สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 794 กำจัดตระกูลหัน
บทที่ 794 กำจัดตระกูลหัน
เมื่อกู้เจียวส่งท่านกั๋วกงกลับที่เรือนต้นเฟิงแล้ว กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นก็ถูกท่านย่าบังคับให้ไปอาบน้ำ
ท่านย่ายังเวียนศีรษะเสียงยังคงกึกก้องอื้ออึง ในที่สุดนางก็ไม่มีเรี่ยวแรงมาพบใครได้อีก ปิดประตูห้องลงแล้วไปอาบน้ำเช่นกัน
ท่านปู่กลับมาที่ห้องตัวเอง เห็นได้ชัดว่าไปอาบน้ำแล้ว มีเพียงประตูห้องของกู้เฉิงเฟิงที่แง้มเอาไว้ หนำซ้ำด้านในยังไร้การเคลื่อนไหวใด
กู้เจียวเดินไปมองดูอย่างฉงน
พูดออกไปอาจไม่มีใครเชื่อ กู้เฉิงเฟิงยามนี้เหมือนคนสติไม่ดีเดินวนไปวนมาอยู่ในห้อง เพลิดเพลินกับโต๊ะและเก้าอี้ด้านใน แววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
ราวกับ… เด็กขี้สงสัยเข้าไปในสวนสนุกลึกลับ
กู้เจียวมึนงงไปหมด
ข้ารู้ว่าจวนกั๋วกงมีเงินไม่น้อย แต่บุตรชายสายตรงจวนโหวเยี่ยงเจ้าก็มีชีวิตสุขสบายมาตั้งแต่เด็ก ถึงขั้นต้องมีปฏิกิริยาเพียงนี้เชียวหรือ
คนปกติอาจจะไม่มีทางรบกวนกู้เฉิงเฟิงในยามนี้
แต่กู้เจียวหาใช่คนปกติไม่
โดยปกติแล้วนางไม่ใช่คนด้วยซ้ำ
นางผลักประตูเปิดพรวด!
ความเคลื่อนไหวอันแสนกะทันหันนี้ทำเอากู้เฉิงเฟิงตกอกตกใจยกใหญ่ ความสนใจใคร่รู้และความสุขบนสีหน้ายังไม่ทันจะเก็บคืน ก็มาฉาบด้วยความกระอักกระอ่วนอีกชั้นแล้ว
นั่นเป็นสีหน้าซื่อเซ่อที่ผ่านไปอีกสิบปีกู้เจียวก็ลืมไม่ลง
“เจ้าทำอะไรน่ะ!” กู้เฉิงเฟิงได้สติ ตีหน้าเคร่งขรึม ถามกู้เจียวอย่างไม่สบอารมณ์
กู้เจียวสาวเท้าก้าวยาวราวกับดาวตกเข้ามาในห้อง มองเครื่องเรือนภายใน แล้วหันไปมองกู้เฉิงเฟิงที่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ “ข้าควรเป็นคนถามคำถามนี้กับเจ้ามากกว่า เจ้าทำอะไรน่ะ”
กู้เฉิงเฟิงแววตาเป็นประกายวาบ “ขะ ข้าก็ดูๆ ไปทั่วไม่ได้หรือไร”
กู้เจียวเอ่ยแทงใจดำ “เจ้าไม่ได้แค่ดู ยังลูบคลำด้วย”
กู้เฉิงเฟิงสะอึก เถียงคืนเสียงแข็งแต่ภายในจิตใจขี้ขลาดตาขาว “ลูบนิดลูบหน่อยไม่ได้หรือไร!”
กู้เจียวครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ก็ใช่ว่าจะไม่ได้”
กู้เฉิงเฟิงลอบพรูลมหายใจโล่งอก
กู้เจียวถามต่ออีก “แต่เหตุใดเจ้าต้องลูบด้วยเล่า เจ้ามีนิสัยแปลกๆ อะไรที่คนอื่นรู้ไม่ได้หรือ”
กู้เฉิงเฟิงเดือดดาลขึ้นทันที “นิสัยแปลกๆ อะไรกันเล่า! แค่ลูบนิดเดียวจะเป็นไรไป!”
