สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 792 พี่ใหญ่ฟื้น
บทที่ 792 พี่ใหญ่ฟื้น
อันกั๋วกงไม่ได้ทราบเรื่องเกี่ยวกับค่ายทหารชัดเจนนัก อาจเพราะผู้บัญชาการของกองทัพเซวียนหยวน
อย่างไรเสียเซวียนหยวนลี่ก็มีแม่ทัพอยู่ในมือมาก ซ้ำอันกั๋วกงก็เป็นผู้น้อย อันที่จริงเขาไม่รู้จักเป็นส่วนใหญ่เลยทีเดียว
กู้เจียววางภาพเหมือนกลับคืนไป
ผู้อาวุโสเมิ่งไม่ได้เข้าจวนกั๋วกงมาพร้อมกับพวกเขา เหตุเพราะหมู่บ้านหมากรุกบังเอิญเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย เขาต้องกลับไปจัดการ
กู้เจียวไม่ได้กังวลในความปลอดภัยส่วนตัวของเขา จึงปล่อยให้เขาไป
อันกั๋วกงมาส่งกู้เจียวถึงหน้าประตู
ประตูใหญ่จวนกั๋วกงเปิดไว้เพื่อนาง พ่อบ้านเจิ้งยิ้มแย้มยืนอยู่ตรงที่ว่าง ด้านหลังเขาเป็นรถม้าคันใหญ่หรูหราสุดจะเปรียบ
หลังคาเป็นไม้หลีเหลืองชั้นดี ทั้งยังฝังไข่มุกตะวันออกทะเลใต้เอาไว้ด้วย ม่านรถที่ปรกลงมามีสองชั้น ชั้นในเป็นม่านไม้ไผ่ ชั้นนอกเป็นม่านมุกม่านหยก
เรียกม่านหยก แต่ความจริงทุกชิ้นล้วนเป็นหยกสลักอย่างประณีต และหินโมราโปร่งใสสีอ่อน
ม้าที่ลากรถเป็นม้าพันธุ์ดีสูงใหญ่สีขาวสองตัว แข็งแรงมีกำลังดี กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ “เอ่อ นี่คือ…”
พ่อบ้านเจิ้งหน้าตาแจ่มใสเดินไปหา คำนับให้ทั้งสองอย่างเคารพ “ท่านกั๋วกง นายน้อย!”
แล้วเอ่ยกับกู้เจียว “นี่เป็นรถม้าที่ข้าน้อยเตรียมไว้ให้นายน้อย ไม่ทราบว่านายน้อยพอใจหรือไม่”
อย่างไรท่านกั๋วกงก็พอใจมาก
ต้องเป็นรถม้าคันหรูเช่นนี้ จึงจะคู่ควรกับนาง
กู้เจียวคิดในใจว่า นี่มันเกินจริงไปหน่อยหรือไม่ นั่งรถม้าเช่นนี้ออกไปจะไม่โดนปล้นจริงๆ หรือ
ช่างเถิด เหมือนจะไม่มีใครปล้นนางได้นี่นะ
“ขอบพระคุณท่านพ่อบุญธรรมยิ่ง!” กู้เจียวขอบคุณอันกั๋วกง ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถม้า
“นายน้อยโปรอรอก่อนขอรับ!” พ่อบ้านเจิ้งยิ้มพลางเรียกกู้เจียวไว้ เขาล้วงตั๋วเงินใหม่เอี่ยมใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “นี่เป็นเงินเล็กๆ น้อยๆ ของท่านวันนี้ขอรับ!”
เงินค่าขนมรึ
หนะ…หนึ่งร้อยตำลึงน่ะนะ
มากมายเพียงนี้เชียวรึ
กู้เจียวกระแอมเบาๆ กระซิบกับพ่อบ้านเจิ้ง “แน่ใจรึว่าหนึ่งวัน ไม่ใช่หนึ่งเดือน”
พ่อบ้านเจิ้งยิ้มเอ่ย “หนึ่งวันสิขอรับ! ท่านกั๋วกงให้นายน้อยลองใช้ก่อน หากไม่พอค่อยเพิ่ม!”
