สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 805 รัวหมัดใส่วิญญาณทมิฬ!
บทที่ 805 รัวหมัดใส่วิญญาณทมิฬ!
คนคนนี้หาใช่พิฆาตเวหาในความทรงจำไม่
เกิดอะไรขึ้นกับพิฆาตเวหากันนะ
ถึงได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
อีกทั้งสายตาที่พิฆาตเวหามองมาที่เขานั้น ราวกับกำลังมองคนแปลกหน้า ราวกับไม่เคยรู้จักเขามาก่อน
ทั้งๆ ที่เขารู้สึกคุ้นเคยกับพิฆาตเวหา แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่รู้สึกแบบเดียวกัน
หลงอีคว้าหน้ากากของตัวเองกลับมาสวมต่อพร้อมกับใส่หมัดให้วิญญาณทมิฬอีกครั้ง
หลังจากที่รู้แล้วว่าอีกฝ่ายคือพิฆาตเวหา ดังนั้นวิญญาณทมิฬไม่อาจรับแรงหมัดจากพิฆาตเวหาได้อีกต่อไป
เขารีบเบี่ยงตัวหลบ แล้วตะโกนใส่หลงอี “เจ้าเป็นบ้าไปแล้วรึ! นี่ข้าเอง!”
กู้เจียวผู้เห็นเหตุการณ์ก็ถึงกับร้องอ๋อด้วยน้ำเสียงประหลาด และเริ่มรู้สึกมั่นใจว่าหลงอีคือพิฆาตเวหา คู่ต่อสู้ที่แท้จริงของวิญญาณทมิฬ
แต่คำเอ่ยที่ออกจากปากวิญญาณทมิฬนั้นก็ฟังดูพิลึก ต่างฝ่ายต่างควรจะรู้จักกันสิ
หรือว่าหลงอีจะจำเหตุการณ์ในอดีตไม่ได้แล้ว
ก็เลยจำวิญญาณทมิฬไม่ได้
กู้เจียวชำเลืองไปทางวิญญาณทมิฬพร้อมกับพึมพำ “ดูเหมือนวิญญาณทมิฬเสียขวัญอย่างเห็นได้ชัด เมื่อก่อนคงจะเคยถูกพิฆาตเวหาเล่นงานจนอ่วมอยู่บ่อยครั้งสิท่า”
หลังจากที่วิญญาณทมิฬค้นพบว่าอีกฝ่ายคือพิฆาตเวหา ก็แสดงท่าทีตื่นตระหนกครู่หนึ่ง นี่เป็นความกลัวที่ฝังอยู่ในกระดูกดำของเขา
แต่มีอยู่ประโยคหนึ่งที่เขาบอกกันว่า เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน
พิฆาตเวหาไม่ใช่พิฆาตเวหาเหมือนเมื่อยี่สิบปีที่แล้วอีกต่อไป วิญญาณทมิฬเองก็เช่นกัน
ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา วิญญาณทมิฬไม่เคยยอมแพ้แม้แต่นาทีเดียว ขณะที่ฝั่งพิฆาตเวหา ดูเหมือนว่าเขาจะลืมทักษะก่อนหน้านี้ของเขาด้วยซ้ำ รังสีอำมหิตของเขาลดลงอย่างมาก และความแข็งแกร่งของเขาก็อ่อนแอลงมากเช่นกัน
พอคิดได้ดังนั้น จิตใจของวิญญาณทมิฬก็เริ่มสงบนิ่งลง
ตอนแรกเขาเพิ่งละเว้นจากการฆ่าเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอต่อมากลับตัดสินใจยับยั้งมือและเท้าของตัวเองด้วยความกลัว แต่หลังจากที่คิดได้ดังนี้แล้ว ท้ายที่สุดเขามองว่า พิฆาตเวหาไม่ใช่คนที่น่ากลัวอีกต่อไป
ถึงแม้เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขารู้เพียงแค่พิฆาตเวหาในตอนนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอีกต่อไป!
วิญญาณทมิฬร่อนตัวลงบนก้อนอิฐที่อยู่ตรงเสาชายคา ก่อนจะหันไปจ้องหลงอีด้วยสายตาเยียบเย็น “นี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่ข้าต้องการ ถึงข้าจะกำจัดเจ้าได้ ก็ไม่ทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นเลย แต่เจ้ากลับมองข้าเป็นศัตรูและเลือกที่จะปกป้องเจ้าเด็กนั่น อย่าหาว่าข้าเอาเปรียบก็แล้วกัน! ไปตายเสีย พิฆาตเวหา”
พิฆาตเวหา
ทันใดนั้น สมองของหลงอีก็เบลอทันที
แววตาของเขาเริ่มเผยให้เห็นความสับสน
“หลงอี! ระวัง!”