กู้เจียวครุ่นคิดอย่างหนักกับคำถามนี้ ก่อนจะได้ข้อสรุป “ก็ไม่เป็นไร”
กู้เฉิงเฟิงชิงเอ่ยตัดหน้าก่อนอีกฝ่ายจะตั้งตัวได้ “เจ้ายังไม่รีบกลับไปอีก ดึกดื่นค่อนคืนมาโอ้เอ้ในห้องพี่ชายตัวเองมันดีนักรึ เจ้าคิดว่าเจ้าปลอมตัวเป็นชายแล้วจะเป็นชายจริงๆ หรือไร”
กู้เจียวขมวดคิ้วเอ่ยแก้ “ไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่เอาเสียเลย เรียกท่านอาเล็กสิ”
กู้เฉิงเฟิง “…”
เจ้ายังไม่ลืมเรื่องที่เจ้ากราบไหว้เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับปู่ข้าอีกรึ
ข้าลืมไปแล้วเสียด้วยซ้ำ!
กู้เฉิงเฟิงรีบดันนางออกไปด้านนอก “เอาละ เอาละ รีบกลับไปห้องตัวเองได้แล้ว! อีกสองวันเจ้าก็ต้องไปค่ายทหารแล้วมิใช่หรือ ไม่พักผ่อนให้ดีๆ ออกไปไม่มีเรี่ยวมีแรงเดี๋ยวคนเขาก็หัวเราะเยาะเอาหรอก!”
หลังจากกู้เจียวออกมา กู้เฉิงเฟิงก็งับประตูทันที ซ้ำยังลงกลอนด้วย
จากนั้นเขาก็มาข้างโต๊ะ มองเครื่องประดับเล็กๆ บนโต๊ะ พรูลมหายใจยาวเหยียด
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้
เพราะเขาคาดไม่ถึงน่ะสิ
ที่แคว้นเจานั้น อย่างไรเสียเขาก็มีครอบครัว ความรู้สึกนี้ยังไม่ชัดเจนนัก แต่หลังจากมายังแคว้นเยี่ยนแล้ว ความรู้สึกเดียวดายยามอยู่ต่างแดดก็ปกคลุมไปทั้งหัวใจ
เมื่อกู้เสี่ยวซุ่นกับกู้เหยี่ยนไปพักด้วยกันกับทุกคนแล้ว เขากลับจำต้องนอนอยู่ที่หอเทียนเซียงอันไม่คุ้นเคย
เขาก็อ้างว้างเช่นกัน เสียใจเช่นกัน เปล่าเปลี่ยวเช่นกัน
จากนั้นก็มายังตำหนักกั๋วซือ เขาปลอมตัวเป็นเซียวเหิงไปเรียนที่สำนักศึกษาสตรีชังหลัน เขาทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ แม้แต่พี่ใหญ่เขายังนอนอยู่ในห้องผู้ป่วยหนักที่เป็นของตัวเองเลย แต่เขากลับจำต้องนอนอยู่ในห้องที่ไม่ใช่ของตัวเองเงียบๆ
ครั้นออกมาตอนเช้าแล้วก็ยังไม่อาจทิ้งร่องรอยใดๆ ของตัวเองเอาไว้ในห้องอีกด้วย
ราวกับว่า…ไม่เคยมีเขาคนนี้มาเหยียบที่นี่มาก่อน
เขาเป็นดั่งเงา
เป็นเงาของทุกคน ไม่ใช่ตัวของตัวเอง
เดิมคิดว่าครานี้มาก็แค่ต้องซ่อนในห้องพวกนี้สักห้องเท่านั้น
สุดท้ายกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
