สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 810 ความจริงของหลงอี
บทที่ 810 ความจริงของหลงอี
ยามไห้[1]ผ่านพ้นไปแล้ว คนในจวนไท่จื่อทยอยเข้านอนแล้ว เนื่องจากไท่จื่อซ่างกวานฉีตื่นเต้นเกินไปข่มตาหลับไม่ลงจึงไปยังห้องหนังสือ
พระองค์ไม่คิดฝันเลยว่าโชคดีจะมาเยือนไวปานนี้ อยากจะพลิกวิกฤตก็ได้พลิกจริงๆ !
พระองค์ยังหลงคิดว่าซ่างกวานเยี่ยนขัดแข้งขัดขาเช่นนี้ พระองค์ต้องอยู่เงียบๆ อย่างน้อยสักสองสามปีจึงจะเชิดหน้าชูดตาขึ้นมาอีกคราได้…
“สวรรค์เมตตาข้าจริงๆ !”
ไท่จื่อยากที่จะกลั้นยิ้มได้ เอ่ยกับองครักษ์หน้าประตูด้วยสีหน้าเบิกบานแจ่มใสกว่าเคย “ดึกมากแล้ว พวกเจ้าก็ไปพักเถิด”
บรรดาองครักษ์พากันยกมือประสาน “พวกข้าน้อยไม่เหนื่อยพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้างนอกมีราชองครักษ์เฝ้าอยู่ตั้งมากตั้งมาย ไม่มีผู้ใดบุกเข้ามาหรอก”
“ไท่จื่อตรัสถูกต้อง เพียงแต่รอบคอบจึงกุมเรือหมื่นปีได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อทรงปรีดาเหลือคณานับ เกือบจะลำพองลืมตน ยามนี้มาได้ยินถ้อยคำขององครักษ์จึงสงบใจลงมาได้ส่วนหนึ่ง
ก็จริง ยิ่งเป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ก็ยิ่งต้องระมัดระวังให้มาก
“ไท่จื่อ ท่านไปพักเถิด พรุ่งนี้ยังต้องเข้าประชุมเช้าอีกมิใช่หรือ”
เอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว รอยยิ้มของไท่จื่อก็เบ่งบานบนมุมปากอีกครา
ถูกต้อง พระองค์เข้าร่วมประชุมเช้าได้แล้ว
ในที่สุดพวกที่มันอยากเห็นพระองค์กับตระกูลหันอับอายขายขี้หน้าต้องตกใจจนกรามค้างอีกหน!
ทว่ายามนี้พระองค์นอนไม่หลับจริงๆ จึงหยิบตำราสองสามเล่มออกมา ตัดสินใจว่าจะปัดฝุ่นวิชาการปกครองเสียหน่อย
ทันใดนั้น นกยักษ์ตัวหนึ่งก็ร่อนลงบนหน้าต่างของพระองค์
ไท่จื่อกำลังจะเรียกองครักษ์ กลับพบว่านกตัวนั้นเชื่องผิดปกติ ซ้ำยังไร้ท่าทีจะโจมตีด้วย
นอกจากนี้ นกตัวนั้นยังยื่นกรงเล็บออกมาข้างหนึ่งอย่างฉลาดเฉลียว ท่าทางเย่อหยิ่งราวกับจะบอกว่า ‘รับเสด็จสิ’
ไฉนข้าจึงรู้สึกว่านกตัวหนึ่งรู้จักแสดงสีหน้าท่าทางเป็นด้วย นี่ข้าเสียสติไปแล้วกระมัง
สายพระเนตรของไท่จื่อตกลงบนกรงเล็บของมัน ก่อนจะเห็นกระดาษข้อความที่มัดไว้อย่างเหนือความคาดหมาย
“ข้อความจากตระกูลหันรึ”
ไท่จื่อพึมพำพลางมองเสี่ยวจิ่ว ตระกูลหันไม่ใช้พิราบสื่อสารกันแล้วหรือ เปลี่ยนมาเป็นอินทรีตั้งแต่เมื่อไร
ไท่จื่อดึงกระดาษข้อความลงมาด้วยความสงสัย เห็นเพียงตัวหนังสือบนกระดาษขาวเขียนว่า ‘รีบมาตำหนักเย็น ปลอมตัวแปลงโฉม อย่าให้ผู้ใดพบเห็น’