กู้เจียวตะโกนร้องเตือน
แต่สายเกินไป ฝ่ามือนี้ของวิญญาณทมิฬกระแทกตรงเข้าหน้าอกของหลงอีไปเต็มๆ
ร่างของหลงอีถูกผลักออกจนกระเด็นราวกับกระสอบทรายที่ถูกโยนทิ้งลงพื้นก่อนจะกลิ้งตลบไปกระแทกกำแพงด้านหลังที่ทั้งเย็นและแข็งจนเกิดเป็นรู
วิญญาณทมิฬกระโดดแล้วมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าหลงอี เขาเอื้อมมือออกไปคว้าเขาออกจากหลุมแล้วเตะเขาลงไปที่พื้น
“พิฆาตเวหาที่ไร้ความอาฆาตนี่มันช่างอ่อนแอสิ้นดี!”
เอ่ยจบ เขาก็เตะหลงอีอีกครั้ง
หลงอีได้แต่นอนมองฟ้า ไม่แสดงท่าทีหลบหลีกหรือป้องกันตัวเองแต่อย่างใด
กู้เจียว “แย่ละ หลงอีได้ยินชื่อพิฆาตเวหาแล้ว…ต้องแย่แน่ๆ ”
ทันใดนั้น กู้เจียวจึงตัดสินใจเขวี้ยงกล่องกลไกของกู้เสี่ยวซุ่นออกไปทางวิญญาณทมิฬ!
ทักษะของเสี่ยวซุ่นนั้นไม่เลวเลย กล่องกลไกนี้แม้จะไม่รุนแรงเท่าของปรมาจารย์หลี่ว์ แต่อย่างน้อยก็ทำให้คอของอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ
กลิ่นคาวของเลือดคละคลุ้งไปทั่วจมูกของวิญญาณทมิฬ
เขาวางเท้าที่กำลังเหยียบหลงอีอยู่ลง ก่อนจะหันกลับมามองกู้เจียวอย่างเย็นชา “เจ้าหนุ่ม ถ้าอยากรีบตายนัก ข้าจะสนองเจ้าเอง!”
กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ “เอ่อ…ไม่ต้องก็ได้”
วิญญาณทมิฬใช้วิชาตัวเบาทั้งหมดจนชุดยาวสีดำของเขากระทบกับลมจนเกิดเสียงแหลมเล็ก
เขาพุ่งตัวขึ้น ขณะที่กำลังจะพ้นเขตที่หลงอีเคยปักดาบไว้ ทันใดนั้น เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างมาจากทางด้านหลัง
คิ้วของเขากระตุกขึ้นทันที พอหันไปดู ก็พบกับหลงอีผู้ซึ่งไม่ควรจะลุกขึ้นได้แล้ว กลับยืนขึ้นราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
หลงอีไวมากเสียจนวิญญาณทมิฬแทบมองตามไม่ทัน แค่ในเวลาชั่วพริบตาเดียว หลงอีก็ปรากฏกายและยืนเป็นเกราะกำบังให้กู้เจียวอยู่ด้านหน้า
ผู้ใดล้ำเส้นจะต้องตายสถานเดียว!
หลงอียื่นมือเข้าไปบีบคอของวิญญาณทมิฬแล้วยกขึ้น ก่อนจะทุ่มลงบนพื้นอย่างไม่ปราณี!
ไม่รู้ว่ากระดูกของวิญญาณทมิฬจะหักไปกี่ชิ้น ไหนจะอวัยวะภายในของเขา แล้วเขาก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดทันที!
เป็นไปไม่ได้…
เป็นไปไม่ได้!
เห็นได้ชัดว่าไม่เหลือรังสีอำมหิตแล้ว เหตุใดถึงยังสู้ไม่ได้อีก!
แม้หลงอีจะไม่มีความอาฆาตหลงเหลือแล้ว แต่สิ่งที่เขามีกลับเป็นพลังแห่งการปกป้องแทน
การพบกันในรอบยี่สิบปีจบลงด้วยความพ่ายแพ้อันน่าสลดใจของวิญญาณทมิฬ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหลงอีที่จะกำจัดเขาได้
คนที่จะฆ่าเขาได้ มีเพียงพิฆาตเวหาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารเท่านั้น
เขาจะแสดงจุดอ่อนต่อหน้าพิฆาตเวหาคนเก่าเท่านั้น!