นี่เป็นห้องที่ยกให้เขาเลย ไม่ใช่ของ ‘กู้เจียว’ สำนักศึกษาสตรีชางหลัน ไม่ใช่ของ ‘ฉางจิ่ง’ สำนักบัณฑิตเทียนเซียง แต่เป็นห้องที่ยกให้กู้เฉิงเฟิง
จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของที่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงขึ้นมา ไม่ใช่ตัวตนคนนอกที่มองดูคนครอบครัวนี้อีกแล้ว
กู้เฉิงเฟิงครุ่นคิดไปมา ขอบตาก็ชักจะร้อนผ่าวขึ้นมา
ทันใดนั้น กู้เจียวก็ชะโงกหน้าน้อยๆ เข้ามาจากนอกหน้าต่าง “กู้เฉิงเฟิง”
กู้เฉิงเฟิงสะดุ้งโหยง ปาดน้ำตาพัลวัน แต่ไม่ได้หันหน้ากลับไป เขาหันหลังให้หน้าต่างอย่างเย็นชายิ่งพลางถาม “อะไรอีกล่ะ”
กู้เจียวโยนบางอย่างมาให้
เขาพลิกมือไปรับไว้ เป็นขวดยา
“นี่อะไร” เขาถาม
กู้เจียวเอ่ย “ยา ทาเช้าเย็นทีละครั้ง ทาบางๆ ล่ะ”
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยอย่างฉงน “ข้าเป็นอะไรถึงต้องทายาด้วย”
กู้เจียวเอ่ย “เครื่องหมายทาส หลายวันมานี้น่าจะนูนขึ้นมา เริ่มทายาได้แล้ว หากหนึ่งเดือนไปแล้วเจ้ายังไม่ทา ข้าจะผ่าตัดให้เจ้าเอง”
เด็กคนนี้ ที่แท้ก็จำได้ นางจำได้หมดเลย…
น่ารำคาญนัก
น้ำตาน่ารำคาญมันไม่รักดีเอาเสียเลย มันจะยกทัพมาก่อกบฏแล้ว!
ผู้บัญชาการอย่างข้าต้านไม่ได้แล้ว!
กู้เจียวเอายามาให้เสร็จก็ไป ทว่าเพียงไม่นานก็ย้อนกลับมาอีก ชะโงกหน้าเข้ามาถาม “แต่เมื่อครู่นี้เหตุใดเจ้าต้องลูบคลำด้วยเล่า”
น้ำตาของกู้เฉิงเฟิงถอยทัพทันใด!
เด็กหน้าเหม็นนี่ไม่รู้จักจบจักสิ้นจริงๆ !!!
…
สองวันต่อมา กู้เจียวก็ขี่ราชาม้าเฮยเฟิงไปยังค่ายทหาร
ราชาม้าก็ถูกพาไปด้วย มันใกล้จะสามขวบแล้ว และควรได้รับการฝึกฝนได้แล้ว
ม้าเฮยเฟิงตัวอื่นๆ เริ่มได้รับการฝึกตั้งแต่เป็นลูกม้า ของมันถือว่าช้าไปแล้ว แต่คุณสมบัติของมันช่างน่าอัศจรรย์นัก ไม่ด้อยไปกว่าม้าเฮยเฟิงวัยเดียวกันที่ได้รับการฝึกเลย
…พูดเกินจริงไปก็ไม่ค่อยดี
กู้เจียวชำเลืองมองราชาม้าที่เดินตามอยู่ดีๆ ก็วิ่งไปไล่จับผีเสื้อแล้ว สีหน้านางยากจะอธิบาย
ค่ายเฮยเฟิงแบ่งคร่าวๆ ออกเป็นกองทัพหน้า กองทัพจู่โจมและกองทัพหนุน
ห้าหมื่นเป็นจำนวนคนและม้ารวมกัน หากนับม้าหนึ่งตัวต่อหนึ่งคนเป็นหนึ่งหน่วย หน่วยจำนวนจริงที่เข้าร่วมทัพก็จะไม่เกินสองหมื่นห้า
