สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 803 หลงอีมาแล้ว!
บทที่ 803 หลงอีมาแล้ว!
กู้เจียวสัมผัสได้ถึงจิตสังหารและคมดาบที่รุนแรงทันที “ระวัง!”
ทว่าสายเกินจะหลบทัน กู้เฉิงเฟิงกัดฟันแน่น ตัดสินใจเหวี่ยงร่างพวกเขาขึ้นไปบนหลังคา
โดยคิดเพียงว่า อย่างน้อยยังดีกว่าให้พวกเขาเจ็บตัว ให้เขารับความเจ็บนี้แทน
ทว่าเรื่องราวกลับไม่เป็นแบบนั้น ความรู้สึกที่ควรเจ็บกลับไม่มีเลยสักนิด ปรากฏว่าอีกฟากของหลังคา เงาร่างชายชุดสีน้ำเงินพุ่งลงมาจากฟากฟ้าแล้วจะใช้ดาบป้องกันขาของกู้เฉิงเฟิงไว้
พอหันกลับไปดูให้ชัดว่าเป็นใคร กู้เฉิงเฟิงก็ถึงกับเหวอ “พี่ใหญ่”
กู้ฉังชิงใช้แรงจากฝ่ามือเพื่อผลักร่างเขาขึ้นไปบนหลังคาตรงที่กู้เจียวและฮ่องเต้อยู่
“รีบหนีไป” กู้ฉังชิงเอ่ยแผ่วเบา พร้อมกับส่งสายตาค้อนไปทางวิญญาณทมิฬ
กู้เฉิงเฟิงตกใจเสียจนแทบจะหุบปากไม่อยู่
พะ พะ พะ พะ พะ พะ พี่ใหญ่…มาที่นี่ได้อย่างไร
ไม่ใช่ว่ากำลังนอนพักฟื้นอยู่รึ
หายดีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
แล้วเขารู้ได้ไงว่าพวกเราอยู่ที่นี่
กู้เจียวเองก็ย่นคิ้วด้วยความสงสัย แต่ด้วยความเป็นคนนิ่งอยู่แล้วจึงไม่ได้ออกอาการเท่ากู้เฉิงเฟิง
นี่ก็ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่วันที่เขาบาดเจ็บ แม้อาการของเขาจะฟื้นตัวอย่างคงที่ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาตื่นขึ้นต่อหน้ากู้เจียว
กั๋วซือเองก็บอกว่าไม่เคยเห็นเขาตื่นเลยสักครั้ง
หรือเขาจะเพิ่งมาฟื้นเอาตอนนี้
พอนึกถึงตอนที่เย่ชิงโผล่เข้ามา กู้เจียวเดาว่ากั๋วซือคงรู้แผนการของพวกเขา ก็เลยส่งเย่ชิงมาช่วย อีกทั้งให้กู้ฉังชิงที่เพิ่งจะฟื้นตัวออกมาช่วยอีกแรง
แต่จะว่าไปแล้ว กั๋วซือกับกู้ฉังชิงสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่
กู้เจียวตะโกนบอกกู้เฉิงเฟิง
กู้ฉังชิงหันไปมองพี่ชายด้วยความพะวง “แต่ว่า พี่ใหญ่…”
“เป้าหมายของมันคือฮ่องเต้ ไม่นานมันก็ตามพวกเรามาทัน” กู้เจียวพูดอย่างใจเย็น
อีกความหมายหนึ่งก็คือ พวกเราต้องปลีกตัวออกมาให้เร็วที่สุด กู้ฉังชิงถึงจะมีโอกาสรอดพ้นจากเงื้อมมือของวิญญาณทมิฬ
กู้เฉิงเฟิงหันกลับมามองดูพี่ใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย พลางยกมือปาดน้ำที่เอ่อล้นในตาแดงก่ำของเขา ก่อนจะคว้าร่างของกู้เจียวและฮ่องเต้กระโดดหนีไป
พอเห็นว่าพวกเขาหนีไปแล้ว กู้ฉังชิงจึงถอนหายใจโล่งอก
“ยาตัวนี้สามารถระงับอาการบาดเจ็บของเจ้าได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เจ้ายังไม่หายดี และถึงแม้ว่าข้าจะช่วยเจ้าในการฟื้นฟูและฝึกฝนอย่างลับๆ แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะฟื้นตัวในเวลาอันสั้น พลังของเจ้าอาจไม่ได้กลับมาเหมือนอย่างที่ใจเจ้าหวัง”
กู้ฉังชิงกำดาบในมือแน่นหลังจากนึกถึงคำพูดของกั๋วซือที่ฝากฝังไว้กับเขา
เขามีเวลาเพียงแค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น ก่อนที่เรี่ยวแรงของเขาจะหมดไป
เขาไม่สามารถต่อสู้กับวิญญาณทมิฬได้นาน มิฉะนั้นฤทธิ์ของยาจะยิ่งเสื่อมลง
ดวงตาของวิญญาณทมิฬเริ่มหรี่ลงช้าๆ “อ๋อ ข้านึกออกแล้ว เจ้าคือหลงอ้าวเทียนนี่เอง หึ ตายยากเสียจริง โดนดาบของข้าไปขนาดนั้นแล้วยังรอดมาได้”
กู้ฉังชิงโต้กลับ “ก็จริงอยู่ที่ข้าตายยาก แต่เจ้าอาจไม่เป็นแบบนั้นก็ได้”
“คมดาบของข้าครั้งนั้นแม้จะปลิดชีพเจ้าไม่ได้ แต่รับรองได้เลยว่าอวัยวะภายในของเจ้าต้องแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดีแน่ๆ ข้าขอเดานะ ที่เจ้ามายืนลอยหน้าลอยตาตรงนี้ได้ คงเพราะได้ยาพิษจากกั๋วซือแล้วเปลี่ยนให้เจ้าเป็นทหารหน่วยกล้าตายละสิ” วิญญาณทมิฬแสยะยิ้ม
ม่านตาของกู้ฉังชิงหดลงทันที!
