สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 807 ตัวตนของหลงอี
บทที่ 807 ตัวตนของหลงอี
เซียวเหิงได้แต่อ้ำอึ้ง
เมื่อหลงอีเห็นว่าเจ้านายกำลังยืนอึ้งก็พลอยตกใจไปด้วย แถมยังทำท่าอ้าปากค้างเหมือนกันอีก
เซียวเหิงกระพริบตาอีกทีเพื่อความแน่ใจ ยกมือขึ้น
แล้วปิดประตูลง ก่อนจะเปิดอีกรอบ
และพบว่าหลงอียังยืนอยู่ที่เดิม นี่ไม่ใช่ความฝัน หลงอีอยู่ที่นี่จริงๆ
“หลง…”
ปัง!
ก่อนที่เซียวเหิงจะเอ่ยจบ หลงอีก็ดึงประตูเข้ามาปิด จากนั้นผลักประตูให้เปิดอีกครั้ง
เซียวเหิงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นี่เขาโตจนอายุยี่สิบปีแล้ว ไม่ใช่เด็กน้อยจอมซนอย่างเมื่อก่อนที่มักจะขอให้หลงอีเล่นกับเขาทุกวัน
ทุกคนเปลี่ยนไป มีเพียงหลงอีที่ไม่เปลี่ยน
จู่ๆ เขาก็รู้สึกแสบจมูกเล็กน้อย สำหรับเขาแล้ว หลงอีไม่ใช่แค่ทหารองครักษ์หรือคนรับใช้ แต่เป็นสมาชิกในครอบครัวเช่นเดียวกับองค์หญิงซิ่นหยาง ผู้ซึ่งคอยติดตามเขาไปทุกหนทุกแห่ง
หลงอีผู้ไม่เคยโกรธเขา และไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง
“หลงอี…”
เสียงของเขาเริ่มอู้อี้
ทันใดนั้น หลงอีก็รีบคว้าร่างของเขาขึ้นมาแบกทันทีโดยไม่รอให้เจ้านายได้มีช่วงเวลาอันซาบซึ้งใจ
เซียวเหิงรู้สึกบ้านหมุนทันที น้ำตาที่กำลังจะไหลในตอนแรกกลับแห้งเหือดลงทันใด จากนั้นหลงอีก็เดินแบกเจ้านายเข้าไปข้างใน
“นี่เป็นห้องของกู้เฉิงเฟิง” เซียวเหิงแนะนำแต่ละห้องในสภาพเท้ากับหัวดิ่งลงพื้น
จากนั้นหลงอีก็เดินไปที่ห้องถัดไป
“นี่เป็นห้องสำหรับฮ่องเต้” เซียวเหิงเอ่ย
แล้วก็เดินไปที่ห้องถัดไปต่อ
ซึ่งเป็นห้องของกู้เจียว
เซียวเหิงเงียบไปทันที
หลงอี รีบโยนข้าลงไปบนเตียงกู้เจียวเร็วเข้า!
ทว่าหลงอีกลับเดินไปยังห้องถัดไป
เซียวเหิง “…”
หลงอีเดินมาถึงห้องว่างห้องสุดท้าย ซึ่งก็คือห้องของเซียวเหิง
จากนั้นก็ดึงเสื้อผ้าชั้นนอกของเซียวเหิงออก เหลือเพียงเสื้อผ้าชั้นใน และโยนมันลงในตะกร้าอย่างไร้ความปราณี
เซียวเหิงพยายามยกร่างของตัวเองขึ้นมา “หลงอี ข้า…”
หลงอีลูบใบหน้าเจ้านายเบาๆ หนึ่งที ก่อนจะวางร่างของเขาลงบนเตียง
ได้เวลานอนของเจ้านายแล้ว
–
พอกู้เจียวกลับมาอีกที ก็พบว่าไฟห้องของเซียวเหิงดับไปแล้ว โดยมีหลงอีนอนพิงเสาพร้อมกับมือที่กำลังถือดาบยาว
นี่เป็นท่านอนประจำของหลงอีเวลาที่เขาต้องคุ้มกันให้เจ้านาย โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย
ที่ผ่านมาเขาคงเหนื่อยน่าดู สังเกตได้จากการหายใจของเขา
เซียวเหิงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะค่อยๆ เปิดมุ้งออกอย่างเบามือที่สุด
หลงอีขยับตัวเล็กน้อย
“ข้าไปห้องน้ำก่อน” เซียวเหิงเอ่ย
หลงอีเดินทางติดกันเป็นเวลาหลายวัน ก็เลยไม่ได้นอนดีๆ แถมยังต้องมาต่อสู้กับวิญญาณทมิฬอีก เรียกได้ว่าเหนื่อยสายตัวแทบขาด
เขาจะไม่ตื่น หากไม่มีอันตรายเข้ามาใกล้
เซียวเหิงเดินออกไปอย่างเงียบๆ และทันทีที่เขาไปถึงประตู ก็เห็นกู้เจียวอยู่ที่ทางเดินฝั่งตรงข้าม
เขารีบเดินเข้าไปหานาง
กู้เจียวมองเขาด้วยความประหลาดใจ “นึกว่าเจ้านอนแล้วเสียอีก”
“ข้ายังไม่หลับหรอก ก็รอเจ้ากลับมานี่ไง เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ ข้ากลัวหลงอีจะตื่น” เซียวเหิงกระซิบ
กู้เจียวร้องอ๋อ “หลงอีหลับแล้วรึ”
เซียวเหิงพยักหน้า “อื้อ เขาดูล้ามาก ข้าไม่เคยเห็นเขาเหนื่อยขนาดนี้มาก่อน”
กู้เจียวหันไปมองประตูฝั่งตรงข้ามที่ถูกปิดแน่นหนึ่งที ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องพร้อมกับเซียวเหิง
“กู้เฉิงเฟิงกับฮ่องเต้มาถึงที่นี่แล้วใช่ไหม” กู้เจียวหยิบไม้ขีดขึ้นแล้วจุดไฟในตะเกียง
“ถึงแล้ว พวกเขาหลับกันแล้วล่ะ” เซียวเหิงเอ่ยพลางรินน้ำชาให้กู้เจียว “ดื่มน้ำก่อนสิ”
กู้เจียวรู้สึกกระหายน้ำจริง ๆ พอรับถ้วยชามาก็กระดกดื่มทันทีจนหมดไปสามแก้ว
เซียวเหิงมองด้วยความเป็นห่วง “บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”
“พวกเขามาได้ทันเวลาพอดี ข้าก็เลยไม่มีแผล” ส่วนข้อเท้านั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“เกิดอะไรขึ้นกับกู้ฉังชิง” เซียวเหิงถาม
กู้เจียวเล่าเรื่องที่กั๋วซือจะให้กู้ฉังชิงเป็นทหารหน่วยกล้าตายให้ฟัง หลังจากที่เซียวเหิงฟังจบ เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องเอ่ยอะไรออกไปจึงจะดี
มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือนี่
เขาละอยากเห็นตอนที่กู้ฉังชิงรู้ความจริงใจจะขาด
อยากรู้ว่ากู้ฉังชิงจะโกรธตัวเองหรือจะเลือกโกรธกั๋วซือแทนกันแน่
“ข้ามีเรื่องสงสัยอย่างนึง แผนการของพวกเราเป็นความลับสุดยอด แต่กั๋วซือรู้เรื่องที่เราเข้าไปลักพาตัวฮ่องเต้มาได้อย่างไร นั่นเท่ากับว่าเขารู้ว่าฮ่องเต้คนที่อยู่ในวังไม่ใช่ฮ่องเต้ตัวจริงน่ะสิ” กู้เจียวปรึกษาเซียวเหิง
“ข้าว่าเขาคงใช้วิธีพยากรณ์เหตุการณ์ก็เป็นได้”
กู้เจียวหรี่ตามองเซียวเหิง “เจ้าใช่ไหมที่เป็นคนบอก”
กู้เจียว หึหึ
เซียวเหิงรีบปอกส้มแล้วยื่นให้กู้เจียว “อ่ะนี่ กินส้มสิ!!”