ไม่มีลงท้ายชื่อในจดหมาย
ทว่าลายมือนี้ช่างคุ้นตาเหลือเกิน เห็นได้ชัดว่าเป็นเสด็จแม่ของพระองค์
ดึกดื่นเพียงนี้แล้ว ไยเสด็จแม่จึงให้พระองค์ปลอมตัวไปตำหนักเย็นด้วยเล่า
เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ
ไม่สิ เมื่อเช้าเสด็จแม่ยังเรียกคนนำความมาให้พระองค์อยู่เลย ว่าหากไม่มีธุระใดอย่าได้ไปที่ตำหนักเย็นเด็ดขาด และห้ามรีบร้อนรวบรวมขุนนางมาร้องขอความเมตตาให้นาง
ไท่จื่อมองข้อความ “ประหลาดนัก”
ณ ตรอกแห่งหนึ่ง
กู้เฉิงเฟิงคอแทบหักแล้ว “พวกเจ้าสองคนอย่าทิ้งน้ำหนักทับข้าคนเดียวสิ”
กู้เจียว “ไม่ได้หรอก”
หลงอี แบร่ แบร่
กู้เฉิงเฟิง “…”
กู้เฉิงเฟิงหน้าทะมึนมืดขึ้น ลำคอเรียวสวยรับน้ำหนักที่อายุวัยนี้ไม่ควรได้รับ
“เอ๊ะ เหตุใดจึงยังไม่ออกมาอีก” กู้เจียวถาม
“คงไม่ใช่ว่าเขามองออกหรอกนะ” กู้เฉิงเฟิงเอ่ย “พวกเราไม่รู้ด้วยว่าหันกุ้ยเฟยได้กำชับอะไรเขาไว้หรือไม่ เกิดหันกุ้ยเฟยบอกว่าจะไม่ติดต่อกับเขา เขาก็ไม่มีทางติดกับง่ายๆ แล้ว…”
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยยังไม่ทันขาดคำ หลงอีก็พลันยืดตัวขึ้น สายตาจดจ้องทิศทางหนึ่งท่ามกลางราตรีสีมืด
กู้เจียวก็ยืดตัวขึ้นเช่นกัน
ภูเขาใหญ่สองลูกที่ทับอยู่บนศีรษะเขาหายไปแล้ว กู้เฉิงเฟิงคอพลันเบาโหวง หายใจสะดวกขึ้นทันที
“หลงอี เป็นอะไรไป” กู้เจียวถาม
หลงอีหนีบกู้เจียวมาด้วย ก่อนทะยานตัวเข้าไปในราตรีสีมืด
กู้เฉิงเฟิงใช้วิชาตัวเบาตามไป
ทั้งสามคนมายังประตูหลังของจวนไท่จื่อ บัดนี้ บังเอิญมีรถม้าของคนรับใช้ที่ไม่สะดุดตาคันหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนออกมาพอดี
สารถีแต่งตัวเป็นขันที ซึ่งเป็นหน่วยกล้าตายฝีมือแข็งแกร่งคนหนึ่ง
กู้เจียวหยักยกมุมปาก
ดูท่าไท่จื่อจะติดกับแล้ว
ที่ผ่านมาไท่จื่อไม่เคยสะเพร่าเช่นนี้ เพราะถูกความปรีดาที่ได้กลับมาครองตำแหน่งไท่จื่ออีกคราบดบังสติปัญญาเข้า จึงได้ติดกับเข้าง่ายๆ เช่นนี้
เพื่อไม่ให้ผู้ใดจับได้ พระองค์ย่อมไม่พกกองทัพเอิกเกริกมาด้วย พกเพียงองครักษ์เสื้อแพรสิบนายคุ้มกันพระองค์อยู่ในที่ลับเท่านั้น
เท่านี้ก็เพียงพอจะต่อกรกับยอดฝีมือทั่วไปแล้ว แต่หากจะจัดการกับหลงอีเกรงว่าจะดูเบาศัตรูเกินไปหน่อย
บางที หันกุ้ยเฟยกับวิญญาณทมิฬอาจไม่ทันได้เอ่ยถึงหลงอีให้ไท่จื่อได้ฟังเลยก็ได้
รถม้าเคลื่อนตัวอยู่บนถนนอันเงียบสงัด เพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตา ไท่จื่อจึงเลือกถนนสายที่ห่างไกลเป็นพิเศษ
แต่นี่กลับสะดวกพวกนาง
องครักษ์เสื้อแพรสิบนายเดินเหินอยู่บนหลังคาทั้งสองฝั่งอย่างคล่องแคล่ว
ฟุ่บ!