วิญญาณทมิฬยังคงเอ่ยต่อ “แต่ก็แปลกนะ เจ้าดูยังไงก็ไม่เห็นเหมือนทหารหน่วยกล้าตายเลย”
การใช้ยาพิษกับการเป็นทหารหน่วยกล้าตายไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเสียทีเดียว ทหารหน่วยกล้าตายมีด้วยกันสองแบบ แบบที่หนึ่งคือคนร่ำเรียนวิชาทหารหน่วยกล้าตายแต่เด็ก ซึ่งรูปแบบนี้คือทหารหลงอิ่งและทหารหน่วยกล้าตายที่เห็นได้ทั่วไป
ขณะที่อีกแบบคือการใช้ยาพิษชนิดที่ไม่มียาถอน และร่ำเรียนวิชาทหารหน่วยกล้าตายจนช่ำชอง ซึ่งก็คือแบบที่วิญญาณทมิฬกับพิฆาตเวหาเป็นอยู่
ข้อดีของทหารหน่วยกล้าตายแบบแรกคือมีความปลอดภัยกว่า แต่ข้อเสียคืออายุที่จำกัด หากเกินห้าขวบขึ้นไปจะไม่สามรถฝึกได้ อีกทั้งด้านความสามารถสู้ทหารหน่วยกล้าตายแบบที่สองไม่ได้
ขณะที่แบบที่สองข้อดีคือไม่จำกัดอายุ ข้อเสียคือคนที่ถูกวางยาพิษ จากร้อยคนมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะรอดได้
“น้อยคนที่จะรอดจากยาพิษนั้น โดยเฉพาะกับคนอย่างเจ้าที่บาดเจ็บปางตาย ตามหลักแล้วเจ้าไม่ควรรอดมาได้ด้วยซ้ำ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะยานั้น แล้วเจ้ารอดมาได้อย่างไร”
ความอยากรู้อยากเห็นของพวกทหารวิญญาณทมิฬถูกกระตุ้นทันใด “หากเจ้ายอมคายความลับของเจ้า ไม่แน่ข้าอาจจะยอมปล่อยเจ้าไป”
กู้ฉังชิงได้ยินดังนั้นจึงถามกลับด้วยท่าทีจริงจัง “หากเจ้าอยากรู้จริงๆ ทำไมเจ้าไม่ตอบคำถามสักสองสามข้อให้ข้าก่อน เมื่อเจ้าตอบคำถามเหล่านั้นจนข้าพอใจแล้ว ข้าจะยอมบอกความลับของข้าให้เจ้าฟัง!”
“ยังหนุ่มยังแน่นนัก อย่าลีลาหน่อยเลย” แม้พวกมันจะยอมรับว่าอยากรู้ปาฏิหาริย์ของหลงอ้าวเทียน แต่ไม่มีทางที่จะยอมให้อีกฝ่ายมาจูงจมูกโดยเด็ดขาด
“เจ้ารอดตัวไปนะวันนี้ หลังจากพวกข้าสะสางภารกิจเสร็จ พวกข้าจะไปเยี่ยมเจ้าที่ตำหนักกั๋วซือเพื่อหาคำตอบอย่างแน่นอน!”
“คิดจะหนีรึ คิดน้อยไปกระมัง!” กู้ฉังชิงเอ่ยพร้อมกับเล็งดาบไปทางวิญญาณทมิฬ
ทว่าอีกฝ่ายไวกว่าที่เขาคาดไว้มาก แค่ฝ่ามือเดียวของวิญญาณทมิฬ ดาบของกู้เฉิงเฟิงก็ร่วงลงทันที!
