สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 797 หลงอีตามหลอกหลอน (1)
บทที่ 797 หลงอีตามหลอกหลอน (1)
บริเวณนั้นไร้ซึ่งผู้คน เหลี่ยวเฉินพลิกตัวลงจากม้า กู้เจียวสิ้นเรี่ยมแรงล้มตัวลงบนหลังม้า
นางอาเจียนออกมาจนหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงความอ่อนเพลีย
เหลี่ยวเฉินลองจับชีพจร ถึงแม้เหลี่ยวเฉินไม่ใช่หมอ แต่ผู้ฝึกวรยุทธ์ย่อมไวต่อการไหลเวียนของลมปราณที่ผิดปกติ
“เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วรึ” เหลี่ยวเฉินถามด้วยความประหลาดใจ
หากจะเอ่ยเช่นนั้นคงไม่ถูกสักเท่าใดนัก คำว่าไม่เป็นอะไรของเหลี่ยวเฉินนั้นแปลว่าไม่จำเป็นต้องจัดงานศพ
แต่เหลี่ยวเฉินก็ยังรู้สึกประหลาดใจ เด็กคนนี้อึดถึกขนาดนี้เชียวหรือ
โดนฝ่ามือวิญญาณทมิฬไปถึงสองครั้ง แต่แค่กระอักเลือดออกมาเท่านั้น
“ข้าเก่งขนาดนี้แหละ ฮึ!” กู้เจียวพิงบนหลังราชาม้าเฮยเฟิงเอ่ยเสียงอ่อย
ใช่ ใช่ ใช่ โดนตีด้วยวิชาวิญญาณทมิฬสองฝ่ามือแล้วยังไม่ตายก็ถือว่าเก่งจริงๆ นั่นแล แต่พอได้ยินคำเอ่ยนี้จากปากเด็กสาวคนนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหลือเชื่อ
เหลี่ยวเฉินจ้องมองไปที่ชุดเกราะและเสื้อเกราะของนาง เสื้อเกราะสีแดงเพลิงนั้นช่างคล้ายคลึงกับเสื้อเกราะที่เขาเคยเห็นมาก่อน เขาจำไม่ได้แล้วว่าเสื้อเกราะนั้นใช้ทำอะไร
แต่เนื้อสัมผัสของชุดเกราะนี้…
เขาเอื้อมมือไปแตะชุดเกราะบนหลังของกู้เจียว “นี่มัน…”
กู้เจียวเอ่ยขึ้น “นี่! ไม่มีใครบอกเจ้าหรือว่าห้ามแตะต้องผู้หญิงโดยพลการ”
…บรรยากาศพังทลายสิ้น
อารมณ์ที่เพิ่งพุ่งขึ้นมาในดวงตาของเหลี่ยวเฉินก็หยุดชะงัก เขาจ้องมองกู้เจียวอย่างงุนงง “อ๋อ เจ้ายังจำได้ว่าตัวเองเป็นผู้หญิง เช่นนั้นเจ้ายังกล้าไปปะทะกับวิญญาณทมิฬแบบตัวต่อตัว เจ้าบ้าไปแล้วหรือ”
“เขาเป็นคนบุกมาหาข้าก่อน ข้าแค่สะกดรอยตามเขาไป” กู้เจียวอธิบายอย่างใจเย็น
แม้ว่านางจะอยากฆ่าวิญญาณทมิฬมากก็ตาม แต่นางจะไม่ลงมือโดยไร้แผนการ
ว่าแต่เรื่องนี้ต้องขอบคุณชุดเกราะนี้จริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมัน ป่านนี้นางคงสิ้นชีพด้วยน้ำมือของวิญญาณทมิฬไปแล้ว
ชุดเกราะนี้ดูไม่เหมือนทำจากเหล็กดำธรรมดา คงมีผสมวัสดุอื่นด้วย ไม่เพียงแต่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ยังต้านทานการโจมตีของฝีมือระดับสูงอย่างวิญญาณทมิฬได้อีกด้วย
“ข้าถึงกับอาเจียนเป็นเลือด แต่มันไม่เป็นรอยแม้แต่นิดเดียว” กู้เจียวลูบคลำชุดเกราะของตัวเอง
เหลี่ยวเฉินเหลือบมองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ เด็กสาวคนนี้ดูภูมิใจมาก นางรู้หรือไม่ว่าตัวเองเพิ่งคลานกลับมาจากยมโลก
ช่างเถิด หากนางไม่ทุ่มเท คงไม่ก่อเรื่องได้มากมายขนาดนี้
เหลี่ยวเฉินเอ่ย “ครั้งนี้เขาก็ประเมินความสามารถของเจ้าต่ำไปเช่นกัน จึงไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมดฆ่าเจ้า”
ดังนั้น ไม่ได้มีแค่นางคนเดียวที่คาดการณ์ผิดพลาด
สำหรับวิญญาณทมิฬใช้สองกระบวนท่ายังฆ่านางไม่ได้ ถือว่าพลาดท่าแล้ว
กู้เจียวนอนหมอมบนหลังของราชาม้าเฮยเฟิงคล้ายกบตัวน้อยที่แผ่ตัวแบนราบพลางถาม”เจ้าก็สู้เขาไม่ได้หรือ”
เหลี่ยวเฉินเสียงเข้ม “ไม่ใช่เช่นนั้นเสียหน่อย! พลังของข้าไม่มีที่สิ้นสุด การจัดการกับหน่วยกล้าตายเพียงคนเดียว ย่อมเป็นเรื่องง่ายดาย เพียงแต่ข้าเห็นเจ้าได้รับบาดเจ็บ กลัวว่าหากสู้ต่อ เจ้าอาจจะตายได้ ข้าจึงรีบพาเจ้าหนีไปหาหมอ แต่ดูท่าแล้ว คงไม่ต้องหาแล้ว”
กู้เจียวเอ่ย “อืม”
เหลี่ยวเฉินคิดในใจ น้ำเสียงเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน
กู้เจียวถามต่อ “แล้วหากเจ้าร่วมมือกับนักบวชชิงเฟิงเล่า”
เหลี่ยวเฉินตอบ “เขาคงไม่ยอมร่วมมือกับข้า เขาคงจะร่วมมือกับวิญญาณทมิฬฆ่าข้าก่อน”
กู้เจียวครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะเอ่ย “ข้าสงสัยมานานแล้ว เจ้าบาดหมางอันใดกับนักบวชชิงเฟิงกันแน่ ไปแย่งเมียเขาหรือไปขุดหลุมศพบรรพบุรุษเขา เหตุใดเขาถึงอยากฆ่าเจ้านัก”
เหลี่ยวเฉินล้วงถุงสุราจากอก ดึงจุกออกแล้วแหงนหน้าดื่ม “เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กอย่าถาม”
“อ๋อ เรื่องของผู้ใหญ่” กู้เจียวนอนหมอบ พวงแก้มถูกกดจนเป็นรอยบุ๋ม แต่ยังแกล้งยียวนยักคิ้วหลิ่วตา เป็นใครก็ทนมองไม่ไหว
เหลี่ยวเฉินดื่มสุราอีกอึก หยุดนิ่งไปชั่วครู่ ทอดมองแสงจันทร์พลางเอ่ย “ใช่ว่าข้าจะสู้กับวิญญาณทมิฬไม่ได้ ข้าแค่ฆ่ามันไม่ได้”
ใต้ฟ้านี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ฆ่าวิญญาณทมิฬได้
นั่นคือพิฆาตเวหา
น่าเสียดายที่วิญญาณทมิฬสาบสูญไประหว่างปฏิบัติภารกิจ ไร้ข่าวคราว เกรงว่าจะตายไปนานแล้ว
กู้เจียวเอ่ยถาม “ว่าแต่… เจ้าโผล่มาที่นี่ได้อย่างไร ไม่ได้ผ่านมาหรอกกระมัง ท่านนักบวชสะกดรอยตามข้าอย่างนั้นรึ บอกให้รู้นะ สะกดรอยตามหญิงสาวนั้นไม่ถูกต้อง ที่แคว้นของข้า คนอย่างเจ้าที่ชอบติดตามคนอื่นจะโดนกระทืบจนเละแน่…”
