สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 787 กินทั้งตัว
บทที่ 787 กินทั้งตัว
ซ่างกวานเยี่ยนพูดถูก ไม่มีอะไรต้องเสียแล้ว กลับเป็นพวกนางเองต่างหากที่ยังมีบุตรหลานและคนในตระกูลอยู่ข้างหลัง
แต่ละคนเริ่มโมโหจนหน้าเขียวปั๊ด
หวังเสียนเฟยเอ่ยเสียงแข็ง “ลูกเจ้าก็ยังไม่ตาย จะรีบพูดแบบนั้นไปเพื่ออะไร”
ซ่างกวานเยี่ยนยิ้มอย่างหยิ่งผยอง “ตอนที่ตระกูลเซวียนหยวนถูกตราหน้าว่าก่อกบฏ จนข้าถูกปลดให้กลายเป็นสามัญชน ลูกชายของข้าไม่ได้รับอันตราย เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อจะตำหนิลูกชายของข้าที่ใส่ร้ายพวกเจ้าเพียงไม่กี่คนหรือ”
ก็ถูกของนาง
ทุกคนรู้ดีว่าฝ่าบาทรักและเอ็นดูซ่างกวานชิ่งมากเพียงใด
หวังเสียนเฟยกำหมัดแน่นจนเล็บจิกลงบนเนื้อที่ฝ่ามือ “เจ้าต้องการอะไรกันแน่”
ซ่างกวานเยี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้มแต่ดวงตากลับไม่ยิ้มตาม “ข้าก็ไม่ได้จะต้องการอะไร แค่เห็นสีหน้าหวาดกลัวของพวกท่าน ข้าก็มีความสุขมากแล้ว! ไว้วันไหนข้าเสพความสุขนี้จนอิ่มแล้ว ข้าจะส่งหลักฐานเหล่านี้ให้เสด็จพ่อ และเมื่อถึงเวลานั้น พวกเราลงไปที่นรกเพื่อพบกับเสด็จแม่ของข้ากันเถอะ!”
“เป็นบ้าไปแล้วรึ!” เฉินชูเฟยกระทืบเท้าด้วยความโมโห
ขณะเดียวกัน ณ ห้องที่อยู่ถัดไป กู้เจียวและกู้เฉิงเฟิงกำลังเอาหูแนบกับกำแพงเพื่อดักฟังสิ่งที่เกิดขึ้น
“โอ๊ะ พวกเขาน่าจะออกไปกันแล้วนะ” กู้เจียวเอ่ย
ขณะที่เซียวเหิงสังเกตการณ์ผ่านแยกของประตู พร้อมกับเอ่ยในใจ อืม ข้ารู้แล้ว
กู้เฉิงเฟิงผละตัวออกจากกำแพง ยืดตัวขึ้นและถามอย่างสงสัย “แต่ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดถึงไม่ถามพวกนางไปตรงๆ เลย เช่นว่าให้พวกนางเอาหลักฐานปลอมที่เคยใส่ร้ายตระกูลเซวียนหยวนมาแลกกัน”
คดีของตระกูลเซวียนหยวนถูกสร้างและใส่ร้ายโดยคนขอตระกูลเหล่านี้มากี่ครั้งกี่หนกันแล้ว
หากเราได้รับหลักฐาน เราก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าตระกูลเซวียนหยวนบริสุทธิ์
กู้เจียวตอบกลับ “ฝ่ายเราจะพูดแบบนั้นก่อนไม่ได้ เช่นนั้นก็เท่ากับเผยไพ่ลับของตัวเองให้ศัตรูรู้”
ไม่ควรเปิดเผยความลับของตัวเองให้ใครรู้ การไม่เผยความต้องการนั่นแหละคือความต้องการที่ใหญ่ที่สุด
เราต้องรอเวลาให้ศัตรูคายทุกอย่างออกมาให้หมดเปลือกเสียก่อน
นี่เป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์เคยสอนไว้
กู้เจียวมองว่าแผนนี้ของท่านย่าทำถูกแล้ว
หากให้ซ่างกวานเยี่ยนแสดงให้พวกนั้นเห็นว่านางกำลังทวงคืนความยุติธรรมให้ตระกูลเซวียนหยวน พวกนั้นก็จะรู้ว่าอีกฝ่ายยังอยากมีชีวิตอยู่ และจะยื่นข้อเสนอมากมายมาล่อ
แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น จะกลายเป็นว่าพวกนางจะนำหลักฐานพวกนั้นมาล่อซ่างกวานเยี่ยนเสียเอง
ที่ต้องทำคือให้พวกนั้นเป็นฝ่ายอ้อนวอนร้องขอซ่างกวานเยี่ยน และหาทางช่วยเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อ
แล้วหลักฐานที่จะคืนความยุติธรรมให้กับเซวียนหยวนต้องปรากฏขึ้นแน่ๆ อีกทั้งอาจไม่หมดเพียงเท่านี้
หลังจากพวกพระสนมกลับไป ตำหนักฉีหลินก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
คืนนี้เสี่ยวจิ้งคงมานอนกับเซียวเหิง เหตุผลคือท่านย่าโดนลูกถีบของเจ้าตัวเล็กจนนอนแทบไม่ได้!