ความจริงแล้วจะน้อยกว่านี้นิดหน่อย เพราะยังมีกองสัมภาระอีก
แต่กำลังรบที่ทหารม้าเกราะเหล็กแสดงออกมาช่างน่าตกใจ และไร้เทียมทานที่สุดในบรรดาทุกกองทัพ ซึ่งฝีมือของทหารท้าเกราะเหล็กเซวียนหยวนสองหมื่นนายได้เป็นที่ประจักษ์แล้วยามเหยียบย่ำกองทัพใหญ่แคว้นจิ้นเรือนแสน โดยมีเซวียนหยวนลี่เป็นผู้บัญชาการ
นี่เป็นทหารม้าที่ทำให้ทุกแคว้นพรั่นพรึงในชื่อเสียง
กู้เจียวรับตำแหน่งวันแรก สวมชุดศึกในเกราะสีทมิฬของตัวเอง กับหมวกเหล็กเย็นเยียบวาววับ สะพายทวนพู่แดงที่ใช้ผ้าพันไว้ ท่าทางองอาจห้าวหาญ
บรรดาแม่ทัพแต่ละกองทัพมารวมตัวกันในสนามฝึกของทัพหน้าเป็นที่เรียบร้อย เพื่อรอผู้บัญชาการทหารม้าเฮยเฟิงคนใหม่
กู้เจียวทอดมองพวกเขาจากไกลๆ ก่อนร้องอ้อขึ้น “จัดแถวกันได้ไม่เลว”
แต่ละคนสวมเกราะหนักอึ้งภายใต้ดวงตะวันร้อนระอุ เหงื่อไหลอาบดั่งฝนเทใส่ ทว่าไม่มีผู้ใดขยับตัวโดยมิได้รับคำสั่งเลย
นี่คือทหารที่ตระกูลเซวียนหยวนเป็นคนฝึก
ต่อให้ผ่านไปสิบห้าปีแล้ว ก็ยังรักษาธรรมเนียมและวินัยทางทหารอันเข้มงวดและยอดเยี่ยมนี้เอาไว้
ทหารที่เคยหนุ่มก้าวเข้าสู่วัยอันรุ่งโรจน์ ทหารที่เคยอยู่ในวัยรุ่งโรจน์ก็ก้าวเข้าสู่วัยกลางคน และทหารวัยกลางคนก็ก้าวเข้าสู่ช่วงไม้ใกล้ฝั่ง
ผมสีดอกเลาปลิวละลิ่วอยู่ท่ามกลางสายลมยามเช้า ตรงหางตามีรอยเหี่ยวย่น ทว่ากลับยืนหลังตรงดุจพู่กัน แววตาแน่วแน่
หลายปีมานี้ มีคนเกษียณไป มีคนรุ่นใหม่เข้ามาแทน ทว่าตราบใดที่กองทัพนี้ยังอยู่ จิตวิญญาณของเซวียนหยวนก็จะคงอยู่ตลอดไป!
นอกสนามฝึกมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งคอยท่าอยู่แล้ว เขาไม่ได้สวมชุดเกราะ ดูแล้วเหมือนจะไม่เป็นวรยุทธ์
เขาเห็นกู้เจียวขี่ราชาม้าเฮยเฟิงมา จึงแย้มยิ้มเดินไปต้อนรับ
ราชาม้าเฮยเฟิงมีมาดแข็งแกร่ง ยกสองเกือกหน้าขึ้น ทำเขาตกใจถอยหลังไปหลายก้าว
กู้เจียวตบลำคอของราชาม้าเฮยเฟิงเบาๆ “เอาละ ลูกพี่ ข่มเท่านี้ก็พอ”
ราชาม้าเฮยเฟิงจึงสงบลง
สมกับเป็นม้าที่มาจากค่ายทหาร รู้จักข่มคนด้วย
บุรุษปาดเหงื่อเย็น ก่อนจะก้าวขึ้นหน้าอย่างระมัดระวัง ประสานมือคำนับให้พลางเอ่ย “ข้าน้อยคารวะใต้เท้าเซียว ข้าน้อยแซ่หู นามว่าหยาง เป็นที่ปรึกษาของค่ายเฮยเฟิง ตั้งแต่นี้ไป ข้าน้อยจะอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของท่านขอรับ”
