สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 813 สงครามการละคร!
บทที่ 813 สงครามการละคร!
ณ ตำหนักเย็น
แม่นางหันหรืออดีตหันกุ้ยเฟยนั้นเข้านอนที่เรือนตะวันออกแล้ว
ทันใดนั้นนกเหยี่ยวตัวหนึ่งที่บินวนเวียนอยู่บนหลังคาก็ชนกระแทกหน้าต่างนาง ทิ้งกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ ที่คาบไว้ในปากไว้ แล้วกระพือปีกบินจากไป
แม่นางหันตกใจ เรียกสวี่เกาที่เฝ้ายามอยู่ด้านนอกให้มาหา แล้วให้เขามองว่ามันเกิดอะไรขึ้นตรงหน้าต่าง
สวี่เกาเปิดหน้าต่างออก กระบอกไม้ไผ่อันหนึ่งร่วงลงพื้น เขาอ้อมลานไปเก็บกระบอกไม้ไผ่ขึ้นมา “กุ้ยเฟย กระบองไม้ไผ่ขอรับ”
“ข้างในมีอะไร” แม่นางหันถาม
สวี่เกายืดแขนออกยาว พยายามถือกระบอกไม้ไผ่ให้ห่างตัวหน่อย เพื่อไม่ให้ปากกระบอกกับก้นกระบองหันมาทางตน
เขาจีบมือท่าดอกกล้วยไม้ กัดฟันดึงจุกกระบอกออก
ไม่มีอาวุธลับพุ่งออกมา เขาจึงลอบพรูลมหายใจโล่งอก
“เป็นกระดาษข้อความขอรับ กุ้ยเฟย”
สวี่เกายื่นกระดาษข้อความในกระบอกไม้ไผ่ให้แม่นางหันด้วยสองมือ หลังจากที่นางอ่านแล้ว ก็กำหมัดทุบโต๊ะ “น่าชังนัก! นึกไม่ถึงว่าพวกมันจะจับไท่จื่อไป!”
สวี่เกาหยิบกระดาษข้อความมาอ่าน เห็นเพียงในนั้นเขียนไว้ว่า คืนนี้ยามโฉ่ว[1] พบกันที่ศาลาไป่เฟิง ไม่เช่นนั้นไท่จื่อสิ้นแน่
ข้อความท้าทายนี้ ทำเอาสวี่เกาเห็นแล้วหนังตากระตุกยิกๆ
“กุ้ยเฟย นี่อาจจะเป็นความเท็จก็ได้นะขอรับ” สวี่เกาเอ่ย
แม่นางหันเอ่ยอย่างใจเย็น “ข้ารู้ ดังนั้นเจ้ารีบไปที่จวนไท่จื่อที สืบดูความจริงเท็จ”
“ขอรับ!”
สวี่เกาขานรับ
แม้แม่นางหันจะถูกกักขังอยู่ที่ตำหนักเย็น แต่ยามนี้นางเป็นคนควบคุม ‘ฮ่องเต้’ องครักษ์ที่เฝ้าประตูวังแต่ละแห่งก็เปลี่ยนเป็นคนตระกูลหันหมดแล้ว นางกับคนของนางจะออกไปย่อมไม่ยาก
สิ่งที่ทำให้สวี่เกาตกใจก็คือ ไท่จื่อมิได้อยู่ที่จวนจริงๆ หนำซ้ำองครักษ์เสื้อแพรสิบนายที่ไท่จื่อพาออกไปด้วยก็พากันเร่งรุดกลับมาโยกย้ายกำลังทหาร บอกว่าไท่จื่อโดนลักพาตัวไปด้วย!
ได้ยินเสียงรายงานจากสวี่เกา หันซื่อก็โมโหจนเส้นเอ็นเต้นตุบๆ “เตรียมรถ!”
