สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 801 พี่น้องร่วมมือ
บทที่ 801 พี่น้องร่วมมือ
ต่อให้กู้เจียวไม่ได้เล่าเหตุการณ์ในฝันให้ฟัง เซียวเหิงก็รู้แก่ใจว่าไม่ควรปล่อยให้ฝ่าบาทตกอยู่ในเงื้อมมือพวกตระกูลหัน
ด้วยความที่พวกเขาเคยแสดงเจตนารมย์อย่างชัดเจนว่าเป็นปรปักษ์กับตระกูลหัน หากพวกตระกูลหันได้อำนาจของฝ่าบาทไป พวกเขาจะต้องถูกหมายหัวเป็นกลุ่มแรกอย่างแน่นอน
กู้เจียวและเซียวเหิงนั่งรถม้าของจวนกั๋วกง เดินทางมายังตำหนักกั๋วซือ
ซ่างกวานเยี่ยนไม่ตอบสนองอะไรหลังจากที่ได้รู้เรื่องที่ฮ่องเต้ถูกหันกุ้ยเฟยทำร้าย
รวมทั้งตอนที่รู้ว่าฮ่องเต้ที่อยู่ในวังตอนนี้คือตัวปลอม
แต่กลับสะดุ้งโหยงหลังจากที่กู้เจียวถามถึงทางอุโมงค์สุนัขในตำหนักเย็น!
“เจ้าคิดจะทำอะไร!”
กู้เจียวตอบไปตามความจริง “ข้าจะไปช่วยฝ่าบาทออกมา”
“ไม่ได้เด็ดขาด! มันอันตรายเกินไป!”
ซ่างกวานเยี่ยนปฏิเสธอย่างหนักแน่น นางไม่มีทางยอมให้ลูกสะใภ้ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อเสด็จพ่อจอมเจ้าเล่ห์ของนางที่ทำลายตระกูลของเสด็จแม่จนป่นปี้!
เป็นเสด็จพ่อเองที่อยากอภิเษกกับคนของตระกูลหันเพื่อเชิดชูสิบตระกูลและกำจัดตระกูลเซวียนหยวน แล้วยามนี้เป็นอย่างไรเล่า โดนหักหลังเสียเอง
เซียวเหิงเอ่ยต่อ “แต่หากฮ่องเต้ตัวปลอมเกิดออกคำสังฆ่าเจียวเจียวขึ้นมาล่ะ”
ซ่างกวานเยี่ยนขมวดคิ้วแน่น
ตามนิสัยของหันกุ้ยเฟยแล้วก็มีความเป็นไปได้
แม้คนนอกอาจจะยังมองไม่ออกว่าเป็นตัวปลอม แต่อย่างไรคนที่รู้เรื่องนี้ ก็ต้องมีรู้สึกละอายใจกันบ้างไม่มากก็น้อย เป็นไปได้ว่าช่วงแรกพวกเขาอาจยังไม่กล้าทำอะไรหุนหันพลันแล่นเท่าใดนัก โดยเฉพาะกับซ่างกวานเยี่ยนและซ่างกวานชิ่ง
แต่กับคนอื่นก็ไม่แน่เหมือนกัน
ซ่างกวานเยี่ยนขอให้ลูกชายไปหยิบปากกากับกระดาษมาให้ จากนั้นวาดแผนผังของตำหนักเย็น แล้วยื่นให้กู้เจียว “คราวก่อนกู้เฉิงเฟิงเคยเข้าไปที่นั่น แต่เขาอยู่แค่ตรงอุโมงค์รอบนอก เจ้าต้องเริ่มจากตรงนี้ ต้องผ่านตรงหวั่นเฟยก่อนถึงจะเจอตำหนักของหันกุ้ยเฟย แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าฝ่าบาทอยู่ขังอยู่ในตำหนักเย็น”
“เสี่ยวจิ่วไม่มีทางหลอกข้าแน่นอน” กู้เจียวเอ่ยด้วยสีหน้านิ่ง
“อ๋อ เจ้านกตัวนั้น” ซ่างกวานเยียนจึงไม่ถามอะไรต่อ
เซียวเหิงมองกู้เจียวด้วยสายตาที่แน่วแน่อย่างเงียบๆ
…
ตกกลางคืน กู้เจียวและกู้เฉิงเฟิงเปลี่ยนชุด สวมหน้ากาก เดินทางออกจากจวนเพื่อมุ่งหน้าไปยังตำหนักเย็น