รู้ตัวอีกที วิญญาณทมิฬก็หายตัวไปในความมืดแล้ว
กู้ฉังชิงรีบกำดาบในมือแน่นด้วยความโทสะ
ในที่สุด กู้เฉิงเฟิงก็ยอมแยกทางหนีกับกู้เจียว โดยคิดเพียงว่าอย่างน้อยในเมื่อฮ่องเต้อยู่กับเขา วิญญาณทมิฬคงไม่ไล่ตามกู้เจียวแน่ๆ
แบบนี้น่าจะปลอดภัยกว่า
แต่พอแยกกันสักพัก เขาก็ได้ยินเสียงนกหวีดดังขึ้น
กู้เฉิงเฟิงตัวแข็งทื่อทันที แย่ละ! ลืมเสียสนิทเลยว่ายัยเด็กนั่นมีนกหวีดอยู่ในมือ!
ซวยแล้วซวยแล้ว!
ถ้ามันได้ยินเข้า ยัยเด็กนั่นไม่รอดแน่!
กู้เฉิงเฟิงเตรียมหันหลังกลับจะวิ่งไปช่วยกู้เจียว
แต่ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่า เขาทำแบบนั้นไม่ได้
ถ้าพวกเขาสามคนอยู่ด้วยกัน อีกฝ่ายต้องได้ตัวฮ่องเต้ไป แล้วจัดการฆ่าพวกเขาทิ้งทันที
เขาต้องหนี!
หนีไปให้ไกลที่สุด!
หากมันรู้ว่าฮ่องเต้ไม่ได้อยู่กับนาง ก็คงไม่เสียเวลาไล่ตามต่อ
กู้เฉิงเฟิงกำหมัดกัดฟันแน่นพร้อมกับแบกฮ่องเต้วิ่งไปข้างหน้าอย่างสุดชีวิต
ตามคาด พอวิญญาณทมิฬได้ยินเสียงนกหวีด ก็รีบพุ่งตัวตามเสียงไปทันที วิญญาณทมิฬเหาะเหินบนชายคาที่สูงชันได้คล่องแคล่วราวกับกำลังเดินอยู่บนพื้น
ไม่ช้า เขาก็เจอตัวกู้เจียว
กู้เจียวหยุดฝีเท้าลงทันที
นางเตรียมวิ่งหนีไปอีกทาง
ทว่าวิญญาณทมิฬลอยตัวขึ้นแล้วเข้าไปขวางอย่างรวดเร็ว
กู้เจียวเบือนหน้าลงทันทีพร้อมกับบ่นในใจ ไม่ได้วิชาตัวเบานี่มันเสียเปรียบแท้!
“พวกเขาอยู่ที่ไหน” วิญญาณทมิฬถามขึ้น
“เก่งจริงก็หาเองสิ” กู้เจียวตอบ
“เจ้าหนุ่ม แต่เจ้าตายได้แค่ปลายนิ้วของข้านะ ถ้าฉลาดหน่อย ข้าจะทำให้เจ้าตายแบบไม่รู้สึกเจ็บ” วิญญาณทมิฬค่อยๆ ย่องเท้าเข้าไปใกล้ๆ กู้เจียวพร้อมกับพูดขู่
ทว่ากู้เจียวกลับแค่นหัวเราะ “ถ้าเจ้าฆ่าข้า คิดหรือว่าฝ่าบาทจะรอดไปได้!”
ฝีเท้าของมันหยุดลงทันที
“ที่ข้าลักพาตัวฮ่องเต้มาก็เพื่อตัวข้าเอง ข้าทำเพื่อปกป้องชีวิตข้า แต่ถ้าเจ้าคิดจะกำจัดข้า เช่นนั้นความเป็นความตายของฮ่องเต้ก็ไม่จำเป็นสำหรับข้าอีกต่อไป หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองดู แล้วจะได้เห็นดีกัน!” ฝีมือการเล่นละครของกู้เจียวเรียกได้ว่าพัฒนาได้ทันท่วงทีโดยเฉพาะในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้
ดูเหมือนว่าวิญญาณทมิฬกำลังวิเคราะห์คำพูดของกู้เจียวอย่างจริงจัง
ผ่านไปสักพัก เขาก็โพล่งหัวเราะออกมา “เจ้าหนุ่ม ข้าขอย้ำอีกรอบนะ ส่งฮ่องเต้มาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นเจ้าตายแน่”
กู้เจียวเลิกคิ้วขึ้น “ถ้าข้าทำแบบนั้น เจ้าจะไว้ชีวิตข้ารึ”
“ข้าก็จะฆ่าเจ้าอยู่ดี”
กู้เจียวยกมือกอดอก “ก็นั่นน่ะสิ แล้วเหตุใดข้าต้องส่งฮ่องเต้ให้เจ้าด้วย!”
