สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 809 โจมตีก่อน
บทที่ 809 โจมตีก่อน
แม้พวกเขาจงใจเอ่ยให้ฮ่องเต้ได้ยิน แต่ทั้งหมดล้วนเป็นความจริง ฮ่องเต้ตัวปลอมได้มีรับสั่งให้คืนตำแหน่งแก่ไท่จื่อจริงๆ อีกทั้งมีรับสิ่งให้ปิดล้อมตำหนักกั๋วซือ เพื่อที่จะเข้าไปเล่นงานซ่างกวานเยี่ยนที่กำลังพักฟื้นอยู่ในตำหนักกั๋วซือ
เพียงแต่ เมื่อก่อนสั่งปลดไท่จื่ออย่างไร ครั้งนี้ก็ต้องไม่ให้เกินขอบเขต เพื่อไม่ให้ถูกสงสัย
สถานการณ์ของซ่างกวานเยี่ยนถือว่ายังปลอดภัยอยู่ แค่ไม่สามารถทำอะไรได้ตามอิสระเท่านั้น
ยามนี้พระราชวังถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนา พวกเขาไม่สามารถเข้าไปที่วังเพื่อกำจัดฮ่องเต้ตัวปลอมได้ หรือแม้แต่นำกำลังทหารไปบุกวัง
กู้เฉิงเฟิงรินชาให้ตัวเองแล้วยกดื่มอึกใหญ่ จากนั้นถามต่อ “แล้วทีนี้พวกเราควรจะทำอย่างไรดี ถ้าไท่จื่อกลับมาได้ ต่อไปฮ่องเต้ตัวปลอมนั่นต้องออกคำสั่งชั่วๆ มาอีกแน่นอน”
“รอดูไปก่อน” ท่านย่าเอ่ย
กู้เฉิงเฟิงทำหน้าตกใจ “ยัง… ยังต้องรออีกรึ”
ท่านย่าเหลือบมองห้องพักที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วเอ่ยขึ้น “ให้เขาได้มีเวลาตกตะกอนก่อน”
คนที่กังวลเรื่องนี้มากที่สุดไม่ใช่พวกเขา แต่เป็นฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนต่างหาก เขาจะต้องตระหนักอย่างลึกซึ้งถึงความผิดพลาดที่เขาทำในอดีต
และอีกเหตุผลสำคัญก็คือ
ที่พวกตระกูลหันเลือกที่จะใช้วิธีที่เสี่ยงเช่นนี้ก็เพื่อกดดันให้ฮ่องเต้และพวกเขาโต้กลับ แต่หากพวกเขาเลือกที่จะอยู่เงียบๆ อีกฝ่ายก็จะไม่รู้ความเป็นไปขอองพวกเขา
ความคลุมเครือย่อมน่ากลัวกว่า
ยิ่งพวกเขาไม่ทำอะไร แม่นางหันก็จะยิ่งสงสัยว่าพวกเขากำลังซ่อนแผนการแก้แค้นที่ใหญ่กว่าอยู่หรือไม่
ดังนั้นพวกเขามั่นใจว่าแม่นางหันจะยังไม่ลงมือทำอะไรต่อโดยที่ยังไม่รู้แนวโน้มของพวกเขาอย่างแน่นอน
นี่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่พวกเขาจะได้มีเวลาหายใจหายคอแล้วคิดแผนการต่อไป
“ว่าแต่ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับองค์หญิงน้อยใช่ไหม” กู้เฉิงเฟิงถาม
กู้เจียวส่ายศีรษะ “น่าจะยังไม่มีอะไร องค์หญิงน้อยคือคนที่ฮ่องเต้รักและทะนุถนอมมากที่สุด ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์อะไร ฮ่องเต้ตัวปลอมจะไม่มีทางก่อเรื่องกับองค์หญิงน้อยอย่างแน่นอน”
ณ พระราชวัง
เนื่องจากสำนักบัณฑิตหลิงโปประกาศหยุดเรียนสองวัน องค์หญิงน้อยจึงต้องอยู่ที่วัง