“วันนี้ข้าแพ้เจ้า แต่ข้าจะไม่ยอมแพ้เจ้าตลอดไปหรอก ไว้พบกันใหม่!”
วิญญาณทมิฬกุมหน้าอกอันเจ็บปวด ก่อนจะโยนลูกระเบิดสีดำไปทางหลงอีแล้วใช้จังหวะนี้หลบหนีออกไป
กู้เจียวเอามือลูบคาง “เจ้านี่ก็มีลูกระเบิดติดตัวเหมือนกันหรือนี่ เลยเอามาใช้หนีสินะ แต่ดูเหมือนลูกระเบิดของเขากับของข้าไม่เหมือนกันเลย ของเขาเป็นเหมือนระเบิดควันมากกว่า ไว้กลับไปข้าจะลองทำดู”
“หลงอี” กู้เจียวลงจากม้า ทันทีที่เท้าแตะพื้นก็ระลึกขึ้นได้ว่าเท้าข้างขวานั้นพลิกอยู่ เลยเปลี่ยนมาลงน้ำหนักที่เท้าซ้าย จากนั้นเอ่ยกับหลงอี “ขอข้าดูหน่อยว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่”
ร่างกายของหลงอีมีรอยขีดข่วนและอาการบาดเจ็บ แต่ไม่มีอาการบาดเจ็บที่อวัยวะภายใน
“ข้าไม่ได้เอากล่องยามา ไว้กลับไปข้าจะทำความสะอาดแผลให้เจ้า” กู้เจียวเอ่ย
สายตาของหลงอีจ้องไปทีเท้าขวาของกู้เจียว
“มันชาแล้วล่ะ” กู้เจียวเอ่ยพร้อมกับยกมุมปากขึ้น
หลงอีพยักหน้า ย่อตัวลง จากนั้นช้อนร่างของกู้เจียวขี้นมา
กู้เจียว “…”
–
กู้เจียวตัดสินใจกลับไปตามเส้นทางเดิม เพื่อไปหากู้ฉังชิงและเย่ชิง
หวังว่าพวกเขาจะไม่เป็นอะไร
ทั้งศีรษะและเท้าของกู้เจียวในตอนนี้อยู่ในสภาพดิ่งพื้น “โดนแบกแบบนี้รู้สึกปวดหัวจัง ข้าอยากขี่ม้า” กู้เจียวเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
สิ่งที่หลงอีได้ยิน เสียงพึมพำว่า ขี่ม้า ปวดหัว
แล้วกู้เจียวก็ถูกอุ้มอย่างนั้นมาตลอดทาง
พอได้เจอกู้ฉังชิง ก็พบเขาอยู่ในสภาพหมดสติแล้ว
กู้เจียวจึงเข้าไปวัดชีพจรและตรวจร่างกายของเขา ร่างกายเขาไม่ได้มีแผลใหม่เกิดขึ้นแต่อย่างใดจึงวางใจไปเปราะ
กู้เจียวไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างวิญญาณทมิฬกับกู้ฉังชิง และคิดไปว่าที่วิญญาณทมิฬไม่สู้กับกู้ฉังชิงนั้นก็เพราะไม่อยากเสียเวลา
หลงอีจึงช่วยแบกร่างของกู้ฉังชิงขึ้นบนหลังม้า
ไม่นานพวกเขาก็เจอกับเย่ชิง
ซึ่งเย่ชิงและคนอื่นๆ ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยทีเดียว
แปลกนัก
วิญญาณทมิฬทำร้ายเย่ชิง แต่เว้นกู้ฉังชิงไว้เนี่ยนะ
โจมตีแบบเลือกหน้าตารึไง
กู้เจียวเรียกรถม้าเพื่อส่งเย่ชิงและคนอื่นๆ กลับตำหนักกั๋วซือ
กู้เฉิงเฟิงรอรับพวกเขาอยู่ที่ตำหนักฉีหลินอยู่นานแล้ว เมื่อเห็นว่ากู้เจียวกลับมาได้อย่างปลอดภัยก็รู้สึกโล่งราวกับได้ยกหินออกจากอก
ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากถามกู้เจียวว่ารอดมาได้อย่าง ก็เจอกับหลงอีที่อยู่ด้านหลังกู้เจียว
“เกิดอะไรขึ้น หลงอีมาที่นี่ได้อย่างไร” กู้เฉิงเฟิงชะงักงัน
กู้เจียวได้แต่แบมือเปล่า “ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน”
น่าเสียดายที่หลงอีพูดไม่ได้ เขียนก็ไม่เป็น สื่อสารกับใครไม่ได้เลย
แต่เดี๋ยวก่อนนะ ขนาดวิญญาณทมิฬยังพูดได้ แปลว่าหลงอีก็ต้อง…เคยพูดได้มาก่อนสิ!