ที่ปรึกษารึ
เลขาน่ะหรือ
ก็ดี
กู้เจียวทอดมองบรรดาทหารที่ยืนตระหง่านภายใต้แสงแดดยามเช้า ก่อนถาม “ในบรรดาคนเหล่านั้น มีคนใดอยากมีเรื่องกับข้าหรือไม่ ทางที่ดีเจ้าคิดให้ดีก่อนตอบดีกว่านะ”
หูหยางยิ้มเจื่อน หันกลับไปมองเหล่าทหาร ก่อนขยับไปหากู้เจียวเพื่อลองหยั่งเชิง ราชาม้าเฮยเฟิงไม่ได้คลั่งขึ้นมา เขาจึงได้เข้าไปใกล้อีกหน่อยพลางกระซิบ “แม่ทัพจางหู่ เขาเป็นคนสนิทของท่านชายใหญ่หัน ท่านระวังคนผู้นี้หน่อยก็ดีขอรับ”
“ทราบแล้ว” กู้เจียวทำมือเรียกเขาให้ตามมา แล้วควบม้าตรงไปหาเหล่าทหาร
นางยืนอยู่ตรงหน้าทุกคน เอ่ยโดยพลัน “จางหู่อยู่ไหน”
จางหู่อยู่หัวแถวแรกมือถือทวนไว้ข้างหนึ่ง อีกมือถือโล่เดินออกมา เชิดหน้าขึ้นอย่างอวดดี “ข้าคือจางหู่!”
กู้เจียวส่งเสียงอ้อ นั่งอยู่บนหลังราชาม้าเฮยเฟิงผู้ยิ่งใหญ่ เอ่ยอย่างสบายอารมรณ์ “ได้ยินว่าเจ้าอยากมีเรื่องกับข้า”
หูหยางที่อยู่ข้างๆ พึมพำว่า ท่านตรงไปตรงมาเพียงนี้เชียวรึ ดีร้ายอย่างไรก็ทักทายก่อนสักสองสามคำสิ!
จางหู่ไม่คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยเข้าประเด็นเช่นนี้ จึงอดที่จะตกตะลึงไม่ได้
แต่อย่างไรเขาก็ไม่ได้เห็นหัวไอ้เด็กนี่ที่มาจากแคว้นเจาอยู่แล้ว
โดนจับได้ก็โดนไปสิ เขาไม่ได้กลัวอีกฝ่ายเสียหน่อย!
เขาแค่นเสียงเย็นเอ่ย “แล้วอย่างไรรึ”
กู้เจียวเอ่ยนิ่งๆ “กล้าหาญดี”
จางหู่เหน็บให้ “ไอ้หนูที่ขนยังขึ้นไม่ครบดี รู้จักด้วยหรือว่าฝึกทหารเขาทำกันเช่นไร”
กู้เจียวยิ้มจางๆ “เจ้ารู้วิธีก็พอแล้วมิใช่หรือ ไม่เช่นนั้นจะเอาเจ้าไว้ทำไม เลี้ยงไว้เล่นรึ”
“เจ้า!” จางหู่สะอึกพูดไม่ออก เขาไม่เคยเห็นใครหน้าด้านไร้ยางอายและยอมรับโจ่งแจ้งเช่นนี้มาก่อน ไอ้เด็กนี่กำลังยอมรับโต้งๆ ว่าตัวเองฝึกทหารไม่เป็นอย่างนั้นรึ แต่ประโยคหลังของมันกลับมีเหตุผลทีเดียว!
ผู้บัญชาการไม่ต้องมาฝึกทหารด้วยตัวเองจริงๆ นั่นแหละ ล้วนเป็นหน้าที่แม่ทัพอย่างพวกเขา!
สมควรตายนัก!
มือข้างที่ถือทวนยาวของจางหู่ง้างขึ้น ชี้ไปยังกู้เจียวพลางเอ่ยเสียงเย็น “เจ้ามีปัญญาก็อย่าใช้ราชาม้าเฮยเฟิง แล้วมาประลองกับข้าสักยกสิ!”