กู้เจียวรับส้มจากมือเขาพร้อมกับจ้องด้วยสายตาที่เหมือนกับกำลังเอ่ยว่าข้ามองออกนะ
เซียวเหิงได้แต่ยิ้มแห้ง ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องสนทนา “จริงสิ เจ้าไปเจอหลงอีได้อย่างไร”
“ก็บังเอิญเจอพอดี” กู้เจียวจึงเล่าเรื่องที่หลงอีมาช่วยนางไว้ได้ทันเวลา แถมยังจัดการวิญญาณทมิฬได้ พร้อมทั้งอธิบายเรื่องสำคัญบางอย่างให้ฟัง ได้แก่
หนึ่ง หลงอีก็คือพิฆาตเวหา
สอง หลงอีกับวิญญาณทมิฬเคยรู้จักกันมาก่อน แต่หลงอีความจำเสื่อม ทำให้จำเหตุการณ์ในอดีตไม่ได้เลย
สาม หลงอีอาจจะพูดได้
เซียวเหิงแทบไม่สงสัยเรื่องที่หลงอีเอ่ยได้เลย เพราะมีเพียงแค่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนของแคว้นเจาที่ฝึกให้ทหารหน่วยกล้าตายไม่สื่อสารกับใคร
“ส่วนเรื่องที่สอง ข้ารู้คำตอบ” เซียวเหิงเอ่ย “พิฆาตเวหากับวิญญาณทมิฬเป็นศิษย์จากสำนักเดียวกัน เขาเป็นลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์อย่างมาก”
พอกู้เจียวรู้ดังนั้นก็ถึงกับร้องอ๋อ “ที่แท้ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็เป็นเช่นนี้เอง ก็ว่าทำไมวิญญาณทมิฬถึงได้พูดจากับหลงอีแบบนั้น…แต่ว่าเจ้าไปรู้เรื่องนี้มาจากใคร”
เซียวเหิงทำท่าครุ่นคิด ก่อนตัดสินใจยอมขายตัวเอง “กั๋วซือ”
กู้เจียวทั้งรู้สึกทั้งทึ่งทั้งคาดไม่ถึงว่าความสัมพันธ์ของเขากับกั๋วซือจะดีขนาดนี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เรื่องแบบนี้เอามาเล่าสู่กันฟังก็ได้ด้วยรึ
เซียวเหิงกระแอมในลำคอหนึ่งที “เซียวชิ่งกับกั๋วซือสนิทกันอยู่บ้าง”
เขาใช้ตัวตนของเซียวชิ่งให้เป็นประโยชน์
“จะว่าไปแล้ว เซียวชิ่งออกมาข้างนอกหลายวันขนาดนี้ เสด็จแม่ของเจ้าไม่เป็นห่วงบ้างรึ”
เซียวเหิงหัวเราะ “เขาออกไปท่องยุทธภพกับทหารคนสนิทตั้งแต่หกขวบ ไม่ทำตัวน่าเป็นห่วงอยู่แล้ว”
กู้เจียวถามต่อ “เจ้าทำอะไรตอนหกขวบ”
เซียวเหิงแบมือ “ข้าต้องท่องบทกลอนและฝึกเขียนตัวอักษรทุกวัน อีกทั้งต้องอยู่ในสายตาของเสด็จแม่ตลอด”
กู้เจียวเอามือลูบคาง “แม่ทั้งสองคนมีวิธีเลี้ยงลูกที่แตกต่างกันมาก แล้วเจ้าอิจฉาเซียวชิ่งบ้างไหม”
เจ้าอยากเป็นเหมือนเสี่ยวชิงที่ไม่จำเป็นต้องถูกบังคับให้เรียนหรือฝึกคัดลายมือ แต่สามารถใช้เวลาทุกวันอย่างอิสระและมีความสุขได้หรือไม่
“ไม่อิจฉาหรอก”
“เพราอะไร” กู้เจียวถาม
ทันใดนั้น เขาก็คว้ามืออันนุ่มนวลของกู้เจียวพร้อมกับจ้องมองเข้าไปในดวงตาอย่างลึกซึ้ง “ถ้าข้าอยู่ที่นี่ เราก็จะไม่ได้รู้จักกันน่ะสิ”
…
ณ ตำหนักเย็น
วิญญาณทมิฬเดินทางกลับมาที่ตำหนักบูรพาด้วยสภาพสะบักสะบอม
หันกุ้ยเฟยเดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด “ไยเจ้าถึงได้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ล่ะ แล้วฝ่าบาทเล่า”
“ฝ่าบาทถูกลักพาตัวไปแล้ว” วิญญาณทมิฬเอ่ยตอบอย่างอ่อนแรง
