สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 806 คนที่เขาอยากปกป้อง
บทที่ 806 คนที่เขาอยากปกป้อง
สายตาของกู้เจียวฉายแววดุดันในทันที “ขอเหตุผลดีๆ ด้วยล่ะ”
ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน ต่อให้ท่านจะอาวุโสกว่าก็ตาม!
แม้ใจตอนนี้อยากจะทุบคนตรงหน้าแค่ไหนก็เถอะ!
กั๋วซือเดินเข้ามาหากู้ฉังชิงที่ยังอยู่ในสภาพสลบไสล ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เขาเป็นคนเลือกเอง”
“อธิบายให้ชัดกว่านี้” กู้เจียวเอ่ย
กั๋วซือเอ่ยต่อ “เขาถูกดาบของวิญญาณทมิฬแทงเข้าเต็มๆ จนอวัยวะภายในเสียหายและล้มเหลวอย่างหนัก…เจ้าเป็นหมอ ย่อมรู้ดีว่าเขาไม่มีทางรอดแล้ว”
กู้เจียวไม่ปฏิเสธ
ตอนที่นางผ่าตัดให้เขา นางรู้แล้วว่าสถานการณ์ของเขานั้นเลวร้ายเพียงใด
มิฉะนั้นตอนที่กั๋วซือเคยถามว่าหากกู้ฉังชิงกลายเป็นคนพิการ กู้เจียวคงไม่ตอบว่า ‘ข้าจะดูแลเขา’ แทนที่จะเป็น ‘ข้าจะรักษาเขา’
หากว่าตามมุมมองแพทย์ ไม่มีหนทางที่จะรักษากู้ฉังชิงได้เลย
“ท่านก็เลยเปลี่ยนให้เขาเป็นทหารหน่วยกล้าตายรึ” กู้เจียวถาม
กั๋วซือตอบด้วยความเหนื่อยหน่าย “ข้าบอกแล้วว่าเขาเลือกวิธีนี้เอง ข้าก็แค่เสนอหนทางให้เขา”
ทำให้กู้เจียวนึกถึงบทสนทนาที่เคยเกิดขึ้นในห้องนี้
“ตอนที่ท่านถามข้าว่า ‘ถ้าเกิดเขาพิการขึ้นมา แล้วข้าจะทำอย่างไร’ ท่านรู้แล้วว่าเขาได้ยิน ท่านอยากให้เขาได้ยินคำตอบของข้า ให้เขารู้สึกละอาย ให้เขารู้สึกไม่อยากให้ข้าลำบากใจ”
กั๋วซือได้แต่อ้าปากค้าง และไม่ปฏิเสธสิ่งที่กู้เจียวเอ่ย
กู้เจียวจดจ้องใบหน้าอิดโรยของกั๋วซือด้วยแววตาวาวโรจน์อันเย็นชา “ก็เพราะแบบนี้ ท่านยังมีหน้ามาเอ่ยอีกว่าเขาเลือกเองเนี่ยนะ”
กั๋วซือยกกำปั้นขึ้นมาบดบังริมฝีปากของตัวเอง “อะแฮ่ม ก็ได้ ข้ายอมรับว่าข้าเล่นสกปรก แต่ว่า…”
กู้เจียวเอ่ยแทรกทันที “ท่านอย่าได้เอ่ยว่าทำไปเพื่อข้าโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าท่าน”
กั๋วซือตกตะลึงเสียจนแทบจะเอ่ยออกไปว่า ต้องกล้าขนาดไหนถึงคิดจะปลิดชีวิตกั๋วซือ
“ช่างเถอะ ตามใจเจ้าเลย”
กั๋วซือบ่นอุบอิบ
“ท่านบ่นอะไรของท่าน” กู้เจียวถาม
“ที่ข้าจะบอกก็คือ นี่เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้เขากลับมาเป็นปกติ แม้โอกาสสำเร็จน้อย แต่ยังดีกว่าปล่อยให้เขาเป็นคนพิการ เขาเป็นคนมีศักดิ์ศรีแค่ไหนเจ้าก็รู้ดี ให้เขาตายเสียยังจะดีกว่ามีชีวิตอยู่ในสภาพนั้น”
คำเอ่ยของเขาทำให้กู้เจียวนึกย้อนไปตอนที่ฝันถึงกู้ฉังชิง ในฝันเป็นภาพเหตุการณ์สงครามชายแดน พวกอดีตจักรพรรดิร่วมมือกับแคว้นเฉินทำร้ายกู้ฉังชิงจนกลายเป็นคนพิการและตกอยู่ในสภาพตายทั้งเป็น
กั๋วซือยังคงเอ่ยต่อ “ข้าก็เลยเสนอวิธีให้กับเขา หากเขาไม่อยากเป็นคนพิการ มีทางเดียวคือต้องพึ่งยาพิษและเป็นทหารหน่วยกล้าตาย เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนที่ตำหนักกั๋วซือ”