กู้เจียวเอ่ยอย่างขบขัน “ข้าขี่ราชาม้าเฮยเฟิงได้ก็เป็นความสามารถของข้า แล้วเจ้าทำได้หรือไม่”
บัดซบ!
จางหู่สะอึกพูดไม่ออกไปอีกหน โมโหแทบจะหายใจไม่ออก
ไอ้เด็กนี่ไม่เล่นตามบทเลย ยั่วโทสะไปก็เปล่าประโยชน์!
จางหู่กัดฟันกรอด กลับดำเป็นขาวเอ่ย “ข้าได้ยินว่า เจ้าอาศัยการประจบสอพลอจวนกั๋วกงกับตระกูลใหญ่ทุกตระกูลเพื่อขึ้นตำแหน่ง ตอนการคัดเลือกรอบสุดท้าย เป็นมู่ชิงเฉินที่ช่วยเจ้า นักบวชชิงเฟิงก็ช่วยเจ้า เจ้าถึงได้มีโอกาสมาถึงค่ายเพลิงแรกได้! ดังนั้นแล้ว การประจบคนก็เป็นความสามารถของเจ้าด้วยรึ”
กู้เจียวไม่ได้แก้ต่างให้ตัวเอง กลับย้อนถามไป “ข้าประจบเจ้าโดยไม่หวังผลอะไร หากเจ้าต้องการ”
จางหู่แค่นเสียงเอ่ย “ข้าไม่ต้องการ!”
กู้เจียวเอ่ยอย่างสงบท่ามกลางความวุ่นวาย “ในสนามรบ ลูกไม้นี้ของข้าเรียกว่าปราบศัตรูโดยไม่สู้รบ เป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดเหนือกลยุทธ์ใด”
“เจ้า…เจ้าใช้แผนกับนายท่านห้าหัน!”
“นั่นเรียกว่าศึกไม่หน่ายเล่ห์[1]”
“จะ จะ จะ…เจ้ายังเที่ยวขโมยกระบอกไม้ไผ่ของคนอื่นเพื่อรวบรวมข้อมูลด้วย!”
“นี่เรียกว่ามองภาพสถานการณ์โดยรวมทั้งหมด”
หมดคำจะพูด
จางหู่ต่อปากต่อคำไม่สำเร็จ ซ้ำยังมาเป็นพรมเช็ดเท้าให้อีกฝ่ายอีก
เขาชักจะอยู่ไม่สุขขึ้นมาแล้ว ทว่าที่น่าโมโหกว่านั้นอยู่ต่อจากนี้
กู้เจียวนั่งอยู่บนหลังม้า ล้วงป้ายคำสั่งค่ายเฮยเฟิงออกจากบั้นเอวตัวเอง “ข้ามีนามว่าเซียวลิ่วหลัง เป็นผู้บัญชาการกองทหารม้าเฮยเฟิงคนใหม่ ยามนี้ ข้าขอประกาศคำสั่งใหม่ จางหู่เป็นผู้น้อยล่วงเกินผู้เป็นนาย ตามกฎทหารมาตราที่สาม ข้อที่เจ็ด ถูกถอดออกจากตำแหน่งแม่ทัพฝ่ายซ้ายแห่งค่ายเฮยเฟิง โดยมีหลี่เซินรับหน้าที่แทน”
“ถงจง รองผู้บัญชาการฝ่ายขาวแห่งทัพหนุน โยกย้ายไปทัพหน้า”
“จางเติงเฟิง รับตำแหน่งเลขานุการตำแหน่งจอมพลฝ่ายซ้ายดูแลกิจกรรมทางทหารทัพหน้า”
“เหวินเหรินชง รับตำแหน่งเลขานุการตำแหน่งจอมพลฝ่ายขวาดูแลกิจกรรมทางทหารทัพหน้า”
…
การออกคำสั่งโยกย้ายตำแหน่งเป็นพรวนเช่นนี้ คนฉลาดล้วนมองออกว่าอำนาจของตระกูลหันถูกถอนรากถอนโคนออกหมดแล้ว
ชนิดที่เฉียบขาด ปราศจากความเกรงกลัว
ผู้บัญชาการคนใหม่ผู้นี้อวดดียิ่งนัก
“ใต้เท้า ใต้เท้า!”