เขาเคยสูญเสียความทรงจำ อีกทั้งทหารหลงอิ่งทุกคนถูกฝึกให้ไม่พูดคุย หลงอีเลยเป็นแบบนี้สินะ
จากนั้นหลงอีก็เริ่มเข้าออกทีละห้อง
กู้เจียวรู้ในทันทีว่าเขากำลังตามหาเซียวเหิง
จนถึงตอนนี้ กู้เจียวก็ยังไม่รู้ว่าเขามาที่นี่ได้อย่างไร
สมมติว่าเขาเดินทางมาที่นี่คนเดียว แล้วเขาหาทางมาได้อย่างไร ขนาดตัวเองเป็นใครเขายังจำไม่ได้เลย ยิ่งถนนหนทางที่แคว้นเยี่ยนยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง
ถ้าเกิดเขาไม่ได้เดินทางมาคนเดียว ใครกันที่เป็นคนพาเขามา
จนถึงตอนนี้หลงอีก็ไม่ได้มีท่าทีจะออกไปหาใครแม้แต่นิด
สัญชาติญาณของกู้เจียวมองว่าที่หลงอีมาที่นี่ ไม่ใช่เพราะองค์หญิงซิ่นหยางส่งมา แม้ไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของเขาคืออะไร แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะปกป้องคนของเขา
กู้เจียวเดินเข้าไปดึงชายเสื้อหลงอีที่มัวแต่ง่วนกับการตามหาเซียวเหิงแล้วเอ่ย “อาเหิงไม่อยู่ที่นี่ เดี๋ยวข้าให้กู้เฉิงเฟิงพาเจ้าไปหาเขานะ”
กู้เฉิงเฟิงชี้นิ้วมาที่ตัวเองทันที “ไยต้องเป็นข้าด้วยเล่า”
ให้อยู่ด้วยกันกับหลงอีตามลำพังเนี่ยนะ น่ากลัวจะตาย
กู้เฉิงเฟิงกระแอมในลำคอหนึ่งที ก่อนถาม “เจ้าไม่กลับตำหนักกั๋วซือรึ”
“ข้ายังมีธุระอีกนิดหน่อย” กู้เจียวตอบ
หลังจากที่กู้เจียวรักษาอาการบาดเจ็บของหลงอีแล้ว ก็ขอให้กู้เฉิงเฟิงพาเขาและฮ่องเต้ที่หมดสติขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปยังตำหนักกั๋วซือ
จากนั้นกู้เจียวก็ไปหากู้ฉังชิงที่ห้องตรวจผู้ป่วยสาหัส
อาการของกู้ฉังชิงในตอนนี้ต่างกับตอนที่เขาเพิ่งฟื้นอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าเขาจะฟื้นตัวมานานแล้ว ซ้ำยังแอบทำอะไรลับหลังนาง
“ในเมื่อเขาพักอยู่ที่นี่ แสดงว่าในห้องนี้ต้องมีเงื่อนงำอะไรบางอย่างสินะ”
จากนั้นจึงเริ่มควานหาที่โต๊ะข้างเตียง ตู้ยา และแม้แต่ใต้เตียง กลายเป็นว่ากู้เจียวเจอกับอะไรบางอย่างเข้าแล้วจริงๆ
กู้เจียวหยิบกล่องเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่บนโต๊ะข้างเตียงออกมาเปิดออก ก่อนจะพบขวดแปลกๆ และหนังสือเล่มเล็กสองสามเล่มที่มีขอบสีเหลือง
กู้เจียวขมวดคิ้วขณะอ่านชื่อที่อยู่บนหนังสือทีละเล่ม ‘ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับทหารหน่วยกล้าตาย’ ‘เคล็ดลับแห่งความสำเร็จสำหรับทหารหน่วยกล้าตาย’ ‘สอนให้เจ้ากลายเป็นทหารหน่วยกล้าตายในสิบวัน’ ‘การฝึกฝนตนเองของทหารหน่วยกล้าตาย’ …นี่มันอะไรกันเนี่ย”
แล้วก็บังเอิญที่จังหวะนั้น กั๋วซือเดินเข้ามาในห้องพอดี
กู้เจียวสุ่มหยิบหนังสือขึ้นมาหนึ่งเล่มพร้อมกับมองเขาด้วยสีหน้าราบเรียบ
กั๋วซือได้แต่กระแอมเบาๆ “เรื่องนี้ข้าอธิบายได้”