สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 812 โทสะของฮ่องเต้
บทที่ 812 โทสะของฮ่องเต้
“หลงอี หลงอี!”
เสี่ยวจิ้งคงถูกหลงอีแบกขึ้นหลังเดินบนหลังคา ความรู้สึกที่มีลมราตรีพัดปะทะหน้าหวีดหวิวทำให้เขารู้สึกเจ๋งยิ่งนัก
เขาเก่งกาจไม่พอ ยังร้องว้าวอย่างตื่นเต้นด้วย!
หลงอีสวมหน้ากาก ทำให้ไม่เห็นอารมณ์บนสีหน้าเขา แต่กู้เจียวสัมผัสได้ว่าเขาผ่อนคลายอารมณ์ทีเดียว
และมีความสุขมากด้วย
ชีวิตที่เป็นมือสังหารมีเพียงการเข่นฆ่าไม่จบไม่สิ้น แม้ยามนี้จะลืมเลือนอดีตไปหมดสิ้นแล้ว แต่ชีวิตเช่นนี้จะมิใช่ความงดงามอันบริสุทธิ์ได้อย่างไร
กู้เจียวมองหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่กระโดดขึ้นๆ ลงๆ ท่ามกลางรัตติกาล พลางเอ่ยสะท้อนใจ “ช่างสบายใจไร้กังวลจริงๆ ”
กู้เฉิงเฟิงฟังอยู่นานแล้ว หูแทบจะตั้งกลายเป็นหูลาอยู่รอมร่อ ในที่สุดเขาก็อดไม่ไหวเอ่ยขึ้น “พวกเขาสองคนยามนี้สบายใจไร้กังวลก็จริง แต่พวกเจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ บิดาของเหลี่ยวเฉินตายแล้ว เป็นไปได้มากที่เหลี่ยวเฉินจะเป็นเจ้าแห่งเงาทมิฬรุ่นที่สาม เขาเป็นนักบวชไปแล้ว ซ้ำยังไม่แต่งงานมีลูกมีเต้า ไม่แน่ว่าจิ้งคงอาจจะเป็นรุ่นที่สี่ก็ได้ หากภารกิจของหลงอีคือการสังหารเจ้าแห่งเงาทมิฬ เช่นนั้นเกิดหลงอีความทรงจำฟื้นคืนแล้ว เป็นไปได้มากที่จะลงมือกับพวกเขาสองคนนะ”
เขาเอ่ยพลางเว้นหยุด หันไปมองเซียวเหิง สายตาเจือความเห็นใจหลายส่วน “เจ้าอย่าเพิ่งดีใจให้มากเลย ในตัวเจ้าก็มีสายเลือดของตระกูลเซวียนหยวนไหลเวียนอยู่เช่นกัน ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้นเขาอาจจะฆ่าเจ้าไปด้วยก็ได้ ข้าว่าพวกเจ้าอย่าช่วยหลงอีฟื้นคืนความทางจำดีกว่า เขาเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว”
เซียวเหิงกับกู้เจียวต่างมองหลงอีที่แบกเสี่ยวจิ้งคงบุกทะลวงราตรีสีมืด
ไม่รู้ว่าทั้งคู่ตาฝาดหรือไม่ จึงเห็นว่าบนตัวเขาให้ความรู้สึกเดียวดายเหลือคณานับ
คนผู้หนึ่งไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ไม่รู้ว่ามาจากไหน ไม่รู้ว่าต้องไปไหน และไม่รู้ว่ามีภารกิจและเป้าหมายอะไรติดตัวอยู่ ราวกับถูกทั้งโลกกีดกันให้อยู่ข้างนอก
ตอนที่เขาหลงคิดว่าตัวเองเป็นองครักษ์หลงอิ่ง ไม่ได้เกิดความสงสัยเช่นนี้ขึ้น
ทว่ายามนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองไม่ใช่องครักษ์หลงอิ่ง
กู้เฉิงเฟิงส่ายหน้าอย่างเหลือเชื่อ “เจ้าเสียสติไปแล้วรึ เจ้าเสียสติไปแล้วจริงๆ เจ้าไม่รู้หรือว่าเขาคือพิชิตเวหา มือสังหารอันดับหนึ่งแห่งหกแคว้นที่กำราบวิญญาณทมิฬได้! เด็กหนุ่มโด่งดังตั้งแต่อายุสิบสาม กลายเป็นเทพสังหารที่ผู้คนแค่ได้ยินชื่อก็หวาดผวา! หากความทรงจำเขากลับคืนมาแล้ว พวกเจ้าได้ตายกันหมดแน่!”
เขาหันไปมองกู้เจียว “เจ้าก็เกลี้ยกล่อมเขาหน่อยสิ! เจ้าเคยเห็นหลงอีลงมือนี่ คนผู้นั้นยามเหี้ยมโหดขึ้นมา ไม่มีใครรอดชีวิตสักคน!”