นี่มันไร้มนุษยธรรมชัดๆ
จู่ๆ กู้เจียวก็เกิดภาพลวงตาขึ้นมา ราวกับผู้ปกครองเศรษฐีพวกนั้นในชั้นเรียนของนางในชาติก่อนมาส่งลูกๆ ตัวเองออกจากบ้าน ไม่เพียงให้รถหรูมาขับ ยังให้เงินค่าขนมจำนวนมหาศาลด้วย เหลือแค่คำว่า ‘ใช้ไม่หมดห้ามกลับบ้าน’ แล้ว
อ๋อ ที่แท้การเป็นลูกหลานคนรวยก็เป็นความรู้สึกเช่นนี้เองหรือนี่
ก็ไม่เลวทีเดียว
กู้เจียวรับตั๋วเงินมาด้วยสีหน้าจริงจัง
อันกั๋วกงเห็นนางรับไว้ แววตาจึงมีรอยยิ้มวาบผ่าน
กู้เจียวบอกลาอันกั๋วกง ก่อนนั่งรถม้าจากไป
พ่อบ้านเจิ้งมาหยุดด้านหลังอันกั๋วกง เข็นรถเข็นของเขา หัวเราะเริงร่าเอ่ย “ท่านกั๋วกง ข้าเข็นท่านกลับเรือนไปพักดีกว่า!”
อันกั๋วกงเขียนบนที่พักแขนว่า ‘ไปห้องบัญชี’
พ่อบ้านเจิ้งถาม “เย็นมากแล้วนะขอรับ ท่านจะไปทำอะไรที่ห้องบัญชีหรือ”
อันกั๋วกงเขียน ‘หาเงิน’
หาเงินให้มากๆ เอามาให้นางใช้
…
กู้เจียวไปยังตำหนักกั๋วซือ ท่านย่ากับท่านปู่ถูกเสี่ยวจิ้งคงลากออกไปเดินเล่นโน่นแล้ว เซียวเหิงอยู่ที่ห้องซ่างกวานเยี่ยน จางเต๋อเฉวียนก็อยู่ด้วย เหมือนกำลังคุยอะไรกับเซียวเหิงอยู่
กู้เจียวไม่ได้เข้าไป นางตรงไปยังห้องลับที่อยู่สุดทางเดิน
กล่องยาใบน้อยยังอยู่ จึงเข้าออกห้องผ่าตัดได้ตลอดเวลา
กู้เจียวรีบกลับมาเปลี่ยนยาให้กู้ฉังชิง เมื่อนางเข้าไปในห้องผู้ป่วยหนักก็พบว่าใต้เท้ากั๋วซือก็อยู่ และล้างแผลให้เรียบร้อยแล้ว
“เขาได้สติขึ้นมาบ้างหรือยัง” กู้เจียวถาม
“ยัง” ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ย “ทางเจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ”
กู้เจียวส่งเสียงอืม “จัดการเสร็จแล้ว เข้าพักกันเรียบร้อย”
ประโยคหน้าเป็นคำตอบ ประโยคหลังเป็นการบอกเอง ดูเหมือนไม่แปลกอะไร แต่คำพูดที่ออกมาจากปากกู้เจียว เพียงพอจะยืนยันได้ว่ากู้เจียวไว้วางใจใต้เท้ากั๋วซือมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว
กู้เจียวยืนอยู่ข้างเตียง มองกู้ฉังชิงที่ยังสลบไม่ฟื้นพลางเอ่ย “แต่ข้าสงสัยอยู่”
ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ย “เจ้าว่ามา”