หูหยางที่ยืนอยู่ข้างม้าของกู้เจียวส่งสายตาให้นาง
กู้เจียวหันไปมองเขาลางถาม “มีอะไร”
หูหยางกระซิบ “หลี่เซินกับจ้าวเติงเฟิงล้วนออกจากค่ายทหารแล้ว เหวินเหรินชง…เหวินเหรินชงเขา…เขาไปตีเหล็กแล้ว”
ตีเหล็กเป็นการเรียกแบบชาวบ้าน ความจริงนั้นเหวินเหรินชงถูกย้ายให้ไปทำอาวุธและชุดเกราะที่กองทัพหนุน วันๆ ไม่ตีเหล็กแกร๊งๆ ก็เย็บชุดเกราะ ตำแหน่งต่ำต้อยจนไม่รู้จะต่ำอย่างไรแล้ว
หูหยางเจอเขาคราล่าสุดเมื่อหนึ่งปีกก่อน รู้สึกว่าเขาไม่ใช่แม่ทัพเหวินเหรินผู้น่าเกรงขามเพียงได้ยินนามคนนั้นอีกแล้ว
เขาเป็นช่างเหล็กชรา ทุกคนล้วนด่าว่าถมน้ำลายใส่ได้ ไม่ว่าใครก็ดูถูกดูแคลนได้
ขุนพลพยัคฆ์ทั้งสามล้วนเคยเป็นคนสนิทของตระกูลเซวียนหยวน เหวินเหรินชงที่อยู่หนึ่งในนั้นถูกศัตรูตัดนิ้วเพราะคุ้มกันเซวียนหยวนจื่อ
กู้เจียวครุ่นคิด เอ่ยกับหูหยาง “เจ้าไปตามเขามาที”
หูหยางอ้าปากค้าง “เอ่อ ขอรับ”
หูหยางเร่งฝีเท้าไปยังเพิงตีเหล็กในค่าย ชุดเกราะและอาวุธทั่วทุกแห่ง ณ ที่นี้กำลังรอการซ่อมแซมอยู่
เปลวไฟในเตาหลอมลุกโชติช่วง ภายในห้องร้อนจนหายใจไม่ออก
บุรุษหนวดเครารกครึ้มคนหนึ่ง ในระหว่างกำลังรอหลอมเหล็ก เขาก็นั่งอยู่บนม้านั่ง ถือเข็มกับด้าย ก้มหน้าก้มตาปะชุนชุดเกราะบนหน้าตัก
มือขวาของเขาสวมถุงมือหนัง นิ้วหนึ่งในนั้นว่างเปล่า
หูหยางเข้ามาในห้องอย่างคึกคัก เกือบจะโดนไอร้อนในเตาหลอมทำเอาเป็นไข้
เขาถอยหลังไปสองสามก้าว ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ แล้วตะโกนเสียงดังให้บุรุษเหงื่อท่วมหน้าท่วมตัวด้านในแทน “เหวินเหรินชง! โชคดีของเจ้ามาแล้ว! ผู้บัญชาการทหารม้าเฮยเฟิงคนใหม่มารับตำแหน่ง ออกคำสั่งโยกย้าย เจ้าได้กลับไปประจำกองทัพหน้าแล้ว! กลับไปเป็นเลขานุการตำแหน่งจอมพลฝ่ายขวาดูแลกิจกรรมทางทหารทัพหน้าดีกว่านะ!”
“ไม่ไป”
เหวินเหรินชงเอ่ยโดยไม่เงยหน้าขึ้นสักนิด
[1] ศึกไม่หน่ายเล่ห์ การทำศึกสงครามย่อมต้องใช้กลอุบายหลอกอีกฝ่ายหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นอุบายร้ายกาจก็ต้องทำ เพราะหากเราไม่หลอกเขา เขานั่นแหละจะหลอกเรา ฉะนั้นใครหลอกอีกฝ่ายหนึ่งได้มากกว่า ย่อมเป็นผู้ชนะ