ด้วยความที่กู้เฉิงเฟิงเคยมาทางนี้ ไม่นานเขาก็หาปากอุโมงค์จนเจอ
ตอนแรกกู้เจียวนึกสงสัยว่าเหตุใดกู้เฉิงเฟิงถึงไม่พาซ่างกวานเยี่ยนกระโดดข้ามกำแพงเข้าไปเลย แต่พอกู้เจียวมาหยุดอยู่บริเวณมุมกำแพงตำหนัก ก็บังเอิญเงยหน้าขึ้นไปเห็นเส้นด้ายบางๆ ผูกล้อมอยู่เหนือกำแพง กู้เจียวจึงเข้าใจในทันที
“นั่นน่ะเขาเรียกว่าไหมหิมะ เห็นเล็กๆ แบบนั้นแต่คมน่าดู ข้าไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าพวกเขาล้อมมันไว้สูงขนาดไหน หากกระโดดข้ามไปโดยไม่ระวังมีหวังได้กลายเป็นเนื้อลูกเต๋าแน่ๆ ” กู้เฉิงเฟิงกระซิบบอก
“คงต้องใช้วิธีมุดอย่างเดียวสินะ”
“เดี๋ยวข้าจะเข้าไปก่อน” กู้เฉิงเฟิงอาสาเป็นหนูทดลองให้ก่อน หากพบว่าทางสะดวกแล้วถึงจะยอมให้กู้เจียวตามเข้ามา
ทั้งสองลุกขึ้นและปัดฝุ่นบนตัวออก
“จะว่าไปแล้ว ฝ่าบาทก็น่าจะรู้ว่าซ่างกวานเยี่ยนชอบมุดอุโมงค์นี้เพื่อแอบออกไปเที่ยวเล่นนนอกวัง รู้ทั้งรู้แต่กลับไม่สั่งให้คนมาถมอุโมงค์เนี่ยนะ เขาต้องเอ็นดูนางมากแค่ไหน แล้วจะทรงทำร้ายนางแต่แรกเพื่ออะไร”
กู้เจียว “เจ้าเดาความคิดผู้ชายแบบนั้นไม่ออกหรอก”
กู้เฉิงเฟิง “…”
“มือสังหารคนนั้นจะต้องคอยอยู่ใกล้หันกุ้ยเฟยแน่ๆ เดี๋ยวข้าจะล่อเขาออกไป ส่วนเจ้าก็เข้าไปข้างในแล้วพาฮ่องเต้ออกมาให้ได้ล่ะ” กู้เฉิงเฟิงมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยกับกู้เจียว
“เจ้าล่อไหวรึ” กู้เจียวสงสัย
กู้เฉิงเฟิงเอามือตบที่แผ่นอกตัวเองพร้อมกับตอบ “ข้าเป็นถึงจอมโจรอันดับหนึ่งของแคว้นเจาเชียวนะ ถึงฝีมือต่อสู้ของข้าจะเทียบเจ้าไม่ได้ แต่เจ้าก็รอดูเอาแล้วกัน”
ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น กู้เจียวจึงย้ำกับเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและจริงจัง “ห้ามต่อสู้กับเจ้านั่นเด็ดขาด”
“วางใจเถอะน่า ข้าเป็นโจรนะ ไม่ใช่นักฆ่า ข้าจะไม่ทำอะไรที่เสี่ยงตัวตายหรอก เอาละ เข้าเรื่องดีกว่า หากเจ้านั่นเก่งกาจเหมือนที่เจ้าเคยบรรยายไว้จริง ข้าคงไม่อาจล่อเขาไว้ได้ ดังนั้น… เจ้ามีเวลาแค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น!”
“ข้าเข้าใจแล้ว” กู้เจียวพยักหน้า
แล้วกู้เฉิงเฟิงก็วิ่งออกไป
“กู้เฉิงเฟิง ระวังตัวด้วยล่ะ” กู้เจียวเรียกเขาให้หยุด “ถ้าเจ้าตายขึ้นมา ข้าล้างแค้นให้เจ้าไม่ไหวหรอกนะ”
กู้เฉิงเฟิงเบะปาก “เหอะ ใจร้ายจริง!”