กู้เจียวคล้ายคิดบางอย่างก่อนจะเอ่ย “ข้าก็เพิ่งนึกขึ้นได้ระหว่างทางกลับตำหนักกั๋วซือเหมือนกัน ดูจากข่าวกรองที่พระนัดดานำกลับมา หันกุ้ยเฟยนึกว่าหวังเสียนเฟยเป็นคนทำร้ายนาง คนตระกูลหันจะคิดล้างแค้นก็ต้องล้างแค้นคนตระกูลหวังสิ เหตุใดจึงมาแตะต้องคนในครอบครัวข้าเล่า หากบอกว่าเพราะเรื่องที่ทำให้ไท่จื่อโดนปลด แต่มันก็ผ่านไปตั้งหลายวันแล้ว ท่าทีของคนตระกูลหันเชื่องช้าเพียงนี้เลยรึ”
ใต้เท้ากั๋วซือไม่ได้แสดงความตกใจใดๆ ต่อความสงสัยที่นางเอ่ยขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาก็สังเกตบางอย่างได้เช่นกัน
เขาไม่ได้เอ่ยความคิดของตัวเองในทันที แต่ถามกู้เจียว “เจ้าคิดเห็นอย่างไร”
กู้เจียวเอ่ย “ข้ากำลังคิดว่า ในบรรดาพวกหวังเสียนเฟยห้าคนนี้มีเกลือเป็นหนอนหรือไม่ เอาเรื่องที่ซ่างกวานเยี่ยนทำร้ายหันกุ้ยเฟยกับไท่จื่อไปบอกหันกุ้ยเฟย แล้วหันกุ้ยเฟยก็ไปบอกคนตระกูลหันอีกที”
“หรือไม่ก็…” กั๋วซือมองกู้เจียวอย่างลุ่มลึก
กู้เจียวสบสายตาเขาตรงๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “หรือไม่ก็ ไม่มีเกลือเป็นหนอน แต่คนตระกูลหันเป็นฝ่ายทำเอง ไม่ใช่เพราะเรื่องหันกุ้ยเฟย แต่เพื่อ…”
เอ่ยมาถึงตรงนี้ ความคิดหนึ่งก็ผุดวาบในหัวนาง “เรื่องที่ข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทหารม้าเฮยเฟิง! คนตระกูลหันจึงใช้คนในครอบครัวข้ามาบีบให้ข้าสละตำแหน่งผู้บัญชาการ!”
“ยังไม่นับว่าปัญญาทึบเกินไป” สิ้นเสียงเย็นชาของใต้เท้ากั๋วซือ เขาก็หันหลังเดินไปหน้าตู้ยา หยิบยาแก้อักเสบมาขวดหนึ่ง “เจ้าไปยังค่ายเฮยเฟิงไม่มีทางราบรื่น ทางที่ดีเจ้าเตรียมใจไว้สักหน่อย”
“ข้าทราบแล้ว” กู้เจียวเอ่ย
“เจ้าไปทำธุระเถิด” ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ยเสียงนิ่ง “ไหนว่ายังมีธุระอีกมิใช่หรือ”
จู่ๆ ก็เย็นชาขึ้นมา นับวันยิ่งเหมือนพ่อทูลหัวเข้าไปทุกที
จะใช่อาจารย์ของนางหรือเปล่านะ
หากใช่ละก็ นางจะแก้เผ็ดให้สาสมเชียวล่ะ
อาจารย์ในชาติก่อนฝีมือการต่อสู้เหนือชั้น มักจะซัดนางเสียหมอบตลอดเลย
“เจ้ามองข้าเช่นนี้เพื่อการใด” ใต้เท้ากั๋วซือสังเกตเห็นสายตาแฝงเจตนาไม่ดีของกู้เจียว
“ไม่มีอะไร” กู้เจียวดึงสายตากลับตีหน้าตาย
ไม่มีฝีมือการต่อสู้ แค่มองก็รู้แล้วว่ารังแกง่าย อย่าให้ข้ารู้นะว่าท่านคืออาจารย์ข้า