หายไปคนหนึ่ง
ฟุ่บ!
หายไปอีกคน
องครักษ์เสื้อแพรที่นำหน้าอยู่ทางซ้ายมือหันกลับมา หนึ่ง สอง สาม สี่
ครั้นหันมาอีกที หนึ่ง สอง สาม
หันอีกรอบ หนึ่ง สอง
เขาพลันสะดุ้งตกใจ ครั้นหันกลับไปเป็นคราที่สี่…
หลงอี แบร่ แบร่ แบร่
องครักษ์เสื้อแพรสะดุ้งโหยง ชักกระบี่พลางร้องตะโกนขึ้น “คุ้ม…”
คุ้มกันปู่เจ้าโน่นไป!
กู้เจียวกระโดดผลุงออกมาจากด้านหลังหลงอี ถือกระบองน้อยๆ ท่อนหนึ่งฟาดเขาสลบไป!
องครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้หากกล่าวโดยรวมแล้วไม่นับว่าจัดการยากเกินไป ราวเกือบครึ่งเค่อ ทั้งสิบคนก็สลบหมดแล้ว
กู้เฉิงเฟิงมุ่งตรงไปยังรถม้าของไท่จื่อ สารถีสีหน้าพลันเปลี่ยน รีบชักกระบี่ออกจากบั้นเอว ไหนเลยจะรู้ ยังไม่ทันได้ชักออกมา ก็ถูกกู้เฉิงเฟิงใช้ลูกดอกปาดคอแล้ว!
กู้เฉิงเฟิงเองยังตกใจ “ว้าว อาวุธลับที่อาจารย์แม่หนานให้มาดีนั้นจริงๆ !”
สารถีร่วงลงจากรถม้า กระแทกพื้นเสียงดังตุ้บ
ม้าตกใจ ยกกีบเท้าหน้าขึ้นวิ่งพล่านไปทั่ว ไท่จื่อถูกความโคลงเคลงนี้ทำให้กระแทกกับผนังรถ
พระองค์จับผนังรถเพื่อพยุงตัวให้มั่นคง พลางกุมหน้าผากที่กระแทกเจ็บ ถามเสียงเย็น “เกิดอะไรขึ้น”
กู้เฉิงเฟิงนั่งอยู่บนตำแหน่งสารถี จับบังเหียนปลอบม้าให้สงบลง ก่อนยิ้มเอ่ยนิ่ง “ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ ไท่จื่อนั่งให้ดีๆ นะพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงนี้มันผิดวิสัย
ไท่จื่อเลิกม่านขึ้น
ในขณะนั้นเอง หลงอีพากู้เจียวโรยตัวลงมานั่งนอกรถ กู้เจียวถวายหมัดให้ไท่จื่อไปหนึ่งหมัด ไท่จื่อกลอกตาสลบเหมือดไป
กู้เฉิงเฟิงขับรถม้าพลางหันกลับมามองไท่จื่อที่มีกำเดาไหลพราก ก่อนถาม “ไม่สิ เจ้าชกเขาสลบเพื่อการใด”
กู้เจียวชะงัก “อ๋อ ลืมไป”
อันนี้ไม่ต้องชกสินะ
กู้เฉิงเฟิงถอนหายใจอย่างจนแล้วด้วยเกล้า “เฮ้อ ช่างเถิด ไหนๆ ก็สลบไปแล้ว พากลับไปก่อนค่อยว่ากัน”
“อื้อ!” กู้เจียวพยักหน้าอย่างจริงจัง
หลงอีนั่งอยู่บนหลังคารถ กู้เจียวกับกู้เฉิงเฟิงนั่งอยู่บนที่นั่งนอกรถ ไท่จื่อนอนอยู่บนพื้นห้องโดยสารรถ และไม่มีผู้ใดสนใจพระองค์ ว่ากระแทกจนจมูกช้ำหน้าบวมเท่าใด
ครั้นผ่านถนนอันเงียบสงัดสายหนึ่ง หลงอีก็ได้ยินเสียงการต่อสู้อันดุเดือด
หลงอีไม่ได้ขยับ
เขาไม่สนใจการต่อสู้ของคนอื่น
เพียงไม่นาน กู้เจียวกับกู้เฉิงเฟิงก็ได้ยิน
