สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 797-2 หลงอีตามหลอกหลอน (2)
บทที่ 797 หลงอีตามหลอกหลอน (2)
องค์หญิงซิ่นหยางถอนหายใจเฮือกใหญ่ “หลงอี ยังคงเหมือนเดิมหรือไม่”
อวี้จิ่นพยักหน้าอย่างกังวล “เจ้าคะ ตั้งแต่องค์หญิงมอบสิ่งนั้นให้เขา เขาก็ทำอะไรไม่เป็น นั่งเหม่อลอยอยู่ที่ชายคาทุกวัน”
เรื่องราวเริ่มต้นจากองค์หญิงซิ่นหยางเกิดอยากเก็บกวาดของเก่า ระหว่างที่นางกำลังจัดการกล่องเครื่องสำอางเก่าๆ ก็พบกับแหวนหยกที่ถูกเก็บลืมมานานหลายปี
แหวนหยกวงนี้เป็นของหลงอีที่ติดตัวมาตั้งแต่แรกมาอยู่ที่จวนองค์หญิง แต่เขาทำตกไว้ในห้องขององค์หญิงซิ่นหยางโดยไม่ได้ตั้งใจ องค์หญิงซิ่นหยางตั้งใจจะให้อวี้จิ่นคืนให้กับหลงอี แต่นางก็ยุ่งกับงานเตรียมงานแต่งงานจนลืมไป
ในช่วงเวลานั้น ฮ่องเต้สววรคต ฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบันมีรับสั่งให้นางแต่งงานกับเซียวจี่ในช่วงไว้ทุกข์
ทั้งจวนองค์หญิงยุ่งวุ่นวายกันไปหมด อีกทั้งหลงอีเองก็ไม่เคยมาถามหาแหวนหยกวงนี้ องค์หญิงซิ่นหยางจึงลืมเรื่องนี้ไปโดยสิ้นเชิง
ยี่สิบปีผ่านไป ถ้าไม่ใช่เพราะจัดเก็บของเก่าครั้งนี้ นางอาจจะจำแหวนหยกวงนี้ไม่ได้ไปตลอดชีวิต
องค์หญิงซิ่นหยางถอนหายใจ “เหตุใดตอนนั้นข้าถึงลืมไปเสียสนิท”
อวี้จิ่นปลอบใจ “ตอนนั้นท่านก็ไม่แน่ใจว่าใช่ของหลงอีหรือเปล่า องครักษ์หลงอิ่งทั้งห้าคนเคยมาที่ห้องของท่าน หลังจากพวกเขาออกไปก็พบแหวนหยกวงเพิ่มอีกหนึ่งวงบนพรม ใครจะรู้ได้ว่าเป็นของใคร”
ตอนนี้ที่แน่ใจได้ ก็เพราะองค์หญิงซิ่นหยางเรียกทั้งห้าคนมา ทหารทั้งสี่คนไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กับแหวนหยก มีเพียงหลงอีที่จ้องมองมันอย่างตั้งใจ
ตอนนี้หลงอีกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ระเบียง
อากาศร้อนอบอ้าว องค์หญิงซิ่นหยางเห็นเขาชอบนั่งตรงนั้น จึงปูเสื่อเย็นให้นั่ง
หลงอีพอได้นั่งก็จะนั่งอยู่อย่างนั้นทั้งวัน
ตอนที่หลงอีมาที่จวนองค์หญิงครั้งแรก องค์หญิงซิ่นหยางไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างเขากับหลงอิ่งออกได้
แต่ตอนนี้เมื่อคิดทบทวนดูอีกครั้ง นอกจากนางจะไม่รู้จักองครักษ์ดีพอแล้ว ยังมีอีกสาเหตุสำคัญคือหลงอีเองก็เป็นหน่วยกล้าตายเช่นกัน