กู้เจียวเดินไปที่ลานเพื่อถอดผ้าพันแผลให้เจ้าเฮยเฟิง แผลของมันหายดีแล้ว
จากนั้นก็ลูบหัวให้มันเบาๆ
รออีกสามวัน กู้เจียวก็จะพามันไปที่ค่ายทหารม้าเฮยเฟิง
พวกเขาพร้อมจะเดินต่อไปข้างหน้าแล้ว แม้หนทางยังอีกยาวไกล ถึงจะได้รับชัยชนะเล็กๆ แต่ก็ไม่อาจลืมตัว ต้องระมัดระวัง และเตรียมพร้อมอยู่เสมอ
“เอามาให้ข้าเถอะ” เซียวเหิงเดินเข้ามาหาพร้อมกับเอ่ยขึ้น
กู้เจียวทำหน้าตกตะลึง “หืม เจ้ายังไม่นอนรึ”
มือข้างหนึ่งของเซียวเหิงคว้าผ้าพันแผลไว้ ก่อนจะใช้มืออีกข้างหยิบปอยผมของคนตรงหน้า “เจ้าเองก็เหมือนกันนี่”
กู้เจียวร้องอ๋อ “ข้าแวะมาดูอาการของเฮยเฟิงน่ะ”
เซียวเหิงเอ่ยขึ้น “ส่วนข้ามาดูเจ้า”
สายตาขของเขาทั้งแน่วแน่และอ่อนโยนในคราวเดียวกัน
กู้เจียวกระพริบตาปริบๆ และมองใบหน้าของคนตรงหน้า
พ่อหนุ่มคนนี้นับวันยิ่งร้ายเอาการ พอไม่มีคนอยู่ก็เข้ามาเกาะแกะ หรือไม่บางทีก็ชอบส่งสายตายั่วยวนให้ นี่เขาแทบจะกลายเป็นฟีโรมโมนที่เดินได้ด้วยซ้ำ อีกนิดนางจะทนไม่ไหวแล้วนะ
หากมองจากมุมมองทางสรีรวิทยา ร่างกายของนางกำลังเจริญเต็มวัย และง่ายต่อการถูกฮอร์โมนของเพศตรงข้ามดึงดูด
ฮอร์โมนต่างหากที่เป็นตัวปัญหา ไม่ใช่ข้านะ
เซียวเหิงยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็เห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าเอาแต่ส่ายศีรษะไปมา เขาหลุดขำแล้วเอ่ย “นี่เจ้าส่ายหัวด้วยเหตุใดรึ ไม่อยากให้ข้ามาหาเจ้าหรืออย่างไร”
“อยาก” กู้เจียวเอ่ย
เซียวเหิงคลี่ยิ้มอ่อน
แล้วจู่ๆ กู้เจียวก็ยื่นหัวโหม่งเข้าไปทีแผ่นอกของเขา
เซียวเหิงจึงคว้าหัวไหล่ของนางพร้อมถามขึ้น “เหนื่อยแล้วละสิ”
กู้เจียวที่ยังคงก้มหน้ามองแผ่นอกของเขาก็ได้แต่ส่ายศีรษะ “ข้าไม่เหนื่อย อันนี้ข้าแค่รู้สึกเหนื่อยแทนท่านย่ากับจี้จิ่วเฉยๆ พวกเขาอายุมากแล้ว ยังต้องมาทำเรื่องแบบนี้ ท่านย่าไม่ชอบเล่นกับใจคน แต่ชอบเล่นไพ่ที่ตรอกปี้สุ่ยมากที่สุด”
เซียวเหิงหัวเราะ “ท่านย่าชอบเล่นไพ่ก็จริง แต่ท่านย่าชอบเจ้ามากกว่าไง”
ความสุขของท่านย่าก็คือการที่ได้เห็นเจ้าปลอดภัยยังไงล่ะ
“อื้อ” กู้เจียวยังคงไม่ขยับไปไหน ทิ้งน้ำหนักไปที่เขาราวกับลูกวัวที่เกียจคร้าน
กู้เจียวไม่เคยปล่อยตัวต่อหน้าใคร เว้นแต่ตอนที่อยู่กับเขา
จะว่าไปแล้ว ที่ผ่านมา นางก็เหนื่อยมามากจริงๆ