กู้เจียวมือหนึ่งจับฝ่ามือใหญ่อันอบอุ่นของเซียวเหิงไว้ อีกมือลูบคางน้อยๆ อันประณีตของตัวเอง “เอาอย่างนี้สิ ก็เริ่มสอนหลงอีจากการพูดจาสื่อสารก่อนไหม”
กู้เฉิงเฟิง “…”
ไท่จื่อถูกพากลับไปยังจวนกั๋วกง
กู้เฉิงเฟิงไม่ค่อยเกรงใจเขาเท่าใดนัก ใช้น้ำเย็นกะละมังหนึ่งสาดปลุกเขา ไท่จื่อสะดุ้งเฮือก ลุกขึ้นนั่งกำลังจะตวาดด่า ก็เห็นเท้าของกู้เจียวง้างขึ้นมาแล้ว
พระองค์กลืนถ้อยคำที่อยู่ปลายลิ้นกลับลงไปเงียบๆ
ภายในห้องมีเพียงกู้เจียวกับกู้เฉิงเฟิง ไท่จื่อไม่เคยเห็นใบหน้าดวงนี้ของกู้เฉิงเฟิง แต่ไท่จื่อเคยเห็นกู้เจียวมาก่อน
พระองค์สีหน้าเย็นชาขึ้น ตรัสเสียงแข็ง “เซียวลิ่วหลัง เจ้าช่างกำเริบเสิบสานนัก! นึกไม่ถึงว่าจะจับไท่จื่อแห่งต้าเยี่ยน!”
กู้เจียวไม่สนใจเขา แค่ส่งสายตาให้กู้เฉิงเฟิงแทน
รีบหิ้วออกไปสิ รำคาญ
กู้เฉิงเฟิง ‘พา’ ไท่จื่อไปยังห้องข้างๆ
ยามนี้ดึกมากแล้ว คนภายในเรือนเข้านอนกันหมดแล้ว เสี่ยวจิ้งคงก็ฟุบบนหลังหลงอีหลับปุ๋ยอยู่ระหว่างทางกลับแล้วเช่นกัน
แต่ฮ่องเต้ยังไม่เข้าบรรทม
กู้เฉิงเฟิงผลักคนเข้าห้องแล้วก็หันหลังจากไป “พวกเจ้าพ่อลูกคุยกันดีๆ ข้าไปล่ะ!”
เขาหันหลังกลับมามุดเข้าห้องตัวเอง แนบหูกับกำแพงด้วยกันกับกู้เจียว
ภายในห้องมีแสงไฟสลัว กลิ่นยาทาแผลและกลิ่นสุราอบอวลอยู่จางๆ
ไท่จื่อมองแวบแรกไม่ชัด จึงยืดตัวขึ้นตรงเอ่ยถามอย่างเย่อหยิ่ง “เจ้าเป็นใคร ไยจึงจับตัวข้ามา”
ฮ่องเต้ตบโต๊ะลั่น กลิ่นอายจักรพรรดิพุ่งทะยานเต็มที่ “เจ้าลูกทรพี!”
ไท่จื่อตกใจกับเสียงตวาดคุ้นหูจนแข้งขาอ่อนยวบทรุดลงกับพื้น “เสด็จพ่อรึ!”
