สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 790-3 คลั่งลูกสาว (3)
บทที่ 790 คลั่งลูกสาว (3)
ณ โรงเตี๊ยม
ในที่สุดผู้อาวุโสเมิ่งก็ตื่นนอน เขายืนอยู่หน้าอ่างล้างหน้าด้วยจิตใจที่ว่างเปล่า มองดูใบหน้าที่คล้ายหัวหมูที่สะท้อนอยู่ในอ่าง และรู้สึกราวกับมีม้านับหมื่นตัววิ่งในใจของเขา
“นี่หน้าข้าไปโดนอะไรมาเนี่ย”
เขาจำเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ได้เลยสักนิด!
เมื่อกู้เจียวมาถึง ก็พบว่าทุกคนตื่นแล้ว และไปรวมตัวกันอยู่ที่ห้องของผู้อาวุโสเมิ่ง
อาจารย์หลู่ไม่กล้ารับสารภาพว่าตัวเองเป็นคนทำให้ใบหน้าของเขาช้ำแบบนั้น และโยนความผิดให้พวกทหารของตระกูลหัน
ผู้อาวุโสเมิ่งถูกต้มจนเปื่อย และเกิดความแค้นต่อตระกูลหันขึ้นมาจริงๆ !
จากนั้นกู้เจียวก็เล่าเรื่องที่อยู่ใหม่ให้ทุกคนได้ทราบทั่วถึงกัน “…ช่วงบ่ายเดี๋ยวจะมีคนของจวนกั๋วกงมาส่งตราอาญาสิทธิ์ให้ แล้วคืนนี้พวกเราจะได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่จวน”
“เร็วปานนี้เชียว” กู้เหยี่ยนทำหน้าตกใจ “ข้าหมายถึงตราอาญาสิทธิ์น่ะ ครึ่งวันก็ทำได้แล้วรึ”
การจะได้ตราอาญาสิทธิ์มานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะกับคนต่างแคว้น และต่อให้ทำได้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือน
กู้เจียวตอบเขาไป “ท่านกั๋วกงบอกว่าเขาหาวิธีให้ได้”
หลังจากที่กั๋วกงอันแยกย้ายกับกู้เจียว ก็รีบดำเนินการทันที แม้จะยุ่งยากเล็กน้อย แต่มีอยู่ตระกูลหนึ่งที่สามารถออกตราอาญาสิทธิ์ได้เป็นกรณีพิเศษ
นั่นก็คือตระกูลมู่
ใต้เท้าซูเป็นเจ้ากรมการพระนครแห่งเมืองเซิ่งตู อีกทั้งมีความสัมพันธ์อันดีกับเอกอัครราชทูต
กั๋วกงจึงวานให้ใต้เท้ารองจิ่งไปเชิญมู่ชิงเฉินเข้าพบ
ตั้งแต่กู้เจียวไม่อยู่ที่สำนักบัณฑิตเทียนฉง มู่ชิงเฉินก็แทบไม่ได้เข้าไปที่นั่นเลย ช่วงนี้เขาอาศัยอยู่ที่จวนตระกูลซู ใช้เวลาไม่นานเขาก็เดินทางมาถึงที่จวนกั๋วกง
“สีหน้าของท่านดูดีขึ้นเยอะเลยขอรับ” มู่ชิงเฉินเอ่ยทัก
“ข้าดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ” กั๋วกงอันเขียนตอบ
มู่ชิงเฉินยืนอยู่ข้างๆ เขา มองดูที่วางแขน และอดไม่ได้ที่จะแอบประหลาดใจที่คนที่เป็นเจ้าชายนิทรามาสามปีอย่างกั๋วกงอันจะฟื้นฟูร่างกายขึ้นมาในเวลาไม่ถึงสามเดือน
กู้เจียวร่วมแข่งคัดเลือกผู้บัญชาการกองทหารม้าเฮยเฟิงในนามของบุตรบุญธรรมของกั๋วกง อีกทั้งยังได้ชัยชนะมาครอง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ อันกั๋วกงเป็นคนส่งนักต่อสู้ที่ทรงพลังเช่นนี้ไปร่วมแข่งนั่นเอง