กู้เฉิงเฟิงเป็นพวกชอบดูความคึกคักตั้งแต่เกิด เขาถามอย่างไม่อาจหักห้ามใจได้ “ใครน่ะ กลางค่ำกลางคืนแต่กลับไอสังหารเข้มข้นเพียงนี้”
กู้เจียวตั้งใจฟังอย่างละเอียด ก่อนเอ่ย “เหมือนจะเป็นเสียงของนักบวชชิงเฟิงกับเหลี่ยวเฉินนะ”
“เหลี่ยวเฉิน” กู้เฉิงเฟิงขมวดคิ้ว “เป็นอาจารย์ของจิ้งคงที่หมื่นปีไม่เปิดเผยตัวผู้นั้นรึ นักบวชตระกูลเซวียนหยวนผู้นั้น”
“เอ่อ…ทำนองนั้นแหละ” กู้เจียวพยักหน้า คนผู้นั้นนับว่าเป็นนักบวชจริงๆ ไม่ได้หรอก
กู้เฉิงเฟิงกำลังจะถามว่า ‘พวกเราจะไปดูกันหน่อยหรือไม่’ สุดท้ายเห็นหลงอีที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่สนใจเรื่องคนอื่นวิ่งไปไร้เงาแล้ว!
เขาไปยังถนนเส้นที่สองคนประมือกันอยู่
กู้เฉิงเฟิงสีหน้างงงวย “นี่เขาคิดจะทำอะไรน่ะ”
กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ “แย่แล้ว เขาได้ยินเสียงอาจารย์ของจิ้งคง เขาจะไปช่วยเหลี่ยวเฉินแล้ว”
นักบวชชิงเฟิงกับเหลี่ยวเฉินกำลังประมือกันดุเดือด ฝีมือสูสีกันทั้งคู่ จู่ๆ กลับมีเงาร่างสูงใหญ่ทะยานตัวลงมาจากอากาศ
คนที่มีผม คือเจ้าสำนัก
คนที่ไม่มีผม คือนักบวช
นักบวชชิงเฟิงแววตาสั่นสะท้าน รีบดึงท่าไม้ตายที่ซัดใส่เหลี่ยวเฉินกลับ ปลายเท้าแตะพื้น ทะยานตัวขึ้นหลบการโจมตีของหลงอี
หมัดของหลงอีกระแทกใส่เสาหินด้านหลังเขาเต็มๆ ทำเอาปริร้าวแยกสายหลายรอยทั้งอย่างนั้น!
นักบวชชิงเฟิงยืนอยู่บนหลังคา สีหน้าเคร่งขรึมมองผู้ช่วยที่โผล่มากะทันหัน ก่อนปรายตามองเหลี่ยวเฉินแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ย “คราหน้าค่อยมาสังหารเจ้า!”
เอ่ยจบ เขาก็หันหลังหายวับไปในราตรีสีมืด
เหลี่ยวเฉินหันกลับมา สายตาตกลงบนร่างหลงอี
หลงอีรูปร่างสูงใหญ่ สวมหน้ากากมีเขี้ยว สะพายกระบี่ยาวไว้ข้างหลัง มองดูแล้วค่อนข้างดุร้าย ทว่าเมื่อครู่นี้ก็เพราะบุรุษผู้นี้แหละ…ควรเรียกว่าหน่วยกล้าตายผู้นี้มากกว่า ที่ยื่นมือช่วยเขาไว้
เหลี่ยวเฉินเอ่ยเสียงนิ่ง “แม้ว่าข้าจะไม่ต้องการความช่วยเหลือของเจ้า แต่ก็คงต้องขอบคุณอยู่ดี”
“อ๋อ อย่างนั้นหรือ หากไม่ได้หลงอียื่นมือช่วย เจ้าได้โดนซัดไปแล้ว”
กู้เจียวกระโดดลงจากรถม้า
เหลี่ยวเฉินแค่นเสียงเอ่ย “นั่นเพราะข้าไม่ได้เอาจริงกับเขาต่างหากเล่า”
นี่เป็นคำสัตย์จริง นักบวชชิงเฟิงนั้นคิดจะสังหารเหลี่ยวเฉินจริงๆ แต่เหลี่ยวเฉินเพียงแค่เพราะรำคาญเขาจึงได้ออกท่าไม้ตายเป็นบางครั้ง สรุปแล้วก็คือเขาออมมือต่างหาก