…
ยามโฮ่ว รถม้าของแม่นางหันมาถึงสถานที่นัดหมายไม่ขาดไม่เกินแม้แต่เค่อเดียว
กู้เจียวกับเซียวเหิงรออยู่ในศาลานานแล้ว
เห็นพระนัดดากับเซียวลิ่วหลัง แววตาแม่นางหันก็เย็นเยียบขึ้น “เป็นพวกเจ้านี่เอง”
กู้เจียวแบมือ “วิญญาณทมิฬไม่ได้บอกเจ้ารึ ว่าฮ่องเต้ถูกข้าชิงตัวไปแล้ว!”
วิญญาณทมิฬย่อมบอกแล้ว เพียงแต่แม่นางหันคิดไม่ถึงว่าพวกเขาสองคนจะจับตัวไท่จื่อในคืนนี้ต่อ
นางฟาดฮ่องเต้สลบยังไม่ทันดี เซียวลิ่วหลังก็มาชิงตัวคนแล้ว
วันรุ่งขึ้นนางแต่งตั้งไท่จื่อ เซียวลิ่วหลังก็จับตัวไท่จื่อไปในคืนนั้นเลย
แม่นางหันพาสวี่เกาขึ้นบันได นางนั่งลงตรงหน้าทั้งคู่อย่างใจกว้างผ่าเผย ก่อนจะหันไปมองเซียวเหิง ยิ้มเย็นเอ่ย “ข้าไม่ได้พบคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้มานานแล้ว ซ่างกวานชิ่ง เจ้าทำให้ข้าต้องมองใหม่จริงๆ ”
“กุ้ยเฟยชมเกินไปแล้ว” เซียวเหิงเอ่ยอย่างราบเรียบ “ดึกมากแล้ว ถ้อยคำทักทายตามมารยาทข้าว่าละเว้นดีกว่า คืนนี้ที่เชิญกุ้ยเฟยมาเพราะอยากจะทำข้อตกลงกับกุ้ยเฟย”
สายตาแม่นางหันมองไปรอบๆ
เซียวเหิงยิ้มจาง ‘กุ้ยเฟยไม่ต้องมองหรอก ไท่จื่อไม่ได้อยู่ที่นี่ กุ้ยเฟยก็อย่าได้คิดถ่วงเวลา เพื่อหวังให้ยอดฝีมือใต้บัญชาผู้นั้นหาตัวไท่จื่อเจอได้”
แม่นางหันหรี่ตาลง “เจ้าอยากทำข้อตกลงอะไรกับข้า”
เซียวเหิงเอ่ย “ส่งตัวฮ่องเต้ตัวปลอมออกมา ข้าจะคืนไท่จื่อให้”
แม่นางหันเอ่ยโดยไม่ต้องคิด “เหอะ ฝันไปเถิด!”
แม่นางหันเอ่ยขู่ “เจ้าฆ่าไท่จื่อไป ข้าก็ฆ่าองค์หญิงน้อยในวังเช่นกัน! นี่น่าจะไม่ใช่ผลลัพธ์ที่พวกเจ้าอยากได้หรอกกระมัง!”
แววตาเซียวเหิงเป็นประกายเดือดดาล “แม่นางหัน! แม้แต่เด็กบริสุทธิ์วัยสี่ปีเจ้ายังลงมือได้ลง! เจ้ามันช่างใจดำอำมหิตนัก!”
“เจ้าเพิ่งจะรู้หรือว่าข้าใจดำอำมหิต” แม่นางหันมองเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมสองคนตรงหน้าอย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัว ก่อนยิ้มเย็นเอ่ย “จะสู้กับข้า พวกเจ้ายังอ่อนหัดนัก! ไม่อยากให้องค์หญิงน้อยเป็นอะไรไป ก็ส่งตัวไท่จื่อคืนมาให้ข้าเสียดีๆ !”
เดิมทีเป้าหมายของเซียวเหิงกับกู้เจียวไม่ใช่แลกตัวกับฮ่องเต้ตัวปลอม แต่หากต้องการจะให้หน้าต่างบนหลังคาที่แน่นหนาลมเล็ดลอดไม่ได้เปิดอ้าออก ก็ต้องเป็นฝ่ายรื้อหลังคาทิ้งเสียก่อน
กู้เจียวเลิกคิ้วเอ่ย “ข้าจับตัวคนไม่เปลืองแรงหรือไร ให้ส่งตัวไท่จื่อกลับไป ช่างฝันหวานนัก!”