กู้เจียวชะงักทันที “ยาตัวเดียวกับที่ใต้เท้าห้าหันได้รับใช่หรือไม่”
กั๋วซือพยักหน้า “ใช่แล้ว ยาพิษที่โอกาสรอดชีวิตมีเพียงแค่น้อยนิด หากร่างกายทนฤทธิ์ของยาได้ ก็จะกลายเป็นทหารหน่วยกล้าตาย”
พิฆาตเวหากับวิญญาณทมิฬก็ใช้วิธีนี้ในการเป็นทหารหน่วยกล้าตาย
โอกาสที่จะรอดชีวิตหลังจากได้รับพิษมีน้อย และในบรรดาผู้ที่รอดชีวิตทั้งหมดกลายเป็นทหารหน่วยกล้าตาย เว้นแต่กรณีของใต้เท้าห้าหัน ความเกี่ยวข้องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ระหว่างการรับยาพิษกับการเป็นทหารหน่วยกล้าตายนั้นเป็นอย่างไร ทุกวันนี้ยังไม่มีใครรู้คำตอบ
ทว่ากรณีของใต้เท้าห้าหันหลังจากได้รับยาพิษ แต่สุดท้ายก็ต้องมาทุกข์ทรมานกับอายุไขที่สั้นลง เห็นได้ชัดว่ายาพิษชนิดนี้มีผลข้างเคียงที่รุนแรง
“พิษชนิดนี้แปลกมาก คนส่วนใหญ่ไม่สามารถทนมันได้ แต่สำหรับคนที่ทนได้ ร่างกายก็จะเกิดพลังที่มหาศาล ข้าเรียกขั้นตอนนี้ว่า ‘การคัดกรอง’”
“การคัดกรองรึ” กู้เจียวย่นคิ้ว
“เป็นการคัดสรรของกรรมพันธุ์ในแต่ละคน” กั๋วซือกล่าวพร้อมกับจ้องเขม็งมาทางกู้เจียว
กู้เจียวที่กำลังก้มหัวใจลอยครุ่นคิด ไม่รู้ตัวว่าถูกจ้องอยู่
พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที แววตาที่จริงจังของกั๋วซือก็หายไปแล้ว
“ยาชนิดนี้ได้มาจากไหน” กู้เจียวถาม
“สกัดจากลำต้นของพืชสีม่วง ซึ่งตอนนี้กลายเป็นพืชที่หายากแล้ว” กั๋วซือกล่าว
น่าเสียดายจริงๆ ถ้ารู้ว่ามันอยู่ที่ไหนคงเอากลับมาศึกษาได้บ้าง
กู้เจียวถามต่อ “แล้วยาที่ท่านเอาให้กู้ฉังชิงล่ะ”
“ยานั้นเป็นยาขวดสุดท้ายในตำหนัก ข้าให้เขาใช้หมดแล้ว”
กู้เจียวนึกเสียดายในใจอีกครั้ง ก่อนจะถามต่อ “ว่าแต่ เหตุใดถึงไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายของความเป็นทหารหน่วยกล้าตายจากกู้ฉังชิงเลยล่ะ”
“นั่นก็เพราะ…เขาไม่ได้เป็นทหารหน่วยกล้าตายน่ะสิ” กั๋วซือตอบ
กู้เจียวเริ่มไม่เข้าใจ “หมายความว่าอย่างไร”
กั๋วซือยิ้มเจื่อน “หลังจากที่ข้าให้ยาเขาไป ก็เพิ่งมาค้นพบทีหลังว่า ยานั้นมันหมดอายุแล้ว”
กู้เจียว “…”
“แล้วตอนนี้เขา…”
กั๋วซืออธิบายต่อด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ “คิดไปเองว่าตัวเองเป็นทหารหน่วยกล้าตายแล้วจริงๆ ”
กู้เจียว “…”
กั๋วซือเองก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ หลังจากที่ให้ยากับกู้ฉังชิงไป วันต่อมาเขาถึงได้พบว่ายาหมดอายุแล้ว จึงรีบมาดูอาการกู้ฉังชิงทันที
กลายเป็นว่าเขาพบกับกู้ฉังชิงในสภาพถือไม้เท้าอย่างกระฉับกระเฉงและเอ่ยกับเขาอย่างตื่นเต้น “ท่านอาจารย์ ยาของท่านช่างมีประสิทธิภาพมากเหลือเกิน ข้าสามารถยืนขึ้นได้แล้ว!”