“หลงอี กู้เฉิงเฟิง” กู้เจียวแนะนำให้รู้จัก
กู้เฉิงเฟิงลงมาจากรถม้า ทักทายเหลี่ยวเฉิน “ได้ยินว่าเจ้าเป็นอาจารย์ของจิ้งคง เลื่อมใสมานานแล้ว”
เหลี่ยวเฉินยิ้มจางๆ ดวงตาดอกท้อเป็นประกายแวววาว “เกรงใจแล้ว”
กู้เฉิงเฟิงชะงัก นักบวชคนหนึ่งหน้าตาเย้ายวนใจคนเพียงนี้เชียวรึ
เหลี่ยวเฉินค่อนข้างสนใจหลงอี “นี่เป็นหน่วยกล้าตายจากที่ใดรึ ท่าทางฝีมือไม่เลว”
กู้เจียวเอ่ย “เดาดูสิ”
เหลี่ยวเฉินแบมือทอดถอนใจ “ข้าเดาไม่ถูกหรอก”
กู้เจียวยกสองมือกอดอก “เช่นนั้นก็ค่อยๆ เดา อย่างไรข้าก็ไม่บอกอยู่แล้ว”
เหลี่ยวเฉินจิ๊ปาก ยิ้มบางเอ่ย “แม่หนู เจ้าไม่มีน้ำใจเอาเสียเลยนะ”
ตุ้บ!
แหวนหยกของหลงอีหล่นลงพื้น
แหวนหยกวงนี้ไม่รู้ว่าใช้เคล็ดลับอะไรหลอม นึกไม่ถึงว่าตกแล้วจะไม่แตก
หลงอีโน้มตัวลงเก็บแหวนหยกขึ้นมา
ทว่าชั่วขณะที่เหลี่ยวเฉินเห็นแหวนหยกวงนี้สีหน้าเขาพลันเปลี่ยน เขาเร่งฝีเท้าก้าวขึ้นหน้า ยื่นมือไปคว้าแหวนหยกในมือหลงอี
หลงอีเป็นคนที่ขีดเส้นไว้ชัด สิ่งของที่เป็นของเขามีเพียงองค์หญิงซิ่นหยาง เซียวเหิงและกู้เจียวเท่านั้นที่สามารถแตะต้องได้ ยามนี้พอจะฝืนใจนับรวมเสี่ยวจิ้งคงไว้ด้วยได้อีกคน
เหลี่ยวเฉินไม่ได้อยู่ในขอบเขตนี้เลย
หลงอีจึงซัดฝ่ามือใส่เหลี่ยวเฉิน
เหลี่ยวเฉินโดนฝ่ามือซัด ชั่วขณะที่กระเด็นออกไป ก็สะบัดแขนเสื้อปัดหน้ากากของหลงอีร่วง
จากนั้น เหลี่ยวเฉินก็ได้เห็นใบหน้าที่ต่อให้เปื้อนฝุ่นมอมแมมเขาก็ไม่มีทางจำไม่ได้
เพียงแต่ว่า ที่เขาเห็นในคราแรกคือใบหน้าของเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มถือกระบี่ยาวไว้ในมือเล่มหนึ่ง ราวกับจอมยุทธ์น้อยในยุทธภพที่ทำอะไรอิสรเสรีตามใจตัวเอง ทว่ากลับเย็นชาไร้ปรานียิ่งกว่าจอมยุทธ์เสียอีก
‘ชีวิตของเจ้า วันนี้เป็นของข้า มีอะไรจะสั่งเสียก็พูดมาเสียตอนนี้ หากทำได้ ข้าจะทำให้’ เสียงของเด็กหนุ่มเย็นเยือก ไร้อารมณ์ใดเจือปน
‘ดูท่าข้าจะไม่มีทางให้เลือกแล้ว…ข้ามีเพียงคำร้องเดียว ปล่อยลูกชายข้าไป เขาเพิ่งจะเต็มแปดขวบ เจ้าโปรดอย่าทำร้ายเขาเลย’
‘ได้ ข้ารับปาก’ เด็กหนุ่มรับคำ
‘ท่านพ่อ ไม่…’
‘เจิงเอ๋อร์ เดินไปข้างหน้า อย่าหันกลับมา’
‘ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านพ่อ…’
[1] ยามไห้ 21.00-23.00 น.