ขณะที่กำลังเอ่ยอยู่นั้น สายตาของกู้เจียวก็ทำเป็นมองไปทางเพิงม้าที่ถูกทิ้งร้างที่อยู่ด้านหลัง
“ซ่อนอยู่ในนี้สินะ” จากนั้นวิญญาณทมิฬก็เข้าไปพังเพิงม้าจนพังทลายลงมา ก่อนจะพบว่าไม่มีใครอยู่ข้างในนั้นแม้แต่คนเดียว
“เจ้าหนุ่ม หลอกข้ารึ!”
“ช้าก่อน!” กู้เจียวยกมือปราม “ข้าจะส่งตัวฮ่องเต้ให้เจ้าก็ได้ แต่มีข้อแลกเปลี่ยน ข้าต้องการเห็นใบหน้าที่อยู่ภายใต้หน้ากากของเจ้า ในแคว้นทั้งหกไม่เคยมีผู้ใดได้ยลโฉมใบหน้าที่แท้จริงของวิญญาณทมิฬและพิฆาตเวหามาก่อน ไหนๆ ข้าก็จะตายแล้ว ช่วยทำให้คำขอเล็กๆ น้อยๆ ของข้าสมหวังที”
กู้เจียวต้องการยื้อเวลาให้ได้นานที่สุด
เฮยเฟิงกำลังมาที่นี่
โอกาสที่จะได้ทางหนีทีไล่กำลังใกล้เข้ามาแล้ว
วิญญาณทมิฬโต้กลับอย่างเหยียดหยาม “เจ้าหนุ่ม เจ้าไม่มีสิทธิ์เจรจากับข้า! ความอดทนของข้าหมดลงจริงๆ แล้วนะ ถ้าเจ้าไม่ยอมส่งคนมา ข้าจะต้องตายสถานเดียว! ข้าไม่เชื่อคำพูดพล่อยๆ ของเจ้าหรอก สหายเจ้าจะพาฮ่องเต้หนีไปได้ไกลแค่ไหนเชียว!”
กู้เจียวชี้นิ้วไปทางด้านหลังเขาพร้อมกับร้องตะโกน “อ๊ะ นั่น! พิฆาตเวหา!”
แม้เขาจะไม่เชื่อคำพูดของกู้เจียว แต่วิญญาณทมิฬกลับหันไปโดยไม่รู้ตัว
และเป็นอีกครั้งที่เขาโดนเจ้าหนุ่มคนนี้หลอก กู้เจียวใช้จังหวะนี้เขวี้ยงลูกระเบิดใส่ทันที
วิญญาณทมิฬถอยหลังไปสิบก้าวอย่างรวดเร็วเพื่อหลบแรงระเบิด
กู้เจียวรีบใช้จังหวะนี้วิ่งเลี้ยวหนีออกไปอีกทาง
“เฮยเฟิง!”
กู้เจียวเบิกตากว้างเมื่อเห็นเจ้าเฮยเฟิงวิ่งเข้ามาใกล้ จนลืมความรู้สึกเจ็บที่เท้าไปเสียสนิท
วิญญาณทมิฬโกรธจัด ก่อนจะรีบวิ่งตามกู้เจียวไปพร้อมกับเอามือฟาดลงกำแพงที่อยู่ด้านข้าง!
ทำให้กำแพงที่เดิมอยู่ในสภาพทรุดโทรมอยู่แล้วเกิดทลายลงและกำลังจะทับร่างของกู้เจียว!
“คราวนี้คงไม่มีใครมาช่วยเจ้าได้แล้วสินะ!”
ทันทีที่วิญญาณทมิฬเอ่ยจบ จู่ๆ ก็มีร่างสีดำบินพุ่งออกมาจากความมืด ก่อนจะเข้าคว้าร่างกู้เจียวด้วยลำแขนที่ยาวอันแข็งแรงออกจากซากกำแพงที่กำลังพังลงมา!
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก กู้เจียวรู้สึกเพียงแค่ร่างของตัวเองถูกเหวี่ยงแรงจนเกือบปลิว
พอได้อยู่นิ่งๆ แล้ว รู้ตัวอีกกู้เจียวก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในท่าที่ทั้งหัวและเท้าดิ่งพื้น กู้เจียวมองเงาบนพื้นที่สะท้อนกับแสงจันทร์ พ่นฝุ่นที่อยู่เต็มปากออกมาด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก ก่อนจะเอ่ยทักทายชายร่างใหญ่ที่กำลังแบกนางอยู่ “ไม่เจอกันนานเลยนะ…หลงอี”