บอกได้เลยว่าสีหน้าของกั๋วซือในตอนนั้นงุนงงที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว
“แต่ว่า เหตุใดข้าถึง…ไม่รู้สึกทรมานอย่างที่ท่านบอกไว้เลยล่ะ” กู้ฉังชิงถามเขา
เพราะกั๋วซือเคยบอกกับกู้ฉังชิงว่าหากทานยานี้เข้าไปอาจต้องตกอยู่ในสภาพตายทั้งเป็น
กั๋วซือจึงตัดสินใจไม่ใช้ยาแก้ปวดกับเขา
หลังจากที่กู้ฉังชิงประสบสามวันที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย เขาก็เชื่อมั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเขาสามารถรอดจากพิษได้
นี่ไม่ใช่ปาฏิหาริย์ที่ยาสามารถสร้างได้ แต่เป็นจิตตานุภาพที่แข็งแกร่งที่ตั้งใจจะคุ้มครองน้องสาวของเขา
กั๋วซือถอนหายใจอย่างไร้เดียงสา “พอเห็นว่าเขาอยู่ในสภาพที่ดีเช่นนี้ ข้าก็เลยไม่กล้าบอกความจริงกับเขา”
เพราะกลัวว่าเขาจะเสียขวัญกำลังใจจนทำให้ฟื้นขึ้นไม่ได้อีก
“แล้ว…หนังสือพวกนี้ล่ะ” กู้เจียวเอ่ยถามพร้อมกับมองหนังสือชุดเกี่ยวกับทหารหน่วยกล้าตายต่างๆ นานาเหล่านี้
“ข้าเขียนขึ้นมามั่วๆ น่ะ” กั๋วซือตอบตามความจริง
กว่าจะทำขึ้นมาได้แต่ละเล่มกั๋วซือต้องลงแรงไม่น้อยเลยทีเดียว แค่หาสมุดที่อยู่ในสภาพเก่ามาเขียนก็กินแรงเขาไปเท่าไหร่แล้ว
กู้เจียวหยิบหนังสือที่ชื่อว่า ‘เป็นทหารหน่วยกล้าตายได้ในสิบวัน’ ขึ้นมาดูแล้วแสยะยิ้ม “ก็ว่าอยู่ว่ามันดูไร้สาระสิ้นดี”
กั๋วซือ “…”
–
สภาพของกู้ฉังชิงในตอนนี้ควรให้เขาพักอยู่ในตำหนักกั๋วซือไปก่อน ส่วนเรื่องที่ว่าจะบอกความจริงเขาเมื่อไหร่นั้น คงต้องรอให้เขาหายดีจริงๆ เสียก่อนเพื่อไม่ให้เป็นการทำลายศรัทธาอันแรงกล้าของเขา
กว่าจะออกมาจากตำหนักกั๋วซือก็มืดค่ำแล้ว กู้เจียวขี่เฮยเฟิงมุ่งหน้ากลับไปยังจวนกั๋วกง
ที่จวนเงียบสงบมาก
เซียวเหิงไม่ได้เล่าเรื่องที่กู้เจียวไปลักพาตัวฮ่องเต้ให้ใครฟัง เพียงแต่บอกพวกเขาว่านางออกไปทำธุระที่ตำหนักกั๋วซือ อาจจะกลับมาอีกทีในวันรุ่งขึ้น
ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน
มีเพียงเซียวเหิงที่ยังรอกู้เจียวอยู่
เขาไม่รู้ว่ากู้เจียวเป็นอย่างไรบ้าง หากเป็นไปตามแผน ฮ่องเต้จะต้องถูกพาตัวมาที่นี่
เอี๊ยด
เสียงเปิดประตูดังขึ้น
เซียวเหิงรีบวิ่งออกไปดู “เจียว…”