คนใช้ในวังถูกสับเปลี่ยนเป็นจำนวนไม่น้อย แต่บ่าวกับแม่นมขององค์หญิงน้อยยังเป็นคนเดิม
หลังจากเสวยมื้อกลางวันเสร็จ แม่นมจึงเตรียมเปลี่ยนอาภรณ์ตามฤดูกาลให้องค์หญิง ด้วยความที่โตเร็ว อาภรณ์ที่เคยสวมใส่ได้เมื่อปีก่อนวันนี้กลับเล็กเกินไปเสียแล้ว
“แม่นม”
องค์หญิงน้อยเดินกอดหมอนออกมาที่ประตู
“องค์หญิงน้อยมาที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ ไม่พักผ่อนหรือเจ้าคะ” แม่นมยิ้มทักทายองค์หญิง
องค์หญิงน้อยเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับยกมือป้องปากหาวหวอด “ข้าขอนอนที่นี่ได้ไหม”
แม่นมตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มให้ “ได้สิเจ้าคะ ว่าแต่เหตุใดองค์หญิงน้อยถึงอยากมานอนที่ห้องหม่อมฉันหรือเจ้าคะ”
องค์หญิงน้อยทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างเก้ๆ กังๆ พร้อมกับวางหมอนของตัวเองไว้ข้างกันกับหมอนของแม่นม “ข้าไม่อยากนอนกับเสด็จลุงแล้ว เขาเป็นคนไม่ดี”
แม่นมได้ยินดังนั้นก็สะดุ้งโหยงจนรีบเดินไปที่ประตู มองซ้ายมองขวา จากนั้นรีบปิดประตู กลับไปนั่งที่เตียงแล้วกระซิบ “องค์หญิงน้อย จะตรัสเรื่องแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ ฝ่าบาททรงเอ็นดูองค์หญิงน้อยที่สุด จะตรัสแบบนั้นกับฝ่าบาทไม่ได้นะเพคะ”
“เขาไม่ใช่เสด็จลุงของข้า” องค์หญิงน้อยร้องขึ้น
แม่นมหน้าซีดทันที “องค์หญิงเพคะ!”
ด้วยความง่วง องค์หญิงจึงล้มตัวลงบนหมอนแล้วผล็อยหลับไป
แม่นมปาดเหงื่อพร้อมกับมองร่างเล็กที่หลับปุ๋ย
จากนั้นก็ห่มผ้าห่มให้ แล้วแอบย่องออกมาข้างนอกห้อง
พอออกมาก็เจอกับผู้ดูแลอวี๋ซึ่งยืนรออยู่แล้ว
แม่นมเองก็ไม่ได้มีท่าทีตกใจอย่างใด ก่อนจะโน้มตัวทำความเคารพพร้อมเอ่ยทัก “อวี๋กงกง”
“องค์หญิงน้อยทรงตรัสอะไรบ้าง” ผู้ดูแลอวี๋เปิดประเด็นทันที
“องค์หญิงทรงตรัสว่าไม่อยากบรรทมที่ห้องฝ่าบาท ฝ่าบาทเป็นคนไม่ดี ซ้ำยังตรัสว่าฝ่าบาทมิใช่เสด็จลุงของพระองค์เจ้าค่ะ”
ผู้ดูแลอวี๋ยิ้มกริ่ม “เจ้ามองเรื่องนี้อย่างไร”
แม่นมคลี่ยิ้มพร้อมกับตอบไป “ช่วงนี้ฝ่าบาททรงงานหนัก เลยไม่มีเวลามาเล่นกับพระองค์ ที่ผ่านมาฝ่าบาททรงคอยตามพระทัยองค์หญิงมาโดยตลอด จึงไม่แปลกที่องค์หญิงจะทรงเกิดอาการน้อยพระทัยบ้างเจ้าค่ะ ”
ผู้ดูแลอวี๋ยกยิ้มอย่างพึงพอใจ “แม่นมหลิวเข้าใจก็ดี”
“โปรดท่านอวี๋กงกงวางใจเถิด หม่อมฉันภักดีต่อท่านเสมอต้นเสมอปลายเจ้าค่ะ”