“เจ้าหนูแคว้นล่างนี่อีกแล้ว!” แม่นางหันมองกู้เจียวอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง จู่ๆ สายตาก็ลุ่มลึกขึ้นมา “อันที่จริงติดตามพระนัดดามีอะไรดีรึ สิ่งที่ซ่างกวานเยี่ยนกับพระนัดดาให้เจ้าได้ ข้ากับไท่จื่อให้เจ้าได้มากกว่า ไม่สู้พิจารณามาเป็นคนทำงานให้ข้าดีกว่า ข้าจะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดีเด็ดขาด”
ไอ้หยา นี่มันตีท้ายครัวต่อหน้ากันเลยนี่นา
แม่นางหันมองภาพลักษณ์ตัวเองในแง่ดีและมั่นอกมั่นใจยิ่งนัก
กู้เจียวหยักยกมุมปาก ยกมือขึ้นวางบนมือเซียวเหิงที่วางอยู่บนโต๊ะหินแผ่วเบา ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างเนิบช้า ท่ามกลางสายตาจดจ้องของแม่นางหันที่ราวกับเห็นผีก็มิปาน “สิ่งที่ข้าต้องการคือเขา เจ้าให้ได้หรือ”
แม่นางหันรู้สึกราวกับฟ้าผ่าสรรพางค์กาย บุรุษสองคน… นึกไม่ถึงว่า…
“ผิดผีประเวณี!”
นางทนมองไม่ได้แล้ว!
แม่นางหันหันหน้าหนี เอ่ยอย่างเย็นชา “องค์หญิงน้อยพวกเจ้าเอาไปเลย! นี่เป็นการอ่อนข้อที่สุดที่ข้าจะทำได้แล้ว! ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่ถือสาที่จะมัจฉาตายตาข่ายขาด[2]ไปกับพวกเจ้า!”
นางกระจ่างแจ้งดี ซ่างกวานชิ่งไม่มีทางสังหารไท่จื่อจริงๆ หรอก เพราะหากเขาทำเช่นนี้ นางก็ต้องสังหารองค์หญิงน้อยทิ้งเช่นกัน
แต่ซ่างกวานชิ่งก็น่าจะรู้ดีเช่นกัน ว่านางไม่มีทางส่งตัวฮ่องเต้ให้เด็ดขาด
ทั้งสองฝ่ายจะตกลงร่วมกันได้อย่างเสมอภาคก็คือเอาองค์หญิงน้อยมาแลกกับไท่จื่อ มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
เซียวเหิงเอ่ย “ได้ เจ้าให้คนพาตัวองค์หญิงน้อยมา ข้าก็จะให้คนของข้าพาไท่จื่อมาเช่นกัน เจ้าอย่าคิดเล่นลูกไม้เชียว หากมาเกินห้าคน ข้าจะฆ่าไท่จื่อทิ้ง!”
นี่เป็นการป้องกันไม่ให้แม่นางหันให้คนพาทหารมาปราบปรามพวกเขา
เซียวเหิงเอ่ยอย่างเย็นเยือก “อย่างไรเสียหากพวกเราตายไป องค์หญิงน้อยในมือเจ้าก็คงไม่รอดเช่นกัน ไม่สู้ก่อนพวกเราตายก็ให้องค์หญิงน้อยได้ไปสู่สุคติเสีย!”