แต่อย่างไรก็ถาม มู่ชิงเฉินไม่ได้จะมีปัญหากับกั๋วกงอันเพราะเรื่องนี้
เขาไม่แม้แต่จะถามด้วยซ้ำว่าเหตุใดกั๋วกงถึงรับเด็กหนุ่มจากแคว้นเจามาเป็นบุตรบุญธรรมของเขา
และทำเหมือนปกติทุกอย่าง
กั๋วกงอัน “ชิงเฉิน ข้ามีเรื่องที่ต้องขอความช่วยเหลือจากเจ้า”
“ท่านโปรดว่ามาเลย”
แล้วกั๋วกงก็เขียนความต้องการของเขาลงไปบนพนักเก้าอี้
เขารู้ดีว่าคำขอนี้เป็นเรื่องยากและกะทันหันอย่างยิ่ง
แต่ในเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก มีเพียงมู่ชิงเฉินคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือเขาได้
“ท่านต้องการเมื่อไหร่” มู่ชิงเฉินถาม
แปลว่าเขาตกลงแล้วสินะ
แม้จะรู้ดีกว่าคนอย่างมู่ชิงเฉินไม่มีทางปฏิเสธคำขอของเขา แต่อย่างน้อยพอได้ฟังคำตอบก็ทำให้เขาโล่งใจไปเปราะ
เขาเขียนตอบ “วันนี้ ยิ่งเร็วยิ่งดี”
หากเป็นคนพื้นที่ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบกว่าวันในการทำ หากเป็นชาวต่างแคว้นและเป็นเอกอัครราชทูต อย่างน้อยต้องใช้เวลาตรวจสอบราวหนึ่งเดือน ยังไม่นับกระบวนการอื่นๆ อีก ถ้าได้มาภายในสามเดือนก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว
“ขอรับ ข้าจะนำมาส่งให้ก่อนช่วงมื้อค่ำ”
มู่ชิงเฉินตอบตกลงอย่างไม่ลังเล และไม่ถามด้วยว่าเอาไปให้ใครใช้
อันกั๋วกงเขียนขอบคุณเขา “ชิงเฉิน ขอบใจเจ้ามาก”
มู่ชิงเฉินตอบกลับ “ข้าเคยสัญญากับยินยินไว้ว่าจะดูแลท่านเป็นอย่างดีขอรับ”
กั๋วกงอันมองแผ่นหลังของเขาที่เดินจากไป พร้อมกับถอนหายใจโล่งอกในใจ
ในเมื่อกู้เจียวและครอบครัวจะย้ายเข้ามาที่นี่ ที่จวนจึงต้องกำจัดพวกบ่าวที่ไร้ประโยชน์ออกไป
“ว่าอย่างไรนะ”
ณ จวนของมู่หรูซิน บ่าวคนสนิทของมู่หรูซินมองไปทางผู้ดูแลเจิ้งด้วยสายตาผิดหวัง “คุณหนูของข้าอยู่ที่นี่ดี ๆ เหตุใดต้องให้นางย้ายออกด้วยเล่า”
ผู้ดูแลเจิ้งได้แต่หัวเราะเจื่อนแล้วเอ่ยด้วยท่าทีเกรงใจ “แม่นางมู่มาอาศัยอยู่ที่แคว้นเยี่ยนนานแล้ว คงจะคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน อาการป่วยของท่านกั๋วกงก็เริ่มดีขึ้นแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่แม่นางมู่จะต้องมาทำงานอยู่ที่นี่อีก”
แม้คำเอ่ยจะดูสวยหรู แต่ความหมายของมันก็คือ
เชิญออกไปเสีย
ผู้ดูแลเจิ้งหยิบกล่องผ้าจากคนรับใช้ที่อยู่ข้างหลังเขาแล้วมอบให้มู่หรูซิน “นี่เป็นความปรารถนาดีจากท่านกั๋วกง แม้ว่าจะมีการจ่ายค่ารักษาไปแล้วในตอนแรก ในนี้มีค่าใช้จ่ายในการขนข้าวของรวมอยู่ด้วยแล้วขอรับ”
บ่าวคนสนิทของมู่หรูซินเริ่มโมโห “ใครบอกว่าคุณหนูจะกลับไปล่ะ!”
คุณหนูของข้ายังไม่ได้ขึ้นเป็นบุตรสาวของกั๋วกงเลยนะ!