คนที่โผล่มาไม่ใช่กู้เจียว แต่เป็นพ่อบ้านเจิ้ง
พ่อบ้านเจิ้งถือโคมส่องไปที่ใบหน้าที่ร้อนรนของเซียวเหิง “พระนัดดา ดึกป่านนี้แล้วยังไม่พักผ่อนอีกรึ”
เซียวเหิงแอบผิดหวังเล็กน้อย ก่อนตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ “ดึกป่านนี้แล้ว เจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด”
พ่อบ้านเจิ้งชี้นิ้วไปทางประตูจวน “เอ่อ กระหม่อมเห็นว่าประตูยังไม่ปิด ก็เลยจะมาดูว่าบ่าวคนไหนแอบลักไก่ขอรับ”
เซียวเหิงตอบกลับ “ข้าสั่งให้พวกเขาเปิดไว้เอง”
พ่อบ้านเจิ้งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจถาม “ไม่ใช่ว่าท่านชายเซียวกับท่านชายกู้จะกลับมาในวันพรุ่งนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งจวนมีแค่พวกเขาสองคนที่ออกไป
“พวกเขาอาจจะกลับมาเร็วกว่านั้น นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้าไปพักเถอะ ตรงนี้ไม่มีอะไรแล้ว” เซียวเหิงเอ่ยด้วยท่าทีและน้ำเสียงนิ่งตามเดิม
พ่อบ้านเจิ้งยิ้มอ่อนหนึ่งทีก่อนเอ่ยลา “เอ่อ พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอตัวก่อน”
แต่พอเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ย้อนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับถามเซียวเหิง “พระนัดดา อยู่ที่จวนนี้สบายดีไหมขอรับ ท่านกั๋วกงกำชับไว้แล้วว่าสามารถไปพักที่จวนของกั๋วกงได้ ที่นั่นกว้างขวางกว่ามาก ที่นี่คนอยู่เยอะเกิน…”
เซียวเหิงรีบตัดบท “ข้าพักที่นี่ได้”
พ่อบ้านเจิ้งยิ้มอย่างเกรงใจ พลางนึก เป็นถึงพระนัดดาแท้ๆ แทนที่จะพำนักที่เดียวกับลุงตัวเอง กลับเลือกอยู่กับคนแคว้นเจาเนี่ยนะ
“ขอรับ หากมีเรื่องอันใดให้กระหม่อมรับใช้โปรดเรียกได้เลยนะขอรับ”
คราวนี้พ่อบ้านเจิ้งเดินออกไปแล้วจริงๆ
เวลาผ่านไปทีละน้อย เซียวเหิงนั่งลงได้ไม่นานเขาก็ลุกขึ้นยืน มองออกไปข้างนอกหน้าต่างอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเดินวนรอบห้อง
และในตอนที่เขากำลังจะตัดสินใจออกไปที่วังเพื่อทราบข่าว ก็ได้ยินเสียงดังจากข้างนอกพอดี
เซียวเหิงรีบออกไปเปิดประตูทันทีโดยที่ไม่รอให้อีกฝ่ายเปิด
และแล้วเขาก็เจอกับหลงอีที่กำลังยืนอยู่ที่หน้าประตู