จำต้องกล่าวว่า เซียวเหิงพิจารณาได้รอบคอบทุกด้าน ถ้อยคำของเขามีความสามารถโน้มน้าวให้คล้อยตามมากทีเดียว
หากต้องถึงขั้นนั้นจริงๆ เขาจะฆ่าองค์หญิงน้อยหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว ทำให้แม่นางหันเชื่อว่าเขาจะทำได้ก็พอ
แม่นางหันมั่นใจในแผนการที่ให้คนนำกำลังทหารมาปราบปราม ใครจะคิดว่าโดนอีกฝ่ายมองออกทะลุปรุโปร่งอีกครา
อายุรุ่นเดียวกับหมิงจวิ้นอ๋อง แต่เล่นงานคนได้ถึงขั้นนี้
ช่างเป็นคนรุ่นหลังที่น่าหวั่นเกรงจริงๆ
แม่นางหันกระซิบสั่งสวี่เกาสองสามคำ สวี่เกาพยักหน้าขานรับ “ขอรับ บ่าวจะไปพาตัวองค์หญิงน้อยมาเดี๋ยวนี้”
“ไท่จื่อเล่า” แม่นางหันถามเซียวเหิง
เซียวเหิง “พวกเราเห็นองค์หญิงน้อยแล้ว ย่อมพาไท่จื่อมา”
ยามอิ๋น[3]
สวี่เกาพาทั้งสามคนมายังศาลาไป่เฟิง หนึ่งในนั้นมีวิญญาณทมิฬด้วย อีกสองคนที่เหลือเป็นแม่นมและองค์หญิงน้อยที่หลับปุ๋ยอยู่
กู้เจียวกอดอกพินิจมองวิญญาณทมิฬตั้งแต่หัวจรดเท้า ถูกหลงอีซัดจนบาดเจ็บเพียงนั้น เวลาเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืนก็ฟื้นฟูได้พอสมควรแล้ว เป็นเพราะฤทธิ์ของยาจื่อเฉ่าหรือ ร่างกายและจิตวิญญาณช่างแข็งแกร่งจริงๆ
กู้เจียวผิวปาก
เสี่ยวจิ่วไปแจ้งข่าว
หนึ่งเค่อต่อมา หลงอีก็แบกไท่จื่อใช้วิชาตัวเบามาถึงศาลาไป่เฟิง
วิญญาณทมิฬมองหลงอีที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น แววตามีไอสังหารวาบผ่าน
แม่นางหันเอาแต่พะวงจะช่วยไท่จื่อ ไม่คิดสร้างปัญหาเพิ่มที่นี่ ที่สำคัญก็คือ นางไม่อยากให้อีกเดี๋ยวต่อสู้กันขึ้นมาไท่จื่อกับตนจะโดนลูกหลงไปด้วย
“แลกเปลี่ยนได้แล้วกระมัง” นางเอ่ยนิ่งๆ
“ให้องค์หญิงน้อยมาก่อน” เซียวเหิงเอ่ย
แม่นางหันลังเล ก่อนจะพยักหน้าให้แม่นม
แม่นมอุ้มองค์หญิงน้อยเดินมาหา
วิญญาณทมิฬจ้องแผ่นหลังแม่นมเขม็งตั้งแต่ต้นจนจบ หากอีกฝ่ายไม่ยอมส่งตัวไท่จื่อมา เขาจะซัดฝ่ามือให้พวกนางตายทันที!
เคราะห์ดีที่เซียวเหิงไม่ได้เล่นตุกติก “หลงอี ส่งไท่จื่อให้พวกเขา”
หลงอีโยนไท่จื่อไปให้อย่างเดียดฉันท์
วิญญาณทมิฬยื่นมือไปรับไท่จื่อไว้
“พวกเรากลับ!” เซียวเหิงเอ่ย
ทั้งสองฝ่ายไม่ได้สู้กัน หนึ่งเพราะทั้งสองฝ่ายมีกำลังพอๆ กัน อีกประการหนึ่งเพราะทั้งสองฝ่ายต่างไม่อยากให้คนของตัวเองโดนลูกหลง
หลังจากที่พวกเซียวเหิงจากไป ไท่จื่อก็นั่งบนม้านั่ง กุมใบหน้าบวมเป่งเหมือนหัวหมู น้ำตาไหลนองหน้าฟ้อง “เสด็จแม่… พวกเขารังแกกันเกินไปแล้ว!”
แม่นางหันมองบุตรชายที่โดนต่อยจนจมูกช้ำหน้าบวม ดวงใจดุจมีมีดเฉือน นางยกมือขึ้น ประคองดวงหน้าลูกอย่างระมัดระวัง “สารเลว! นึกไม่ถึงว่าจะทำร้ายองค์ชายอย่างเจ้าถึงเพียงนี้! เจ้าวางใจได้ แม่จะทวงความเป็นธรรมคืนให้เจ้าแน่นอน!”
