหนุ่มดังขึ้น “ข้ารอเจ้าอยู่ที่นี่”
“รู้แล้ว” ขันทีน้อยตอบ
“เจ้าระวังตัวด้วย”
“พูดมากน่า!”
ขันทีน้อยตะคอกแล้วหันหลังออกไป
ขันทีน้อยเดินอย่างสบายใจในวังหลวง จนกระทั่งจำนวนขันทีในบริเวณหน้าเริ่มมากขึ้น ขันทีน้อยจึงหดไหล่ ทำท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตน
ขันทีน้อยเดินมาถึงหน้าตำหนักที่ดอกไม้ส่งกลิ่นหอมโชยมาแตะจมูก เขาเคาะประตูสีแดงที่ปิดสนิท
“ผู้ใดกัน”
นางกำนัลเดินมาอย่างหงุดหงิด “กุ้ยเฟยทรงบรรทมแล้ว ใครกันที่อยู่ข้างนอกเคาะประตูเสียงดังเชียว”
ขันทีน้อยไม่เอ่ยอะไร แค่เคาะประตูต่อไป
นางกำนัลโมโหแล้ว ถอดสลักกลอนประตู เปิดประตูออก เห็นขันทีตัวน้อยยืนอยู่ที่หน้าประตู
ขันทีน้อยก้มหน้า จึงมองไม่เห็นใบหน้าของเขา
นางกำนัลสาวถาม “เจ้าเป็นใคร กล้ามาบุกรุกตำหนักเสียนฝูของพวกเราตอนกลางดึก!”
ขันทีตัวเล็กยังคงไม่เอ่ยคำใด เพียงแค่เงยหน้าขึ้นช้าๆ
บังเอิญในตอนนั้น มีแม่นมอาวุโสคนหนึ่งเดินผ่านมา นางเห็นดวงตาหงส์ที่เปล่งประกายในความมืดทันที
ขาของนางอ่อนแรง เกือบจะคุกเข่าลง
ขันทีน้อยคนนั้น… หากจะว่าให้ถูกคือซ่างกวานเยี่ยนต่างหาก นางเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “ข้าต้องการพบกุ้ยเฟยของพวกเจ้า”
แม่นมรีบรายงานในตำหนักทันที
ไม่นาน นางก็กลับมา ไล่นางกำนัลสาวคนนั้นออกไป ก่อนจะต้อนรับซ่างกวานเยี่ยนอย่างนอบน้อม
ข้าหลวงในวังทั้งหมดถูกไล่ออกไปแล้ว บนถนนเงียบสงบมาก มีเพียงแม่นมผู้นี้ที่พาซ่างกวานเยี่ยนเดินผ่านสวนที่จัดอย่างสวยงาม
เหล่าสนมในวังต่างมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ตัวอย่างเช่น หันกุ้ยเฟยชอบสวดมนต์ ส่วนหวังเสียนเฟยชอบปลูกดอกไม้
ทั้งสองคนเดินลัดเลาะผ่านโถง และหยุดยืนอยู่หน้าห้อง
แม่นมยืนเฝ้าอยู่ที่ประตู เอ่ยกับซ่างกวานเยี่ยน “กุ้ยเฟยอยู่ข้างใน เชิญองค์หญิงสามเพคะ”
ซ่างกวานเยี่ยนเข้าไปในห้อง
หวังเสียนเฟยนั่งสง่างามบนเก้าอี้หัวโต๊ะ ดั่งแสงอาทิตย์บนยอดเขา
นางเห็นซ่างกวานเยี่ยน แววตาของนางฉายแววประหลาดใจอย่างไม่มีปิดบัง จากนั้นนางก็เดินเข้ามา เชิญซ่างกวานเยี่ยนให้นั่งที่โต๊ะอย่างสุภาพ
ซ่างกวานเยี่ยนเองก็นอบน้อม รอให้นางนั่งก่อนแล้วจึงนั่งตาม
นี่เป็นการต้อนรับที่ไม่มีนางสนมคนใดในอดีตเคยได้รับ
ในฐานะรัชทายาทไท่หนี่ว์ ยกเว้นไทเฮาและฮ่องเต้แล้ว สถานะของบุคคลอื่นๆ ล้วนต่ำกว่านาง
หวังเสียนเฟยยิ้มพลางเอ่ย “เยี่ยนเอ๋อร์ วันนี้เกรงอกเกรงใจกันเสียจริง”
ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ย “ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ข้าไม่ใช่ไท่หนี่ว์อีกต่อไป ย่อมไม่อาจทำตัวเหมือนไท่หนี่ว์ได้”