ในส่วนของสาเหตุที่เขาถึงปะปนเข้ามาในจวนองค์หญิง อาจเป็นเพราะเขาจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร ดังนั้นเมื่อเขาเห็นหน่วยกล้าตายที่มีท่าทางคล้ายคลึงกับเขา เขาจึงคิดว่าตัวเองเป็นคนหนึ่งในนั้น
เขาเห็นว่าภารกิจของพวกเขาคือปกป้องนาง เขาจึงเข้าใจผิดคิดว่านี่คือภารกิจของเขาเช่นกัน
บางทีอาจถึงเวลาแล้วที่หลงอีจะออกเดินทางเพื่อค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเขาและทำภารกิจที่แท้จริงของเขาให้สำเร็จ
…
กู้เจียวนอนหลับยาวถึงสองชั่วโมง เมื่อตื่นขึ้นมา เหลี่ยวเฉินก็ไม่อยู่แล้ว
กู้เจียวลุกขึ้นนั่งช้าๆ ยืดเส้นยืดสายคลายความเมื่อยล้า เอ่ยกับราชาม้าเฮยเฟิง “ดึกขนาดนี้แล้วหรือ ขอโทษนะที่ให้เจ้าแบกข้ามานานขนาดนี้”
นางลงจากหลังม้า ยืดเส้นยืดสาย
หลังจากนั้น นางก็พาราชาม้าเฮยเฟิงไปที่บ่อน้ำใกล้ๆ ขอขันตักน้ำจากชาวบ้านที่กำลังตักน้ำอยู่ ตักน้ำขึ้นมาหนึ่งถังเพื่อล้างคราบเลือดบนร่างกาย
เมื่อกลับไปที่จวนกั๋วกง เสื้อผ้าที่เปียกก็แห้งแล้ว
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่านางกระอักเลือดหรือได้รับบาดเจ็บ
นางเดินเข้าจวนราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น
วันนี้เสี่ยวจิ้งคงมาเยี่ยม เสียงเอะอะโวยวายของเขากับกู้เหยี่ยนดังก้องไปทั่วเรือนต้นเฟิง
บนระเบียง อันกั๋วกงนั่งรถเข็นเล่นหมากรุกกับจี้จิ่วอาวุโส บนเก้าอี้หวายข้างๆ หญิงชรากอดขวดโหลใบเล็ก กินผลไม้เชื่อมอย่างเอร็ดอร่อย
ส่วนที่ลานบ้านนั้ กู้เสี่ยวซุ่นกำลังเรียนรู้กลไกใหม่จากอาจารย์หลู่ อาจารย์แม่หนานยังคงหมกมุ่นอยู่กับการปรุงยาพิษ ส่วนกู้เฉิงเฟิงถูกดึงไปตัดสินความระหว่างเสี่ยวจิ้งคงกับกู้เหยี่ยน ทำเอาเขาปวดหัวกับสองคนที่เถียงคำไม่ตกฟาก
กู้เจียวหยุดยืนอยู่หน้าประตูเรือนต้นเฟิง ภาพที่เห็นตรงหน้าคือภาพชีวิตอันเรียบง่ายของครอบครัว
ทุกคนดูเหมือนจะยุ่งกับงานของตัวเอง แต่จริงๆ แล้วทุกคนกำลังรอนางอยู่
เพียงแต่ไม่มีใครเอ่ยออกมาเท่านั้น
ทุกคนต่างเฝ้าดูแลนางด้วยวิธีของตัวเอง
อาการปวดเมื่อยและความอ่อนเพลียของกู้เจียวเหมือนจะหายไปในพริบตา
นางจูงราชาม้าเฮยเฟิงก้าวเข้าสู่ลานบ้านเหมือนอย่างเช่นเคย
ณ ตระกูลหัน
มู่หรูซินได้กำหนดแผนการรักษาให้กับท่านชายใหญ่หัน
นายใหญ่หัน หันเหล่ยและนายท่านหันสามต่างอยู่ในห้องของท่านชายใหญ่หัน รอฟังผลการวินิจฉัยของมู่หรูซิน