จากนั้นผู้ดูแลเหอจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดสี “จางเต๋อเฉวียนคนไร้น้ำยา กับแค่ตำแหน่งทางการดีๆ ยังขอให้เจ้าไม่ได้ แต่ข้าไม่เหมือนกับเขา หากเจ้าสามารถทำงานภายใต้บังคับบัญชาของข้าได้อย่างราบรื่น เจ้าจะได้ดีในภายภาคหน้า”
แม่นมโค้งคำนับอย่างขอบคุณแล้วเอ่ย “หม่อมฉันจะจำไว้ในใจอย่างดีเจ้าค่ะ ช่วงนี้องค์หญิงทรงมีอารมณ์โมโหง่าย อาจทำให้ฝ่าบาทลำบากพระทัย ช่วงสองวันนี้หม่อมฉันว่าให้องค์หญิงน้อยพำนักที่ห้องของหม่อมฉันไปพลางๆ ก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ”
ผู้ดูแลอวี๋เห็นด้วย “ก็ดีเหมือนกัน ช่วงนี้ฝ่าบาททรงงานหนักและไม่มีเวลาดูแลองค์หญิงน้อยอย่างที่เจ้าว่า แต่เจ้าจำคำของข้าไว้ให้ดีนะ เจ้าต้องคอยจับตาดูองค์หญิงทุกฝีก้าว อย่าให้องค์หญิงก่อเรื่องเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นละก็ เจ้าน่าจะเข้าใจวิธีการของข้าดีนะ”
“หม่อมฉันจะไม่ทำให้อวี๋กงกงผิดหวังเจ้าค่ะ”
ผู้ดูแลอวี๋เอ่ยอืมหนึ่งที ก่อนเดินออกไปด้วยความพอใจ
แม่นมเดินกลับเข้ามาในห้อง มองดูองค์หญิงตัวน้อยด้วยความอาทร ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก
…
ตำหนักกั๋วซือถูกล้อมด้วยทหารหลวง ลูกศิษย์ของกั๋วซือจึงไม่สามารถออกไปจากอาณาเขตตำหนักได้
อวี๋เหอและลูกศิษย์คนอื่นๆ จึงมารวมตัวกันที่ประตูตำหนัก แล้วเอ่ยกับกลุ่มทหารหลวง “ผู้ใดที่ให้สิทธิ์แก่พวกเจ้าในการกระทำเช่นนี้”
เดิมทีคนที่ต้องออกโรงควรเป็นเย่ชิง แต่เขาอยู่ในอาการบาดเจ็บและกำลังรักษาตัวอยู่ที่ป่าไผ่
“เบิกตาของพวกเจ้าให้กว้าง แล้วอ่านนี่ซะ!” หนึ่งในผู้นำทหารหลวงโต้กลับด้วยท่าทีหยิ่งผยองพร้อมกับยื่นพระราชกฤษฎีกา
อวี๋เหอแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง “เป็นไปได้อย่างไร…”
“กั๋วซือของพวกเจ้าสมรู้ร่วมคิดกับองค์หญิงสามเพื่อก่อกบฏ พวกข้ามาที่นี่ก็เพื่อทำตามพระบัญชา หากพวกเจ้าไม่พอใจก็ไปยื่นฟ้องกันเอาเองแล้วกัน!”
หนึ่งในลูกศิษย์โพล่งด้วยความโมโห “เช่นนั้นพวกเจ้าก็เปิดทางให้พวกเราไปยื่นฟ้องสิ! มายืนขวางอยู่แบบนี้แล้วพวกเราจะออกไปอย่างไร”
“ก็นี่เป็นพระราชกฤษฎีกาของพระองค์” หนึ่งในทหารหลวงโต้กลับ
“เจ้า…” ลูกศิษย์ตัวน้อยเริ่มร้อนรน
อวี๋เหอรีบห้ามเขาไว้ ก่อนจะมองเหยียดพวกทหารด้วยสายตาเย็นชา “ช่างปะไร พวกเราไปกันเถอะ!”
“ท่านพี่อวี๋เหอ ท่านอาจารย์สมคบคิดกับองค์หญิงสามจริงๆ หรือ” ศิษย์น้องกระซิบถามเขา
ทันใดนั้น อวี๋เหอหยุดเดินทันที ก่อนจะหันมาขมวดคิ้วนิ่วหน้าใส่ศิษย์น้องแต่ละคน ก่อนตะโกนขึ้น “พวกเราต้องเชื่อใจท่านอาจารย์เข้าไว้! ท่านอาจารย์ไม่มีทางคิดร้ายต่อฮ่องเต้อย่างเด็ดขาด!”