ครั้นมุมมองเปลี่ยนไป ในที่สุดพระองค์ก็เห็นดวงหน้าใต้หมวกสานชัดเจน
ถูกต้อง เป็นเสด็จพ่อของพระองค์
ไท่จื่อถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “เสด็จพ่อ ท่านเป็นคนให้เซียวลิ่วหลังจับตัวลูกมาหรือพ่ะย่ะค่ะ ที่นี่ที่ใดกัน เหตุใดเสด็จพ่อจึงจับลูกมาเล่า”
ฮ่องเต้เห็นความฉงนของไท่จื่อชัดเจน ก็พอจะกระจ่างแจ้งในพระทัยแล้ว ไท่จื่อไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับฮ่องเต้ตัวจริงตัวปลอม
ซึ่งก็หมายความว่าเขาไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้
การตระหนักนี้ทำให้พระทัยฮ่องเต้รู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว
ฮ่องเต้ตรัสเสียงนิ่ง “เจ้าไม่ต้องสนใจว่าที่นี่คือที่ใด เจ้าแค่จำถ้อยคำที่เราจะบอกกล่าวเจ้าต่อจากนี้เอาไว้ก็พอ”
ไท่จื่อตรัสอย่างเคารพ “เสด็จพ่อโปรดตรัสออกมาเถอะขอรับ”
ฮ่องเต้พระพักตร์เคร่งขรึมพลางตรัส “แม่เจ้า แม่นางหันวางแผนก่อกบฏอย่างลับๆ เราโดนนางกดขี่ข่มเหงประทุษร้าย ไม่ได้อยู่ในวังตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
เพียงสามประโยคสั้นๆ ทุกถ้อยคำล้วนประหนึ่งสายฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ทำเอาไท่จื่อมึนงง
ไท่จื่อเงยหน้าขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ทอดสายตามองฮ่องเต้พลางตรัส “เสด็จพ่อ…ท่านกำลังตรัสอะไรพ่ะย่ะค่ะ ไยลูกจึงไม่เข้าใจเลยเล่า เสด็จแม่นางวางแผนทำร้ายท่าน… ท่านหมายถึงเรื่องมนตร์ดำหรือ เสด็จพ่อ ท่านโปรดวินิจฉัยอย่างปราดเปรื่องด้วย ท่านแม่โดนใส่ร้ายนะพ่ะย่ะค่ะ! นางโดนคนครหาใส่ความ! นางไม่เคยคิดทรยศต่อท่านเลย…”
ฮ่องเต้ปรายตามองเขา สุรเสียงเคร่งขรึมถาม “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเราออกจากวังมาได้อย่างไร”
ไท่จื่อนิ่งอึ้ง ไม่เข้าใจความหมายของฮ่องเต้
ใช่แล้ว
เมื่อครู่เสด็จพ่อบอกว่าไม่อยู่ที่วังตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
ไม่สิ เมื่อเช้าเสด็จพ่อยังไปประชุมเช้าอยู่เลย ซ้ำยังออกราชโองการฟื้นคืนตำแหน่งไท่จื่อให้ตนด้วย
ฮ่องเต้มองไท่จื่ออย่างลุ่มลึกพลางตรัส “ฮ่องเต้ในวังเป็นตัวปลอม”
พระทัยไท่จื่อโดนกระทบกระเทือนหนักอีกระลอก “ในวัง… เป็นตัวปลอม… เช่นนั้น…”
ราชโองการฟื้นคืนตำแหน่งไท่จื่อให้ตนก็เป็นของปลอมน่ะสิ
ก็ว่าอยู่ เหตุใดตนจึงได้พลิกฟื้นขึ้นมาได้เร็วปานนี้…
เสด็จพ่อ เสด็จพ่อไม่ได้ทรงคิดจะคืนตำแหน่งให้ตน และไม่ได้คิดจะสอบสวนตำหนักกั๋วซือและซ่างกวานเยี่ยน ล้วนเป็นแผนของท่านแม่ตนทั้งสิ้น…
“ไม่ ไม่ใช่… ไม่ได้เป็นเช่นนี้… ข้าไม่เชื่อ!”
ไท่จื่อพึมพำพลางลุกขึ้นมา ใช้แววตาแปลกหน้าสุดจะเปรียบมองฮ่องเต้ในเงาทมิฬ “ท่านแม่ข้าไม่มีทางทำเรื่องหักหลังเสด็จพ่อ…”
ฮ่องเต้จ้องเขาด้วยสายตาเรียบเฉย “เช่นนั้นเจ้าจะอธิบายเรื่องที่มีฮ่องเต้เพิ่มขึ้นมาในวังอย่างไร เจ้าคงไม่รู้สึกว่าเวลานี้ เราแอบออกจากวัง มาเล่นละครฮ่องเต้สองคนหลอกเจ้าหรอกกระมัง”
หากฮ่องเต้ต้องการจัดการไท่จื่อ จัดการตระกูลหัน ไม่จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากเพียงนี้ด้วยซ้ำ
ไท่จื่อพลันพูดไม่ออก
ทว่าเขาก็ไม่อาจรับได้ความจริงที่ว่าตัวเองได้กลับตำแหน่งไท่จื่อด้วยราชโองการเท็จ
เขาอุตส่าห์ได้ทะยานขึ้นยอดเมฆาอีกครั้ง เขาไม่อยากตกลงมาอีกแล้ว!