ท่าทีของมู่หรูซินดูจะไม่ร้อนรนเท่าบ่าว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กั๋วกงพยายามให้นางออกไปจากที่นี่
ช่วงที่กั๋วกงเริ่มสามารถเขียนหนังสือได้อย่างอิสระ เขาก็แสดงความขอบคุณและบอกลานางอย่างไว้หน้า
เป็นมู่หรูซินเองที่ไม่อยากออกไปจากที่นี่ แล้วบังเอิญเกิดตอนนั้นเกิดเหตุการณ์ที่ฮูหยินรองเอวเคล็ด นางจึงทึกทักเอาเองว่าต้องคอยอยู่รักษาให้ฮูหยินรอง
“ข้าไม่รีบร้อนอันใด อาการของฮูหยินรองยังไม่…” มู่หรูซินเอ่ย
“ที่จวนได้เชิญหมอมาดูแลฮูหยินรองเป็นกรณีพิเศษแล้ว คงไม่ลำบากแม่นางมู่อีก เพื่อให้แม่นางจะได้ไม่อาลัยอาวรณ์บ้านเกิดมากเกินไป” ผู้ดูแลเจิ้งบอกกับนางด้วยใบหน้าที่คลี่ยิ้มแต่ดวงตากลับแข็งทื่อ
ต่อให้แม่นางจะหน้าด้านหน้าทนแค่ไหน ก็คงไม่กล้าดื้อด้านต่อหน้าบ่าวที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ตั้งมากมายหรอก
“เช่นนั้น คืนนี้ข้าจะเก็บของ…” นางตอบกลับ
ระหว่างที่นางกำลังเอ่ย ผู้ดูแลเจิ้งก็รีบตัดบททันที “เตรียมรถม้าไว้ให้ที่หน้าประตูแล้วขอรับ! อีกทั้งทางนี้ได้เตรียมทหารยามคุ้มกันส่งแม่นางให้ถึงแคว้นเฉินอย่างปลอดภัย! หากระหว่างทางแม่นางมู่อยากหยุดชมวิวทิวทัศน์ของแคว้นเยี่ยน ก็แจ้งพวกเขาได้เลยขอรับ พวกเขาพร้อมจะฟังคำสั่งของแม่นางมู่!”
ความรู้สึกแสบยิบๆ ที่หน้าเริ่มปะทุขึ้น
มันใช่คำเอ่ยบอกลาที่ไหน นี่เขาเรียกว่าขับไสไล่ส่งต่างหาก!
มู่หรูซินเอ่ยด้วยสีหน้าคร่ำเครียด “ช่วงนี้ข้ามีธุระในเมือง แล้วข้าจะส่งที่อยู่ไปให้ หากท่านกั๋วกงกับฮูหยินรองต้องการก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
อันนั้น คงไม่จำเป็นหรอก!
มู่หรูซินสูดหายใจลึก พยายามข่มอารมณ์ให้นิ่ง “โปรดรอประเดี๋ยว สัมภาระของข้าค่อนข้าง…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็ปรากฏสาวใช้ราวสิบเจ็ดสิบแปดคนเดินกรูเข้ามา
“เยอะ”
มู่หรูซินเอ่ยคำสุดท้ายด้วยความงุนงงจนไม่อยากเอ่ยอะไรอีก!
ครึ่งชั่วยามต่อมา ผู้ดูแลเจิ้งก็พามู่หรูซินและคนรับใช้ไปส่งที่รถม้าอย่างสุภาพ
มู่หรูซินหันไปมองจวนกั๋วกงด้วยความอาลัย คนนอกรู้แค่ว่ากั๋วกงใช้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขาเพื่อตระกูลเซวียนหยวน แต่มีเพียงคนในเท่านั้นที่รู้ว่าพวกเขาทำเงินได้มากเพียงใดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ตั้งแต่สมัยโบราณ นักปราชญ์มักไม่ชอบกลิ่นทองแดง
แต่ไม่ใช่กับอันกั๋วกง
เขาไม่ใช่คนโลภ เพียงแต่เขาเข้าใจถึงความสำคัญของเงินเป็นอย่างดี ในฐานะนักปราชญ์ เขาย่อมปล่อยวางได้
ยิ่งได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน มู่หรูซินก็ยิ่งชื่นชมกั๋วกงอันมากขึ้นเท่านั้น และนั่นทำให้นางยิ่งอยากเป็นแก้วตาของเขา
แต่น่าเสียดายที่ความพยายามของนางกลับไม่เป็นผล!
มู่หรูซินอ้าปากเตรียมจะเอ่ย “ข้ายังไม่ได้บอกลาฮูหยินรอง…”
ผู้ดูแลเจิ้งรีบตัดบทอีกครั้ง “ลาก่อน! อย่าได้พบกันอีกเลย!”