“แต่ว่า” นึกบางอย่างขึ้นมาได้ แม่นางหันก็ถามขึ้นอีก “เจ้าออกจากจวนมาได้อย่างไร”
ไท่จื่อล้วงกระดาษข้อความออกมาจากอก “ข้าได้รับข้อความนี้ นึกว่าเป็นเสด็จแม่เรียกข้า”
แม่นางหันรับมาดู เป็นลายมือนางไม่มีผิด นางนึกถึงเรื่องมนตร์ดำขึ้นมา ลายมือเหมือนกันกับในจดหมายที่ค้นเจอทุกประการ
แม่นางหันคล้ายคิดบางอย่างอยู่ “ดูท่าในมืออีกฝ่ายจะมียอดฝีมือที่ปลอมลายมือได้อยู่…แต่ข้าไม่เข้าใจว่าเพิ่งจะให้สวี่เกามาเตือนเจ้า ว่าหากไม่มีธุระใดก็อย่าไปหาข้าที่ตำหนักเย็นมิใช่หรือ ข้าจะเป็นฝ่ายมาหาเจ้าได้อย่างไร เจ้าตกหลุมพรางได้อย่างไร”
ไท่จื่อเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “ลูก…ลูกเลินเล่อไป”
ไท่จื่อก้มหน้าลง ไม่ส่งเสียงใด
แม่นางหันเอ่ยอีก “หลังจากที่พวกมันจับตัวเจ้าไปแล้ว ได้พูดอะไรกับเจ้าบ้าง”
ไท่จื่อเอ่ยอย่างลังเล “พวกมันบอกว่า…เสด็จแม่แอบก่อกบฏ เสด็จพ่อที่อยู่ในวังเป็นตัวปลอม”
แม่นางหันตบโต๊ะดังปั้ง “เหลวไหล! เจ้าอย่าได้หลงกลชั่วๆ ของพวกมัน!”
ไท่จื่อรีบเอ่ย “ลูกก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน!”
แม่นางหันอ้าปากพะงาบ อยากจะเอื้อนเอ่ยแต่ยั้งไว้ นางถอนใจเอ่ย “เอาละ เจ้าบาดเจ็บถึงเพียงนี้ รีบกลับจวนไปให้หมอหลวงดูหน่อย นอกจากนี้ เจ้าบาดเจ็บเพียงนี้แล้ว คงเข้าประชุมเช้าไม่ได้ สองสามวันนี้ก็พักอยู่ที่จวนแล้วกัน”
ไท่จื่อมองนางพลางถาม “เช่นนั้นลูกไปเยี่ยมเสด็จแม่ได้หรือไม่”
แม่นางหันครุ่นคิด ก่อนเอ่ย “อย่าเพิ่งเลยดีกว่า หมู่นี้…ใ นวังไม่ค่อยสงบ เจ้าอย่าเพิ่งมาหาข้าที่ตำหนักเย็น”
ไท่จื่อเอ่ย “เช่นนั้นลูกไปเยี่ยมเสด็จพ่อได้หรือไม่ ลูกเพิ่งถูกแต่งตั้งเป็นไท่จื่อดังเดิม ยังไม่ทันได้เข้าวังไปขอบพระทัยเสด็จพ่อเลย”
แม่นางหันใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “รอให้เสด็จพ่อเลิกประชุมก่อน เจ้าค่อยไปขอบพระทัย แต่เจ้าบาดเจ็บ…”
ไท่จื่อแย้มยิ้มพลางเอ่ย “แผลเล็กน้อยแค่นี้ไม่เป็นไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งข้าบาดเจ็บก็ยังไม่ลืมไปขอบพระทัย ยิ่งทำให้เสด็จพ่อหวั่นไหวมิใช่หรือ”
แม่นางหันคิดในใจว่า นั่นมันฮ่องเต้ตัวปลอม จะให้เขาหวั่นไหวอะไร
แต่การให้โอรสเข้าเฝ้านี้ก็เป็นการแสดงให้คนทั้งแผ่นดินได้ดู