ไท่จื่อกำหมัดแน่น กัดฟันกรอดตรัส “ไม่ ไม่ใช่… เสด็จพ่อข้าไม่ใช่ตัวปลอม… หากมีฮ่องเต้สององค์จริง…เช่นนั้นตัวปลอมนั่น… ต้องเป็นเจ้าแน่ๆ ! เสด็จพ่อข้าเกลียดเซียวลิ่วหลังเป็นที่สุด! เซียวลิ่วหลังไม่เห็นผู้ใดในสายตา ไม่เห็นอำนาจกษัตริย์อยู่ในสายตา เจอเสด็จพ่อข้าก็ไม่เคยคุกเข่าให้ ซ้ำยังสมัครเป็นพรรคพวกกับอันกั๋วกง… คนที่เสด็จพ่อข้าเดียดฉันท์… นอกจากนี้ นอกจากนี้เขายังเป็นคนแคว้นล่าง… ถือดีอะไรมากำราบตระกูลใหญ่ของแคว้นชั้นสูง ช่วงชิงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารม้าเฮยเฟิง ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เสด็จพ่อข้าไม่อาจปล่อยไปได้! หากเป็นจริงดังที่เจ้าเล่ามา ว่าเจ้าต่างหากที่เป็นเสด็จพ่อข้า เจ้าถูกทำร้ายออกจากวัง เจ้าจะไม่มีทางไปหาเซียวลิ่วหลังเด็ดขาด! เสด็จพ่อข้าไว้ใจตระกูลหวังเป็นที่สุด… คนแรกที่เขาจะไปหาคือหวังซวี่!”
“เผยพิรุธออกมาแล้วกระมัง แม้จะไม่รู้ว่าเซียวลิ่วหลังใช้วิธีการใด หาคนที่มีหน้าตาและน้ำเสียงคล้ายคลึงเพียงนี้มาสวมรอยเป็นเสด็จพ่อข้า แต่ตัวปลอมก็คือตัวปลอม! ข้าว่าเจ้าอย่าได้ช่วยคนชั่วช้ากระทำชั่วดีกว่า ไม่เช่นนั้นจากวิธีการของเสด็จพ่อข้า เจ้าได้อยู่ไม่สู้ตายแน่!”
ฮ่องเต้ฟังถ้อยคำที่ไท่จื่อพรั่งพรูออกมา ก็ไม่ได้รีบร้อนโต้แย้ง แต่จมสู่ความเงียบงันแทน
ภายในห้องพลันเงียบลง
ไท่จื่อไม่รู้ว่าหูตัวเองหนวกไปแล้ว จึงได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจของตัวเอง และเสียงหัวใจเต้นตุบๆ เท่านั้น
“ที่แท้ ในสายตาเจ้า เราก็เป็นคนพรรค์นี้นี่เอง”
สุรเสียงผิดหวังของฮ่องเต้ลอยมาท่ามกลางราตรีสีมืด
ใจไท่จื่อกระตุกวูบ เกือบหลุดร้องออกมาตามจิตใต้สำนัก ทว่าก็อดกลั้นไว้ได้
ประกายสุดท้ายในนัยน์เนตรของฮ่องเต้ดับมอดลง
ถึงแม้ไท่จื่อจะตะโกนร้องเรียกคำว่า ‘เสด็จพ่อ’ ออกมาได้ พระองค์ก็ยังไม่ถึงขั้นผิดหวังขั้นสุดเท่านี้
ดูเอาเถิด
นี่คือไท่จื่อที่พระองค์ทรงพยายามไม่ฟังคำทัดทานเลือกสรรออกมา
นี่คือโอรสที่พระองค์ทรงตั้งอกตั้งใจสอนสั่ง
นี่คือว่าที่ฮ่องเต้ที่พระองค์เลือกสรรให้ต้าเยี่ยน
“ไม่ต้องแอบฟังแล้ว พวกเจ้ามานี่เถิด”
พระองค์ตรัสขึ้นอย่างเหนื่อยล้า
ไท่จื่อชะงัก
แอบฟังอะไร
อะไรมานี่
เสด็จพ่อจะทำอะไร
ไม่สิ เขาไม่ใช่เสด็จพ่อ!
เสด็จพ่อตัวจริงของตนอยู่ในวังหลวงโน่น!
กู้เฉิงเฟิงสาวเท้าเข้ามาในห้อง คว้าเสื้อส่วนหน้าของไท่จื่อขึ้น “เจ้าไปได้แล้ว!”
…
การสนทนากับไท่จื่อทำให้ฮ่องเต้สำนึกเสียใจขึ้นมาถึงขีดสุดแล้ว ในที่สุดพระองค์ก็ได้ลิ้มรสชาติของการที่ฝูงชนต่อต้าน ญาติมิตรหลีกหนีแล้ว มันทรมานกว่าที่จินตนาการไว้มากมายนัก
เซวียนหยวนลี่ สมมติว่าตอนนั้นเราไม่หักหลังเจ้า…
แต่โลกนี้มีเรื่องสมมติที่ไหนกัน…
มีเพียงผลกรรมและผลสุดท้าย
ไท่จื่อถูกพาตัวไปยังห้องเก็บฟืนแล้ว กู้เฉิงเฟิงหาเชือกมามัดเขาไว้
ไท่จื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ มือเท้าขยับไม่ได้ หันไปมองกู้เจียวกับกู้เฉิงเฟิงอย่างเย็นชา “พวกเจ้าจะทำอะไร”
กู้เฉิงเฟิงถือกระบองไว้ พลางแสยะยิ้มร้าย