หันกุ้ยเฟยย่นคิ้วทันที “ก็สั่งให้ไปตามกลับมามิใช่รึ”
สีหน้าของวิญญาณทมิฬย่ำแย่กว่าเก่า “คิดหรือว่าข้าอยากปล่อยให้พวกมันหนีไป”
หันกุ้ยเฟยเริ่มเอ่ยไม่ออก
วิญญาณทมิฬมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของนาง ไม่ใช่คนรับใช้ ไม่แปลกที่นางจะต้องเกรงใจเขา
“เจ้าบาดเจ็บสาหัส ข้าจะวานให้คนไปตามหมอหลวงมาให้”
เมื่อท่าทีของหันกุ้ยเฟยเริ่มอ่อนโยนขึ้น วิญญาณทมิฬจึงลดความฉุนเฉียวของเขาลงมา
“ไม่ต้องหรอก ข้าจัดการตัวเองได้”
หันกุ้ยเฟยถามต่อ “แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครทำเจ้าเป็นเช่นนี้”
วิญญาณทมิฬไม่ได้ตอบคำถามของนางแต่อย่างใด แต่กลับถามถึงใครอีกคน “เจ้ารู้ไหมว่าคนที่ชื่อเซียวลิ่วหลังนั่นเป็นใครกันแน่”
หันกุ้ยเฟยจึงถามกลับ “เขาเป็นคนก่อเรื่องรึ”
“เจ้าตอบข้ามาก่อน”
หันกุ้ยเฟยขมวดคิ้วแน่น “เซียวลิ่วหลังเป็นคนแคว้นเจา ใช้ชื่อเซียวลิ่วหลังเข้าเรียนที่สำนักบัณฑิตเทียนฉง และตอนนี้เขาได้กลายเป็นบุตรบุญธรรมของกั๋วกงอัน ที่รู้ก็มีเพียงเท่านี้”
พอนึกถึงเหตุการณ์ในคืนนี้ วิญญาณทมิฬก็ยิ่งรู้สึกตงิดในใจ “เจ้ารีบไปสืบมาที ถ้าสืบที่นี่ไม่เจอ ก็ส่งคนไปสืบที่แคว้นเจา ข้าว่าเด็กคนนี้มีพิรุธ”
หันกุ้ยเฟยเห็นด้วยกับคำเอ่ยเขา “เด็กคนนี้แปลกจริงอย่างที่เจ้าว่า ยังหนุ่มยังแน่น แต่กลับสังหารหนานกงลี่ ซ้ำยังเอาชนะหันสือและยึดค่ายอัศวินดำไปได้ เขาอาจเป็นหมากตัวสำคัญของซ่างกวานเยี่ยน”
วิญญาณทมิฬถอนหายใจอย่างเลือดเย็น “ซ่างกวานเยียนไม่มีปัญญาทำแบบนั้นหรอก!”
“อะไรกัน เจ้าเด็กนั่นแข็งแกร่งมาจากไหน” ขนาดองค์หญิงของแคว้นยังควบคุมไว้ไม่อยู่เลยเชียวหรือ
“ข้าไม่ได้หมายถึงเขา ข้าหมายถึงสหายเก่าร่วมสำนักของข้า!”
หันกุ้ยเฟยครุ่นคิด “ข้าเคยได้ยินเจ้าเอ่ยถึงศิษย์น้องของเจ้า เจ้าบอกว่าเขาแข็งแกร่งมากและเป็นคู่ต่อสู้เพียงคนเดียวในโลกของเจ้า แต่ว่า เขายังไม่ตายหรือ”
“ตอนแรกข้าก็คิดว่าเขาตายไปแล้ว ทว่าวันนี้ ข้าได้เห็นเขาเต็มสองตาของข้าอีกครั้ง แถมยังอยู่ฝ่ายเดียวกับเซียวลิ่วหลังด้วย!”
“ดังนั้น ที่เจ้าเป็นแบบนี้ก็เพราะถูกศิษย์น้องของเจ้าเล่นงานรึ” หันกุ้ยเฟยรู้สึกไม่อยากเชื่อ อีกทั้งรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
นางคิดมาตลอดว่าวิญญาณทมิฬคือมือสังหารที่เก่งที่สุดในแคว้นทั้งหก
เขาเหลือบมองหันกุ้ยเฟยหนึ่งที พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ครั้งนี้ข้าประมาทและประเมินศัตรูต่ำไป คราวหน้าข้าจะฆ่าเขาด้วยมือของข้าเอง!”
ศิษย์น้องเอ๋ย เจ้าจำได้หรือไม่ว่าตอนนั้นที่เจ้าต้องไปแคว้นเจา เจ้ามีภารกิจติดตัวด้วย
นอกจากจะทำภารกิจไม่สำเร็จแล้ว ยังลืมกำพืดของตัวเองอีก!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่าถือโทษที่ข้าจะลงโทษเจ้าแทนท่านอาจารย์ก็แล้วกัน!