มู่หรูซินเอ่ย “เอ็นร้อยหวายของท่านชายถูกตัดขาด หากต้องการให้หายดี จำเป็นต้องต่อเอ็นกลับ แต่ท่านชายพลาดโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับการผ่าตัด บาดแผลดูเหมือนจะหายดีแล้ว แต่ส่วนที่ควรต่อกันนั้นไม่ได้ต่อกัน แผนการรักษาที่ข้าจะใช้นั้นฟังดูอาจอันตราย แต่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด”
“วิธีอะไร” หันเหล่ยถาม
มู่หรูซินมองท่านชายใหญ่หันรูปงามนอนอยู่บนเตียง แล้วย้อนกลับมาเอ่ยกับพ่อลูกทั้งสาม “ข้าจะตัดเอ็นร้อยหวายของเขาอีกครั้ง แล้วผ่าตัดต่อให้ใหม่”
นายใหญ่หันอุทานด้วยความเหลือเชื่อ “ว่าอย่างไรนะ ต้องผ่าอีกครั้งหรือ เจ้าแน่ใจนะว่ามาช่วยคนไม่ใช่มาฆ่า เจ้าไม่ใช่สายลับที่อันกั๋วกงส่งมาลอบสังหารตระกูลหันหรอกนะ”
นายใหญ่หันจ้องมองมู่หรูซินด้วยสายตาอึมครึม
มู่หรูซินรีบเอ่ยแก้ตัว “นายท่านสาม ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าจะไปเป็นสายลับของอันกั๋วกงได้อย่างไร ข้ากับเขาไม่มีการติดต่อใดๆ มานานแล้ว ข้าเคยบอกไปแล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อหางานดีๆ ทำ ข้าต้องการสถานะคนจากแคว้นท่าน พวกท่านให้สถานะนั้นแก่ข้า ข้ารักษาทายาทตระกูลหันให้หาย พวกเราต่างก็ไม่ติดค้างอะไรกัน”
นายใหญ่หันเอ่ย “ข้าไม่เคยได้ยินวิธีการรักษาแบบนี้มาก่อน แม่นางมู่ เจ้ามั่นใจจริงหรือ”
มู่หรูซินยิ้มเยาะอย่างหยิ่งยโสเอ่ย “การผ่าตัดแบบนี้ สำหรับอาจารย์ข้านั้น ไม่ต่างจากการรักษาโรคหวัดธรรมดา ข้าเอง ถึงแม้จะด้อยความสามารถ แต่ก็เคยช่วยอาจารย์ผ่าตัดต่อเส้นเอ็นมาแล้วหลายครั้ง”
หันเหล่ยครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะเอ่ย “ท่านพ่อ ข้ายังคิดว่าไม่เหมาะสม”
“ท่านปู่”
บนเตียง ท่านชายใหญ่หันที่นิ่งงันมาก็นานเอ่ยปากขึ้น “ข้าอยากเสี่ยงอีกสักครั้ง”
หันเหล่ยขมวดคิ้วเอ่ย “เย่เอ๋อ ถ้าเกิดพลาดขึ้นมา ขาของเจ้าก็จะพิการถาวร… ข้ากำลังหาวิธีเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ให้เขาออกราชโองการ โปรดให้ตำหนักกั๋วซือรักษาเจ้าอยู่”
หันเย่ส่ายหน้า “ท่านพ่อ ท่านน่าจะรู้ว่าตำหนักกั๋วซือจะไม่รักษาข้า นอกจากนี้ รัชทายาทและพระสนมเอกต่างก็ทำผิดต่อองค์ฮ่องเต้ ตอนนี้พระองค์ไม่ยุ่งเกี่ยวกับตระกูลหันเลย ทำตามที่หมอมู่บอกดีกว่า เมื่อไหร่จะผ่าตัดได้”
มู่หรูซินเอ่ย “ตอนนี้ได้เลย อ๋อ จริงด้วย ข้านึกอะไรขึ้นมาได้”
ทุกคนมองนาง