จากนั้นกู้เฉิงเฟิงก็เหาะตัวมุ่งหน้าไปยังตำหนักหันกุ้ยเฟย
ส่วนกู้เจียวย่องตามเขาไปติดๆ พร้อมกับคอยสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ
หากว่ากันตามตรง กู้เจียวแอบเตรียมใจไว้บ้างแล้ว วิญญาณทมิฬเก่งขนาดนั้นมีหรือจะปล่อยให้กู้เฉิงเฟิงหลุดรอดไปได้ง่ายๆ
เขาจะเดาไม่ออกเลยหรือว่ามีใครบางคนกำลังจะใช้วิธีล่อเสือออกจากถ้ำทั้งๆ ที่สู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ต่อให้วิญญาณทมิฬจะไม่รู้ อย่างน้อยหันกุ้ยเฟยจอมเจ้าเล่ห์ก็น่าจะไหวตัวทันกับเขาบ้าง
นางไม่ใช่คนที่ถูกหลอกได้ง่ายๆ ทว่าวันนี้ ถือว่าดวงของกู้เฉิงเฟิงดีนัก เพราะหันกุ้ยเฟยไม่อยู่ที่ตำหนัก กำลังออกไปเยี่ยมฮ่องเต้ที่คุกใต้ดิน
ทั้งตำหนักมีเพียงแค่วิญญาณทมิฬที่กำลังเฝ้าคุ้มกัน
กู้เฉิงเฟิงเริ่มกลั้นเสียงหายใจของตัวเอง
นอกจากกู้เจียวและกู้ฉังชิงที่ฝีมือการต่อสู้พัฒนาอย่างก้าวกระโดดตั้งแต่ย้ายมาที่แคว้นเยี่ยนแล้ว ดูเหมือนว่ากำลังภายในของกู้เฉิงเฟิงนับวันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
เขาอยู่อย่างเงียบๆ เพื่อรอโอกาส
เป็นอย่างที่กู้เจียวคิดไว้ไม่ผิด คนอย่างวิญญาณทมิฬไม่มีทางหลงกลล่อเสือออกจากถ้ำง่ายๆ หรอก นอกเสียจาก
หลังจากที่กู้เฉิงเฟิงซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิดเป็นเวลาหนึ่งในสี่ของชั่วยาม และแล้วเขาก็เห็นว่าวิญญาณทมิฬกำลังเดินไปเข้าห้องน้ำ
ได้โอกาสละ!
ความระมัดระวังของผู้คนจะลดลงอย่างมากในเวลาแบบนี้ ระหว่างที่วิญญาณทมิฬกำลังปลดเข็มขัดออก กู้เฉิงเฟิงตัดสินใจยิงลูกดอกออกไปสามดอก
กลับบ้านเก่าไปเสียไอ้คนชั่ว!
ไปเป็นขันทีนักฆ่าที่นรกเสียเถอะ!
ช่วงนี้กู้เฉิงเฟิงขโมยวิชาจากอาจารย์แม่หนานเซียงอยู่บ่อยครั้ง เมื่อวิญญาณทมิฬสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันรุนแรง ร่างกายของเขาตั้งแต่ไรขนไปจนถึงกล้ามเนื้อก็พลันตอบสนองตามสัญชาตญาณ
วิญญาณทมิฬหมดอารมณ์เข้าห้องน้ำแล้ว
“…!!”
“บ้าน่า นี่ข้ายิงพลาดรึ หลบได้อย่างไร นี่มันไม่ใช่คนแล้ว อ๊ากกก…”
วิญญาณทมิฬไล่ล่ากู้เฉิงเฟิงทันที
กู้เฉิงเฟิงรีบจ้ำเท้าด้วยความเร็วที่สุดที่มี!
ตายแล้วตายแน่ๆ ทำไมถึงเร็วขนาดนี้ล่ะ!
เจ้าเด็กบ้า ข้าล่อให้เจ้าหนึ่งก้านธูปไม่ไหวหรอก ครึ่งก้านธูปยังไม่รู้จะได้หรือเปล่าเลย!