เสียงเอ่ยของนางก็ค่อยๆ เบาลงและเบาลง จนกระทั่งนางก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
เหลียวเฉินหันขวับกลับไปมอง เห็นกู้เจียวหลับสนิทด้วยความอ่อนเพลีย
นางมีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว แต่นางก็เหล็กกล้า นางก็มีบาดแผล มีความเจ็บปวดและมีความเหนื่อยล้า
หลังจากสาวน้อยย้ายมาแคว้นเยี่ยน นางก็ไม่เคยหลับสนิทแม้แต่คืนเดียว
ภายในตรอกกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
เหลี่ยวเฉินมองดูชุดเกราะบนร่างของนาง พึมพำกับตัวเอง “เหตุใดชุดเกราะนี้ถึงอยู่กับนางได้ อันกั๋วกงเป็นคนให้นางหรือ ไปเป็นลูกบุญธรรมของเขาตอนไหน แล้วเหตุใดเขาถึงต้องให้ของสำคัญขนาดนี้กับนาง”
สายตาของเขาหยุดลงบนใบหน้านวลของนาง มองดูนางกำลังน้ำลายไหล อดไม่ได้ที่จะถาม “ตกลงเจ้าเป็นใครกันแน่”
ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ราชาราชาม้าเฮยเฟิงหาที่ลมพัดเย็นให้กู้เจียวนอนหลับ
เหลี่ยวเฉินเดินไปลูบหัวราชาม้าเฮยเฟิงถาม “เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วหรือ”
ราชาม้าเฮยเฟิงมองเขา สายตาของเขาดูสับสน
เหลี่ยวเฉินลูบหัวมันพลางเอ่ย “จริงอยู่ เจ้าไม่เคยเห็นหน้าข้า แต่ข้าเคยเห็นเจ้า ตอนเจ้าเกิดข้าก็อยู่ตรงนั้น”
ราชาม้าเฮยเฟิงเริ่มดมกลิ่นบนตัวเหลี่ยวเฉิน กลิ่นนี้ไม่คุ้นเคย แต่มันก็ไม่ได้รู้สึกแปลกจนน่ารังเกียจ
เหลี่ยวเฉินนิ่ง ปล่อยให้ราชาม้าเฮยเฟิงดมหากลิ่นของตระกูลเซวียนหยวนบนตัวเขา
แต่ดูเหมือนว่ามันจะหาไม่เจอ
ราชาม้าเฮยเฟิงดมอยู่นาน อารมณ์ของมันไม่ซับซ้อนเหมือนมนุษย์ แต่หลังจากดมกลิ่นเหลี่ยวเฉินเสร็จ มันกลับรู้สึกหม่นหมองและท้อแท้ขึ้นมาอย่างประหลาด
เหลี่ยวเฉินยื่นมือที่สวมกำไลลูกประคำออกมาแตะเบาๆ บนหน้าผากของมัน พลางเอ่ยเสียงเบา “ไม่เป็นไร… ไม่เป็นไร”
…
จวนองค์หญิง
หลังจากฝนตกหนักเมื่อคืน เช้าวันนี้ท้องฟ้าสดใส อากาศสดชื่น เต็มไปด้วยกลิ่นดินหญ้า
องค์หญิงซิ่นหยางและอวี้จิ่นนั่งอยู่ในห้อง จัดเรียงเสื้อผ้าเก่าๆ ของเซียวเหิงตอนเด็ก
บนเตียงนุ่มเต็มไปด้วยเสื้อผ้าเด็ก อวี้จิ่นและองค์หญิงซิ่นหยางนั่งอยู่บนขอบเตียงคนละฝั่ง
อวี้จิ่นหยิบผ้าอ้อมเก่าที่ซักสะอาดแล้วขึ้นมาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่คือผ้าอ้อมที่ท่านโหวน้อยใช้ตอนเด็กๆ ท่านเก็บไว้ไม่ทิ้งเลยสักชิ้น”
องค์หญิงซิ่นหยางก็ยิ้มอย่างอดไม่ได้ “เหตุใดต้องทิ้ง จวนองค์หญิงใหญ่โตขนาดนี้ ไม่ขาดแคลนที่เก็บของ”
อวี้จิ่นหัวเราะ “ท่านทิ้งไม่ลงต่างหากเพคะ”