หวังเสียนเฟยจิบชา แววตาหลุกหลิกพลางเอ่ย “ข้าได้ยินมาว่าเยี่ยนเอ๋อได้รับบาดเจ็บสาหัส”
ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “เอ่ยตามตรง ข้าแกล้งทำเป็นได้รับบาดเจ็บ”
หวังเสียนเฟยตกตะลึง
ซ่างกวานเยี่ยนยิ้มแล้วเอ่ย “ด้วยความฉลาดของท่าน คงเดาได้แล้วไม่ใช่หรือ”
หวังเสียนเฟย ก้มลงมอง “ข้ารู้สึกประหลาดใจ ที่เจ้ากล้าสารภาพต่อหน้าข้าพเจ้า”
หวังเสียนเฟยเอ่ย “ไท่จื่อทำร้ายเจ้า ตระกูลหันยังไปลอบสังหารชิ่งเอ๋อร์ เจ้าคิดหาวิธีแก้แค้นก็เป็นเรื่องธรรมดา”
“ข้าไม่ได้ต้องการแค่แก้แค้น”
ความกล้าหาญและตรงไปตรงมาของซ่างกวานเยี่ยนทำให้หวังเสียนเฟยรับมือไม่ไหว
หวังเสียนเฟยอ้าปากค้าง “เจ้า…”
ท่าทางของซ่างกวานเยี่ยนจริงจังขึ้นทันใด “ข้าอยากกลับมาเป็นไท่หนี่ว์อีกครั้ง ขอเสียนกุ้ยเฟยช่วยข้าด้วย”
หวังเสียนเฟยรู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง นางเอ่ย “เรื่องนี้… ข้าจะเอ่ยกับฝ่าบาทให้เจ้าเอง แต่ว่าจะได้ตำแหน่งไท่หนี่ว์กลับมาหรือไม่ ข้าก็ไม่แน่ใจ”
ซ่างกวานเยี่ยนยิ้มแล้วเอ่ย “เสียนหมู่เฟย ข้ามาด้วยความบริสุทธิ์ใจ ท่านจะปิดบังอะไรอีกทำไม เด็กชายอายุสิบขวบอย่างองค์ชายหก จะสามารถเชื่อถือได้มากกว่าข้าจริงหรือ”
หวังเสียนเฟยก้มมองลงจิบชา “ข้าไม่เข้าใจเจ้ากำลังเอ่ยอะไร”
ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยอย่างเรียบเฉย “หวั่นเฟยถูกส่งไปอยู่ที่ตำหนักเย็น เสียนหมู่เฟยเป็นผู้เลี้ยงดูพระโอรสของนาง เสียนหมู่เฟยที่มีทุกอย่างแล้ว ขาดเพียงพระโอรสที่จะขึ้นครองบัลลังก์ แต่ข้าขอเอ่ยตรงๆ ว่า เมื่อเทียบกับซวีอ๋อง หลิงอ๋องและหลีอ๋องแล้ว ความสามารถในการรบขององค์ชายหกที่อายุเพียงสิบชันษานั้นยังไม่เพียงพอ หากไท่จื่อซ่างกวานฉีที่ถูกปลดกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้งก็ยังมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นผู้สืบบัลลังก์มากกว่าองค์ชายหก”
หวังเสียนเฟย กำมือแน่นใต้แขนเสื้อกว้าง
ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยต่อ “ตระกูลหวังเป็นตระกูลชั้นสูงเทียบเท่ากับตระกูลหัน น่าเสียดายที่เรื่องการสถาปนาองค์หญิงเป็นรัชทายาทไม่มีทางเกิดขึ้นกับพี่สาวคนโตและคนรอง เสียนหมู่เฟยคงรู้สึกไม่พอใจใช่หรือไม่ เหตุใดข้าถึงเป็นเจ้าหญิงและสามารถขึ้นครองราชย์ได้ ที่ข้าอยากจะบอกเสียนหมู่เฟยก็คือ คนเราเกิดมาไม่เท่ากัน จุดเริ่มต้นของข้าคือจุดสิ้นสุดของพี่น้องทั้งหมด ถึงแม้ข้าจะล้มเหลว ขอแค่ข้าอยากกลับมา ข้าก็ยังมีโอกาสชนะสูงสุดอยู่ดี!”