ไม่เช่นนั้น ก่อนจะรู้จักกับท่าน ข้าจะต่อยท่านก่อนสักเปรี้ยง ทวงศักดิ์ศรีเมื่อชาติก่อนคืนมา
“เซียวลิ่วหลัง”
จู่ๆ กั๋วซือก็เรียกกู้เจียวที่เดินมาถึงหน้าประตูแล้วเอาไว้
กู้เจียวหันกลับไป “มีอะไรหรือ”
ใต้เท้ากั๋วซือเอ่ย “สมมตินะ ข้าแค่สมมติ กู้ฉังชิงฟื้นมาแล้วกลายเป็นคนพิการ…”
กู้เจียวเอ่ยโดยไม่ต้องคิด “ข้าจะดูแลเขาเอง”
กู้เจียวยังต้องไปส่งท่านย่ากับท่านปู่ที่จวนกั๋วกงอีก จึงฝากที่นี่ไว้กับกั๋วซือชั่วคราว
ทว่าในขณะที่เท้านางข้างหนึ่งเพิ่งออกจากห้องลับ เท้าข้างหนึ่งของกั๋วซือก็มาหยุดข้างเตียงผู้ป่วยแล้ว
กู้ฉังชิงที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยเปลือกตาขยับเล็กน้อย ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ
เพียงแค่การขยับเปลือกตาเล็กน้อย เขาก็แทบจะใช้แรงทั้งหมดแล้ว
ทั่วทั้งห้องผู้ป่วยหนักล้วนมีแต่เสียงลมหายใจหนักๆ ในหน้ากากออกซิเจนของเขา
ใต้เท้ากั๋วซือมองกู้ฉังชิงอย่างใจเย็น “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะทำอย่างนี้”
กู้ฉังชิงใช้แรงกำลังทั้งหมดที่เหลือเพื่อพยักหน้า
…
ทางด้านมู่หรูซินหลังจากเจอกู้เจียวหน้าจวนกั๋วกง ความคับข้องใจที่อยู่ภายในก็พุ่งถึงขีดสุด
นางมั่นอกมั่นใจว่าไอ้คนแคว้นเจานั่นมันยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับอันกั๋วกง คนที่มีความสามารถที่แท้จริงมักจะวางทิฐิลงอย่างไม่แยแส
แต่ไอ้คนแคว้นเจานั่นมันประจบปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้นด้วย ทั้งยังประจบอันกั๋วกงด้วย ดูก็รู้ว่าเป็นคนต่ำช้าเพียงใด!
มู่หรูซินโกรธที่ตัวเองมีศักดิ์ศรีเกินไป ไม่ใช้วิธีการต่ำทรามพวกนั้น ไม่เช่นนั้นจะถึงขั้นให้คนแคว้นเจาคนหนึ่งชุบมือเปิบไปหรือ!
มู่หรูซินยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห
ในเมื่อเจ้าเป็นคนเริ่มเอง ก็อย่ามาโทษข้าที่เอาคืนแล้วกัน!!
มู่หรูซินหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งค้างแรม นางเอ่ยกับองครักษ์จวนกั๋วกงที่คุ้มกันส่งนาง “พวกเจ้ากลับไปเถิด ไม่ต้องมาอยู่ข้างกายข้าแล้ว! ข้ากลับแคว้นเฉินเองได้!”