องค์หญิงซิ่นหยางหยิบเอาชุดทารกสีแดงสดขึ้นมาพลางเอ่ย “นี่ของเขาตอนสามเดือน เขาน่ะโตเร็ว แค่ครึ่งเดือนก็ใส่ไม่ได้แล้ว”
อวี้จิ่นรำลึกความหลัง “ตอนนั้นอากาศยังหนาวอยู่เลยเพคะ จำได้ว่าชุดนี้ได้ใส่อยู่สักครั้งสองครั้ง”
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ย “สวยดีนะ อาบน้ำเสร็จแล้วให้เขาใส่หน่อย ตอบสนองความอยากดูของแม่คนนี้หน่อย”
“ท่านโหวน้อยน่าสงสาร” อวี้จิ่นพับผ้าอ้อมเสร็จแล้วเก็บใส่กล่องที่วางอยู่ข้างๆ แล้วก็หยิบชุดสีชมพูหวาน ขึ้นมาอีกชุดก่อนจะเอ่ย “ท่านโหวน้อยคงไม่รู้สินะว่าตอนเขาอายุหนึ่งขวบ ท่านเคยแต่งตัวเขาเป็นเด็กผู้หญิงมาก่อน”
องค์หญิงซิ่นหยางกระแอมขึ้นมา “แค่อยากลองดูก็เท่านั้น”
อวี้จิ่นเก็บเสื้อผ้าเด็กทารกแสนน่ารักไว้ แล้วหยิบรองเท้าหัวเสือขึ้นมายิ้ม ก่อนจะยิ้มเอ่ย “รองเท้าคู่นี้ข้าทำเองกับมือเลยเพคะ”
องค์หญิงซิ่นหยางชี้ไปที่หมวกและเสื้อกั๊กที่วางอยู่บนเตียงพลางเอ่ย “ยังมีหมวกหัวเสือและเสื้อกั๊กตัวนี้ด้วย ทั้งหมดนี้เจ้าเป็นคนทำ เป็นของขวัญวันเกิดครบรอบหนึ่งปีของอาเหิง”
อวี้จิ่นยิ้มและเอ่ย “องค์หญิงยังจำได้สินะเพคะ”
องค์หญิงซิ่นหยางสายตาอ่อนโยน ยามนางมองดูรองเท้าและเสื้อผ้าเด็กทารกเหล่านี้ ทั้งตัวนางก็เปล่งประกายด้วยความอบอุ่นของผู้เป็นแม่
“เรื่องของอาเหิง ข้าจำได้ทุกอย่าง” นางเอ่ย
อวี้จิ่นเอ่ยขึ้น “เรื่องวันเกิดครบหนึ่งขวบของท่านโหวน้อย ข้าจำได้ว่าตอนนั้นตอนจับของเสี่ยงทายวันเกิด ท่านอยากให้ท่านโหวน้อยจับหนังสือ แต่ท่านโหวอยากให้ท่านโหวน้อยจับดาบ สุดท้ายท่านโหวน้อยก็ไม่ได้จับอะไรเลย”
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยอย่างนึกขบขัน “ใช่ เขาจับหลงอี”
วิธีเลี้ยงลูกขององค์หญิงซิ่นหยางนั้นแตกต่างจากซ่างกวานเยียนอย่างสิ้นเชิง ซ่างกวานเยี่ยนยึดถือตามธรรมเนียมการเลี้ยงลูกแบบตระกูลเซวียนหยวน เลี้ยงลูกแบบปล่อยไปตามธรรมชาติ อยากให้ซ่างกวานชิ่งเติบโตอย่างอิสระ
แต่องค์หญิงซิ่นหยางมีอดีตอันเลวร้ายในวัยเด็ก ประกอบกับตอนนี้มีเซียวเหิงอยู่ด้วยจึงยิ่งระแวดระวังเป็นพิเศษ นางไม่ยอมให้เซียวเหิงห่างจากสายตาแม้แต่นิดเดียว แทบจะเอาเชือกผูกเซียวเหิงไว้กับเอวตัวเอง
ก่อนที่เซียวเหิงจะอายุได้หนึ่งขวบ เขาไม่เคยเห็นงานเลี้ยงใหญ่โตแบบนี้มาก่อน พอจู่ๆ โดนคนห้อมล้อม แถมพ่อแม่ยังเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด เด็กน้อยก็ตกใจกลัว ร้องไห้ฟูมฟายเรียกหาหลงอี
หลงอีปรากฏตัวขึ้น
เซียวเหิงคว้ามือของหลงอีไว้แน่น