ตั้งแต่วันที่เข้ามายังแคว้นเยี่ยนแห่งนี้ นางแทบไม่เคยได้หยุดพักเลย ทั้งแข่งโปโล ทั้งผ่าตัดให้กู้เหยี่ยน ไหนจะต้องต่อกรกับศัตรูอย่างตระกูลหันและตระกูลหนานกง ไหนจะเรื่องเจ้าเฮยเฟิง… ยุ่งจนสายตัวแทบขาดกันเลยทีเดียว
ยังมีหน้ามากลัวว่าคนอื่นจะเหนื่อยอีก
ทั้งๆ ที่ตัวเองนั่นแหละเหนื่อยกว่าใคร
เซียวเหิงมองไปยังศีรษะเล็กๆ ในอ้อมแขนของเขา จ้องมองอย่างแน่วแน่แลล้วเอ่ย “ภายในสามเดือน ข้าจะจัดการเรื่องที่แคว้นเยี่ยนให้จบ”
กู้เจียว “อื้อ”
เป็นน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น
เซียวเหิงโอบกอดร่างเล็ก แล้วถามเบาๆ ขึ้น “หลังจบเรื่องนี้แล้ว เจ้าอยากทำอะไร”
กู้เจียวครุ่นคิดอย่างตั้งใจ ก่อนตอบออกไป “จะกินเจ้าทั้งตัวเลย”
เซียวเหิง “…”
…
พวกเขาอยู่ด้วยกันข้างนอกอยู่พักหนึ่ง พอถูกแมลงหามจนได้ที่ เซียวเหิงถึงได้จูงมือร่างเล็กเข้าไปข้างใน
เขาหยุดยืนที่หน้าประตูห้อง แล้วเอ่ยกับนาง “เข้าไปสิ”
ทว่ากู้เจียวไม่ได้ยินที่เขาพูด
เซียวเหิงเอานิ้วจิ้มไปที่หน้าผากของนาง “คิดอะไรอยู่”
“ไม่มีอะไร ก็แค่จู่ๆ คำพูดสั่งเสียของหนานกงลี่ก็ผุดขึ้นมาในหัวข้า”
‘ข้าสมควรตายจริงๆ นั่นแหละ ข้าหักหลังเจ้า หักหลังตระกูลเซวียนหยวน ต่อให้ตายก็ลบล้างความผิดไม่หมด…ข้าไม่แปลกใจ…ที่เจ้ามาแก้แค้น…ไม่มีอะไรให้ต้องเสียดาย…แต่เจ้า…คิดหรือว่าทั้งหมดเป็นความผิดของแค่ตระกูลหนานกงอย่างเดียว เจ้าคิดผิดแล้ว…ฮ่าๆ …เจ้าผิดมหันต์เลย…ตระกูลหนานกง…ไม่ใช่ผู้ร้าย ก็แค่สัตว์เดรัจฉานที่ต้องการล่าชิ้นเนื้ออวบอ้วนก็เท่านั้น…’
‘ตัวการที่แท้จริงของเรื่องนี้…คือ…คือ’
“จิน อะไรสักอย่าง จิน หยาง หรือหลาง ตอนนั้นเจ้านั่นพูดไม่ชัดเท่าไหร่นัก” กู้เจียวพยายามนึก
“จิ้งหยางใช่หรือไม่” เซียวเหิงกล่าว “ฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนมีพระนามว่าซ่างกวานจิ้งหยาง”
กู้เจียวพยักหน้า “อ้อ น่าจะเป็นชื่อนี้แหละ”
เซียวเหิงจับไหล่ของนางแล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ตระกูลเซวียนหยวนจะได้รับความยุติธรรมคืนมาแน่นอน ไม่ว่าฝ่าบาทจะยอมหรือไม่ก็ตาม”
…
กลางดึก กู้เจียวไปที่ห้องลับอีกครั้ง
ไม่แปลกใจที่เห็นว่ากั๋วซือก็อยู่ในนั้นด้วย
ช่วงนี้เขามักจะมาที่นี่อยู่บ่อยครั้ง
เพราก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับกู้เจียวอยู่แล้ว
“คืนนี้ข้าจะเฝ้าเขาเอง” กั๋วซือเอ่ยขณะกู้เจียวกำลังวางกล่องยาบนช่อง