ณ ป่าไผ่
ในห้องโถงอันสว่างสดใส กั๋วซือกำลังนั่งเล่นหมากรุกกับชายชราที่มีเคราสีขาว
ชายชราที่ว่าไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นท่านผู้อาวุโสเมิ่ง
“เฮ้อ มาได้จังหวะจริงๆ คราวนี้ข้าจะออกไปอย่างไร” ผู้อาวุโสเอ่ยพร้อมกับวางหมากสีขาวบนกระดาน
กั๋วซือได้แต่ยิ้มเจื่อน ก่อนจะวางหมากสีดำ “ไม่ดีหรือท่าน จะได้อยู่เล่นด้วยกันทั้งวันทั้งคืนเลย”
ผู้อาวุโสถอนหายใจ “สนุกอยู่คนเดียวเลยสิ”
กั๋วซือได้แต่ยิ้มโดยไม่เอ่ยอะไร ก่อนจะก้มหน้าก้มตาวางหมากต่อ
“ไม่กังวลบ้างรึ” ผู้อาวุโสถามขึ้นลอยๆ
“กังวลเรื่องใดหรือ” กั๋วซือถาม
“กังวลว่าตำหนักกั๋วซือที่สร้างโดยบุคคลนั้นจะถูกทำลายด้วยเงื้อมมือของเจ้าเอง” ผู้อาวุโสเมิ่งกล่าว
มือที่ถือตัวหมากอยู่ของกั๋วซือก็พลันนิ่งไปชั่วขณะ
สักพัก เขาก็วางหมากต่อ พร้อมกับตอบไป “ไม่กังวลหรอก ต่อให้แคว้นเยี่ยนล่มสลาย แต่ตำหนักกั๋วซือจะไม่หายไป”
–
จิ้งคงกลับมาที่จวนหลังจากออกไปเล่นกับหลงอีเกือบทั้งวัน
เขาวิ่งเขาไปซุกไซร้กู้เจียวที่กำลังเก็บวัตถุดิบที่ใช้ในการทำยา “เจียวเจียว ข้าเหนื่อยเหลือเกิน”
กู้เจียวหยิบผ้าขึ้นมาซับเหงื่อให้เขา “แล้วเจ้าจะออกไปเล่นกับหลงอีต่ออีกไหมล่ะ”
“เล่น!”
กู้เจียวหัวเราะลั่น
“ยังมีตรงนี้อีก” เจ้าตัวเล็กเงยหน้าขึ้น
กู้เจียวเลื่อนผ้าลงมาซับที่ลำคอของเขา
“ว่าแต่ เจียวเจียว ทำไมหลงอีถึงชอบเหม่อล่ะ” จิ้งคงถามหลังจากนึกอะไรขึ้นได้
“ยังไงรึ” กู้เจียวทำหน้าตกใจ
จิ้งคงจึงชี้นิ้วขึ้นไปที่หลังคา
พอกู้เจียวมองตามขึ้นไป ก็เห็นหลงอีกำลังนั่งขัดสมาธิบนหลังคาท่ามกลางแสงสนธยา ผมสีดำของเขาปลิวเบาๆ ตามสายลมยามเย็น และร่างสูงของเขาก็ทอดเงาอันโดดเดี่ยวจากแสงของอาทิตย์อัสดง
ในมือของเขาถือแหวนหยกสีดำวงนึง
กู้เจียวรู้ในทันทีว่าเขากำลังอยู่ในช่วงระลึกว่าตัวเองคือใคร
–
คืนอันเงียบสงัด
ณ บริเวณเยื้องตรงข้ามจวนของไท่จื่อ มีหัวของคนสามคนค่อยๆ โผล่ออกมาจากปากตรอก
หัวที่อยู่ด้านล่างสุดคือกู้เฉิงเฟิง
ส่วนด้านบนสุดเป็นของหลงอี
“โห เยอะขนาดนี้เชียว” กู้เจียวเอ่ยขึ้นขณะที่กวาดตามองรอบๆ จวนไท่จื่อที่เต็มไปด้วยทหารหลวง
“เจ้าแน่ใจหรือว่าพวกเราจะฝ่าเข้าไปลักพาตัวไท่จื่อออกมาได้น่ะ” กู้เฉิงเฟิงถาม
ต่อให้พวกเขาเก่งขนาดไหน แต่ดูจำนวนคนแล้วมันเทียบกันไม่ได้เลย
กู้เจียวตอบเขา “ใครว่าพวกเราจะเข้าไปข้างในล่ะ เสี่ยวจิ่ว!”
เสี่ยวจิ่วบินวนอยู่กลางอากาศ ก่อนจะพุ่งโฉบเข้าไปในจวนของไท่จื่ออย่างรวดเร็ว!