นางหัวเราะพลางเอ่ย “ข้าอยู่ที่อันกั๋วกงดีๆ อยู่แล้ว แต่จู่ๆ อันกั๋วกงก็อ้างว่าข้าคิดถึงบ้านเกิดเลยยุติการรักษา ข้าก็เลยกลับมา แต่วันนั้นพอดีข้าเห็นเซียวลิ่วเข้าพักที่อันกั๋วกง ข้าไม่รู้ว่าสองเรื่องนี้เกี่ยวข้องกันหรือไม่”
หันเหล่ย เอ่ยอย่างครุ่นคิด “เซียวลิ่วหลังเป็นลูกบุญธรรมของเขา การที่เขาจะเข้าพักในจวนกั๋วกงนั้น ย่อมไม่มีอะไรผิดปกติ”
มู่หรูซินยิ้มจางก่อนจะเอ่ย “แต่ว่าเหตุใดเขาถึงต้องผลักไสข้า นี่สิคือประเด็นที่น่าสงสัย ไม่ใช่หรือ”
หันเหล่ยถาม “เซียวลิ่วหลังเข้าพักในจวนกั๋วกงคนเดียวหรือ”
มู่หรูซินถอนหายใจเอ่ย “เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ใจ ด้านหลังยังมีรถม้าอีกสองคัน ส่วนในรถม้านั้นมีอะไร ข้าไม่ได้เห็น”
หันเหล่ยโน้มตัวเข้ามากระซิบข้างหูนายใหญ่หัน “ท่านพ่อ หรือว่าครอบครัวของเซียวลิ่วหลังจะหลบซ่อนอยู่ในจวนกั๋วกง ไม่น่าแปลกใจที่คนของพวกเราตามหาทั่วทุกแห่ง แต่ไม่พบ!” นายใหญ่หันกดเสียงต่ำ เอ่ยอย่างเรียบเฉย “เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน เดี๋ยวส่งคนไปสืบข่าวก็แล้วกัน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…”
ชายชราเอ่ยพลางประสานมือวางบนด้ามไม้เท้า สายตาจ้องมองไปที่มู่หรูซิน “เช่นนั้นก็ขอหมอมู่ผ่าตัดให้หลานชายของข้าเถิด แต่ข้าขอเตือนไว้ก่อนว่า หากหลานชายของข้าเป็นอะไรไป แม่นางมู่ต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”
…
ยามค่ำคืน สรรสิ่งเงียบสงัด
กู้เจียวส่งโทรโข่งตัวสุดท้ายของวันกลับไป ในที่สุดนางก็สามารถนอนบนเตียงอันแสนสบายของนางได้อย่างเต็มอิ่ม
นางนอนลงบนที่นอนนุ่มๆ มองเพดานประดับไข่มุก
ความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ถูกวิญญาณทมิฬร้ายทำร้ายยังคงแฝงอยู่
นางใช้มือข้างหนึ่งกดที่ไหล่ อีกข้างหนุนศีรษะ “เล่นกันเสียแรงเชียว สักวันหนึ่งข้าจะเอากระสอบคลุมศีรษะเจ้า!”
ในที่สุดความเหนื่อยล้าก็เอาชนะนาง ไม่นานนางก็ผล็อยหลับใหลไป
นานมาแล้วที่นางไม่ได้ฝันถึงลางบอกเหตุ
นางเคยคิดเล่นๆ ว่าบางทีเหตุการณ์ในฝันของนางอาจเคยเกิดขึ้นจริง และเมื่อนางย้ายมาแคว้นเยี่ยน ชะตากรรมของทุกคนก็เปลี่ยนไป
ดังนั้นนางจึงไม่ฝันแบบนั้นอีกต่อไป
แต่ทว่าคืนนี้ นางกลับฝันถึงเรื่องนั้นอีกครั้ง
แต่ต่างจากฝันถึงคนอื่นๆ ที่ผ่านมา ครั้งนี้นางได้เห็นจุดจบของตัวเองในฝันเป็นครั้งแรก