“ข้าเฝ้าเอง” กู้เจียวตอบ
“แน่ใจนะ” กั๋วซือถามขึ้น
กู้เจียวรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะบอกอะไรบางอย่าง “ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“พวกเจ้าขุดหลุมให้คนอื่นไว้เยอะขนาดนี้ แม้ว่าพวกหวังเสียนเฟยจะไม่รู้จักเจ้า แต่พวกตระกูลหันยังพอรู้เรื่องของเจ้านะ” กั๋วซือเอ่ย
เหตุใดเขาถึงรู้เรื่องที่หลอกพวกหวังเสียนเฟยล่ะ
กั๋วซือยังเอ่ยต่อ “ต่อไปอย่าให้พวกเขาเข้าทางประตูหลักล่ะ”
ต่อให้พวกพระสนมปลอมตัวมา คิดหรือว่าลูกศิษย์ของกั๋วซือจะดูไม่ออก
กู้เจียว “ใครพาใครเข้ามาอย่างนั้นรึ ไม่มี”
ไม่ยอมรับก็เท่ากับว่าไม่ได้ทำ!
แต่ประโยคก่อนหน้าที่เขาบอกหมายความว่าอย่างไรกันนะ
พวกตระกูลกันรู้เรื่องนาง…
ต่อให้พวกมันไม่รู้ว่านางคือกู้เจียว แต่ก็พอจะรู้ว่านางคือเซียวลิ่วหลังตัวปลอม และรู้ว่านางเรียนหนังสืออยู่ที่เทียนฉยง พอมาคิดๆ ดูแล้ว พวกเขาอาจจะรู้เรื่อง…
แหล่งที่พัก!
แย่ละ!
หลังเกิดเรื่องกับหันกุ้ยเฟย
ในเมื่อพวกมันยุ่งกับคนของกั๋วซือไม่ได้ ย่อมต้องเลือกเล่นงานคนที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาทุกคนแน่ๆ !
ณ คืนเดือนมืดที่ลมพัดแรง
ทั้งตรอกหยางหลิ่วอยู่ในความเงียบสงัด
หลังจากที่หนานเซียงป้อนยาและนวดคอให้กู้ฉังชิงเสร็จ ก็เก็บยาเข้าขวดโหลแล้วลุกขึ้นเพื่อเตรียมกลับห้องพักผ่อน
นางเดินไปที่ห้องนอนของกู้เสี่ยวซุ่นและกู้เหยี่ยนก่อน
เด็กทั้งสองกำลังนอนหลับสนิท
จากนั้นนางไปที่ห้องของผู้อาวุโสเมิ่งแล้วช่วยปิดบานประตูให้เนื่องจากเสียงกรนของเขาดังเกินไป
เสร็จก็เดินมาที่เตียงของตัวเองแล้วล้มตัวลงบนฟูกทันที
ฤดูร้อนที่อากาศอบอ้าว เสียงจักจั่นดังหวึ่งๆๆ ไปทั่วลานเรือน
กลบเสียงเสื้อผ้าที่กำลังพลิ้วไหวตามสายลม
ทันใดนั้น เงาดำปริศนาแอบย่องเข้าไปในลานบ้านอย่างเงียบๆ
พวกเขามาที่ประตูห้องหลัก หยิบมีดออกมาและเริ่มงัดสลักประตู
กู้เหยี่ยนลืมตาขึ้นทันที เขาพยายามกลั้นเสียงหายใจของตัวเองและตั้งใจฟังความเคลื่อนไหวด้านนอก
จากนั้นจึงผลักให้กู้เสี่ยวซุ่นตื่นขึ้น
กู้เสี่ยวซุ่นพลิกตัวด้วยความงุนงงและพึมพำ “ทำอะไร…”
“ชู่ววว…” กู้เหยี่ยนรีบเอามือปิดปากเขา
กู้เสี่ยวซุ่นตกใจเบิกตากว้างมองกู้เหยี่ยน ความงัวเงียเมื่อครู่นี้พลันหายไปในพริบตา
กู้เหยี่ยนเปิดม่านเตียงออกแล้วชี้ไปทางประตู
มีคนมาที่นี่