กู้เจียวมองดูร่างสองร่างที่กำลังไล่ล่ากันอย่างดุเดือด ก่อนจะพุ่งตัวไปที่ตำหนักหันกุ้ยเฟยอย่างไม่รอช้า
ยามนี้หันกุ้ยเฟยกำลังลงมาที่คุกใต้ดินพร้อมด้วยตะเกียงน้ำมันในมือ
แม้ว่าจะเป็นคุกใต้ดิน แต่ภายก็ยังมีข้าวของเครื่องใช้มากมาย แต่ก็ดูเรียบง่ายราวกับเป็นที่พักของชาวบ้านทั่วไป
และนั่นก็ทำให้พวกเขาดูเผินๆ แล้วดูเหมือนคู่สามีภรรยาแก่ๆ คู่หนึ่ง
ฮ่องเต้ถูกวางยาผงกระดูกอ่อน ส่งผลให้ไร้เรี่ยวแรง ทำได้เพียงนอนอยู่บนเตียงเก่าผุพัง
หันกุ้ยเฟยนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงแล้วมองเขาด้วยรอยยิ้มครึ่งหนึ่ง “ฝ่าบาท อย่าตำหนิหม่อมฉันเลย หม่อมฉัน
บอกแล้วใช่หรือไม่ คนที่บังคับให้หม่อมฉันทำเช่นนี้ ก็คือฝ่าบาท”
ฮ่องเต้จ้องหันกุ้ยเฟยด้วยสายตาอาฆาต นี่เป็นครั้งแรกที่นางใช้ยาพิษกับฮ่องเต้ และดูเหมือนว่านางจะกะปริมาณไม่ถูก ฮ่องเต้ไม่เพียงแต่ขยับตัวไม่ได้เท่านั้น แต่ยังมีอาการชาที่ลำคออีกด้วย
หันกุ้ยเฟยหัวเราะอย่างพอใจ “ฝ่าบาทวางพระทัยเถิด หม่อมฉันไม่ปลงพระชนม์ท่านหรอก”
“เจ้า…” ฮ่องเต้พยายามเค้นเสียงออกมา
เขาคาดไม่ถึงเลยว่านางจะกล้าถึงขนาดจับเขาขังคุก นี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่าการก่อกบฏของตระกูลเซวียนหยวนเสียอีก
อย่างน้อยตระกูลเซวียนหยวนมีทั้งพละกำลังและความกล้า ขณะที่นางเป็นแค่พระสนมตัวเล็กๆ ในวังหลังก็เท่านั้น!
นางคิดหรือว่าหากเขาหายตัวไปแล้วจะไม่มีใครรู้!
ทันใดนั้น หันกุ้ยเฟยก็แสยะยิ้มบาง ราวกับอ่านความคิดของฮ่องเต้ออก “ฝ่าบาท ไม่ต้องกังวลเพคะ ไม่มีใครรู้ว่าฝ่าบาทอยู่ที่ไหน อ้อ อันที่จริงไม่มีใครสังเกตเห็นด้วยซ้ำว่าฝ่าบาทหายไป”
ฮ่องเต้แสดงสีพระพักตร์มึนงง
รอยยิ้มของหันกุ้ยเฟยเริ่มมีเลศนัยมากขึ้น “เมื่อคืนนี้ หลังจากที่ฝ่าบาทเสด็จมาเยี่ยมหม่อมฉันเสร็จก็เสด็จกลับไปยังตำหนักของพระองค์ตามเดิม พอวันรุ่งขึ้น ฝ่าบาทก็ขึ้นว่าราชการตามปกติ พอช่วงบ่าย ฝ่าบาทก็เรียกเจ้ากรมทหารมาประชุมหารือในประเด็นสำคัญ ตกเย็น ฝ่าบาทก็ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามในการอ่านฎีกาในห้องส่วนตัวของพระองค์”
“เจ้า…เจ้า…” สีหน้าของฮ่องเต้เปลี่ยนไปทันที
หันกุ้ยเฟยยกยิ้มด้วยท่าทีหยามเหยียด “ใช่แล้ว หม่อมฉันได้พบคนที่จะมาแทนที่ฝ่าบาทแล้ว ฝ่าบาทคงไม่คาดคิดมาก่อนสินะเพคะ ตอนที่หม่อมฉันขอให้ฝ่าบาทเสด็จมาหา เดิมทีหม่อมฉันวางแผนจะถวายโอกาสสุดท้ายให้ฝ่าบาท ขอแค่เพียงตรัสว่าเชื่อพระทัยหม่อมฉัน หม่อมฉันก็คงไม่เลือกที่จะทำเช่นนี้”
“จริงๆ แล้ว หม่อมฉันก็เคยคิดจะวางยาพิษฝ่าบาทด้วย แต่สิ่งเหล่านั้นจะทำให้ร่างกายของฝ่าบาทได้รับความเสียหาย หม่อมฉันเสียใจเกินกว่าที่จะเห็นฝ่าบาททนทุกข์ทรมานได้”
ฮ่องเต้เริ่มรู้สึกชาไปทั้งตัว
เหตุใดเขาถึงไม่รู้ทันคนบ้าอย่างนางกันนะ!
เอ่ยจบ หันกุ้ยเฟยก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้วยสีหน้าบูดบึ้ง!
หลังจากที่นางเดินออกไปไม่นาน ก็ปรากฏเงาเล็กๆ ย่องเข้ามาในคุกใต้ดินอย่างเงียบๆ
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรตามอย่างหวาดระแวง และในตอนที่เขากำลังจะเปิดปากเอ่ย กู้เจียวก็รีบยกมือแล้วทุบเขาจนสลบ!
ฮ่องเต้ “…”
กู้เจียวแบกร่างของฮ่องเต้ไว้บนไหล่ ก่อนจะรีบพุ่งตัวออกไปในทันที!