หัวหน้าองครักษ์เอ่ย “แต่ว่าท่านกั๋วกงกำชับให้พวกเราส่งแม่นางมู่กลับแคว้นเฉินอย่างปลอดภัยนะขอรับ”
มู่หรูซินเชิดคางขึ้นเอ่ย “ไม่ต้องแล้ว กลับไปบอกท่านกั๋วกงของพวกเจ้าว่า ความหวังดีของเขาข้ารับไว้ หากวันหน้ามีโอกาสได้มาเยือนแคว้นเยียนอีกครั้ง ข้าจะไปเยี่ยมถึงที่แน่นอน”
เหล่าองครักษ์เกลี้ยกล่อมอีกสองสามคำ เห็นมู่หรูซินตัดสินใจแล้ว พวกเขาจึงตอแยต่อไม่ได้
หัวหน้าองครักษ์ให้มู่หรูซินเขียนจดหมายขึ้นมาฉบับหนึ่ง เพื่อยืนยันว่านางต้องการกลับแคว้นเอง จึงได้พาพวกลูกน้องที่เหลือกลับไป
เมื่อองครักษ์ของจวนอันกั๋วกงจากไป มู่หรูซินก็เรียกสาวใช้ให้ไปเช่ารถม้ามาคันหนึ่ง แล้วนั่งรถม้าออกจากโรงเตี๊ยมไปลำพัง
…
หมู่นี้ตระกูลหันกำลังเผชิญกับเรื่องราวมากมาย แรกเริ่มเป็นลูกหลานตระกูลหันที่เกิดเรื่องติดต่อกัน ต่อมาตระกูลหันก็สูญเสียทหารม้าเฮยเฟิง ยามนี้แม้แต่หันกุ้ยเฟยกับไท่จื่อก็โดนคนลอบจัดการ สูญเสียตำแหน่งกุ้ยเฟยกับรัชทายาทไปแล้ว
ตระกูลหันเสียหายร้ายแรง รับความเสียหายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
บนตำแหน่งหลักในห้องโถง นายใหญ่หันที่เหมือนแก่ลงสิบปีวางสองมือไว้บนด้ามไม้เท้าพลางเอ่ยขึ้น
หันเหล่ยกับนายท่านสามหันนั่งแยกอยู่สองฝั่งของเขา นายท่านห้าหันพักรักษาตัวอยู่ในเรือน ไม่ได้มาร่วมด้วย
บรรยากาศในยามนี้แม้แต่นายท่านสามหันที่เจ้าสำราญเช่นนี้ยังไม่กล้าทำตัวเสียมารยาทออกมาเลย
นายใหญ่หันเอ่ยขึ้นอีก “แล้วเหตุใดหน่วยกล้าตายที่มีวรยุทธ์แข็งแกร่งจึงตายกันหมด องครักษ์กลับไม่เป็นอะไรเลย”
ก็ใช่ว่าจะไม่เป็นอะไรเสียทีเดียว แต่ก็ยังรอดชีวิตมาได้
หน่วยกล้าตายเจอกับกู้เจียว จึงไม่มีทางรอดกลับมาได้
ส่วนพวกองครักษ์ที่ไปชิงตัวคนที่เรือนแค่โดนพวกอาจารย์แม่หนานเซียงทุบตีทำร้ายให้สลบเท่านั้น
หันเหล่ยเอ่ย “ศพของหน่วยกล้าตายเหล่านั้นเอากลับมาแล้ว หลังจากชันสูตรแล้วเห็นว่าถูกทวนยาวสังหาร”
นายใหญ่หันหรี่ตาลง “ทวนยาว เซียวลิ่วหลัง”
อาวุธของเซียวลิ่วหลังคือทวนพู่แดง
และคนที่สามารถสังหารหน่วยกล้าตายตระกูลหันได้มากมายเพียงนี้ นอกจากเขาแล้ว นายใหญ่หันก็คิดถึงคนอื่นไม่ออกอีกแล้ว
หันเหล่ยเอ่ย “เขาไม่ใช่เซียวลิ่วหลังตัวจริง เป็นเพียงคนแคว้นเจาที่สวมรอยเป็นเซียวลิ่วหลังเท่านั้น”
นายใหญ่หันเอ่ยเสียงเย็น “ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร คนผู้นี้ย่อมเป็นภัยร้ายแรงต่อตระกูลหันแน่แท้!”
ระหว่างสนทนากันนั้น พ่อบ้านตระกูลหันก็เดินมาหาด้วยสีหน้าร้อนรน ยืนรายงานอยู่หน้าประจู “นายใหญ่! มีคนมาขอพบขอรับ!”
นายใหญ่หันไม่ถามสักคำว่าใครแล้วตวาด “ไม่ได้บอกเขาหรือว่าข้าไม่รับแขก!”
ยามนี้กำลังอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ตระกูลหันไม่อาจไปมาหาสู่กับคนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้าได้
พ่อบ้านยิ้มแหยๆ เอ่ย “แม่นางคนนั้นบอกว่านางเป็นหมอเทวดาแคว้นเฉิน สามารถรักษา…ท่านชายใหญ่ให้หายได้ขอรับ”