หวังเสียนเฟยยิ้มอย่างเย็นชา “ตระกูลเซวียนหยวนล่มสลายแล้ว เจ้ายังมีโอกาสอะไรอีก”
ซ่างกวานเยี่ยนยิ้ม “ข้ายังมีเสียนหมู่เฟยอยู่อย่างไรเล่า เพียงเสียนหมู่เฟยยอมช่วยข้า ข้าก็จะช่วยเสียนหมู่เฟยขึ้นเป็นฮองเฮา ตระกูลหวังจะเป็นตระกูลของฮองเฮาแห่งแคว้น!”
“วาจาเลื่อนลอยไร้หลักฐาน ข้าต้องการคำมั่นเป็นลายลักษณ์อักษร!”
ข้อเสนอนั้นช่างเย้ายวนเหลือเกิน
หวังเสียนเฟยเงียบงันอยู่นาน
ธูปบนโต๊ะมอดไปครึ่งแล้ว หวังเสียนเฟยจึงเอ่ยถามเบาๆ “เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร”
ซ่างกวานเยี่ยนล้วงกล่องไม้แกะสลักออกจากแขนเสื้อกว้างๆ วางบนโต๊ะแล้วเอ่ย “ขอเสียนหมู่เฟยเโปรดนำสิ่งของในกล่องนี้ไปวางไว้ที่ห้องโถงนอนของหันกุ้ยเฟย”
…
แต่คิดว่าแค่นี้ก็จบแล้วหรือ
ไม่มีทางเสียหรอก
ซ่างกวานเยี่ยนเปลี่ยนทิศทางเดิน มุ่งหน้าไปยังตำหนักเฉิน
…
“ขอเพียงเฉินหมู่เฟยยอมช่วยข้า ข้าจะช่วยเฉินหมู่เฟยขึ้นเป็นฮองเฮา ตระกูลต่งจะเป็นตระกูลแม่ของข้าในอนาคต!”
…
“ขอเพียงเต๋อหมู่เฟยยอมช่วยข้า ข้าจะช่วยเต๋อหมู่เฟยขึ้นเป็นฮองเฮา ตระกูลหยางจะเป็นตระกูลแม่ของข้าในอนาคต!”
…
“ซูหมู่เฟยไม่ต้องเก้อเขิน ต่อไปนี้ก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ตระกูลเฉินก็คือญาติฝ่ายแม่ของข้า ข้าจะช่วยซูหมู่เฟยขึ้นเป็นฮองเฮาแน่นอน”
…
“พระสนมเจาอีโปรดอย่ากังวล เพียงแค่เราร่วมมือกัน ตำแหน่งฮองเฮาและตำแหน่งรัชทายาทก็จะเป็นของพวกเราสองคน ข้าไม่มีญาติฝ่ายแม่แล้ว ต่อไปนี้ยังต้องพึ่งพาตระกูลเฟิงอีกมาก”
…
ตุ๊กตาทั้งหมดถูกส่งออกไปหมดแล้ว ซ่างกวานเยี่ยนไพล่มือไว้ด้านหลัง ก่อนจะถอนหายใจยาว
ว่าก็ว่าเถอะ คนไร้ยางอายนั้นไร้ศัตรูจริงๆ สินะ