จะชักช้าไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ
แม่นางหันส่งไท่จื่อกลับจวนแล้ว ก็นั่งรถม้ากลับวัง
ไท่จื่อเรียกองครักษ์มาคนหนึ่ง เอ่ยอย่างรำคาญ “โคมอยู่ที่ใด จุดไฟหน่อยไม่ได้หรือไร ”
“ขอรับ!” องครักษ์รีบจุดไฟมาส่องทางให้
ไท่จื่อกลับมายังเรือนตัวเอง เขาผลักประตูห้องที่แง้มไว้ให้เปิดอ้า
องครักษ์ถาม “องค์ชาย ท่านจะไปห้องหนังสือหรือไม่”
ไท่จื่อชะงัก “ฟ้าใกล้สว่างแล้ว ไม่ควรไปขยันขันแข็งที่ห้องหนังสือ กลับห้อง”
“พระองค์ระวังขอรับ” องครักษ์ถือโคมส่องทางให้ หลังมาถึงห้องแล้ว ก็ผลักประตูห้องเปิดเบาๆ คำนับให้อย่างนอบน้อม “องค์ชาย จะให้ตามหมอหรือไม่ขอรับ”
ไท่จื่อสองมือไพล่หลัง หันกลับมามองเขาแวบหนึ่ง เอ่ย “ไม่ต้องหรอก แผลเล็กน้อยไม่ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เจ้าไปพักเถิด ตอนเช้าก็ไม่ต้องปลุกข้านะ”
องครักษ์ชะงัก “เอ่อ… พ่ะย่ะค่ะ”
แปลกจริง จู่ ๆ ไท่จื่อจะนอนจนตะวันโด่รึ
ก็จริง อายุปูนนี้แล้ว ซ้ำยังบาดเจ็บกลับมา ร่างกายคงรับไม่ไหว
องครักษ์ถือโคมไฟถอยไป
ไท่จื่องับประตูห้อง ลงกลอน เดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องอันวิจิตรหรูหรา คว้าท้อเชื่อมผลใหญ่วาววับขึ้นจากโต๊ะ มากัดกร๊วบๆ
“นี่เป็นสถานที่ที่ไท่จื่ออยู่อาศัยหรือนี่”
ไท่จื่อ… กล่าวให้ถูกคือ กู้เฉิงเฟิง
กู้เฉิงเฟิงพึมพำจบก็ร้องว้าวๆ มองท้อเชื่อมในมืออย่างตกใจ “แม้แต่ลูกท้อยังหวานเพียงนี้!”
กลางค่ำกลางคืนได้กินผลไม้เย็นๆ หวานฉ่ำ ไท่จื่อแห่งแคว้นต้าเยี่ยนช่างรู้จักเสพสุขจริงๆ !
กู้เฉิงเฟิงล้มตัวลงบนเตียง สัมผัสอ่อนนุ่มนั่นแทบทำให้เขาสบายจนหวีดร้อง
เขาสลัดรองเท้าทิ้ง มือหนึ่งถือลูกท้อ อีกมือรองท้ายทอยต่างหมอน
เขายกขาขึ้นไขว่ห้าง สั่นขาพลางแทะลูกท้ออย่างลำพอง แค่นเสียงเอ่ย “แม่นางหันหญิงโง่นั่น ต้องกำลังดีอกดีใจที่ตัวเองเป็นยอดนักเจรจาอยู่แน่ๆ ใช้แค่องค์หญิงน้อยคนเดียวก็แลกกับไท่จื่อของนางได้แล้ว คิดไม่ถึงว่าความจริงแล้วคนที่แลกมาจะเป็นข้ากระมัง! นี่เรียกว่า… เลียนแบบวิธีศัตรูมาโต้คืน!”
นึกถึงการแสดงในศาลาขึ้นมา เขาก็ลุกขึ้นนั่ง เอ่ยอย่างเคลิบเคลิ้มสุดจะเปรียบ “ฝีมือการแสดงของข้าดีเพียงนี้ แม้แต่แม่นางหันที่เป็นมารดาแท้ๆ ยังเชื่อ สมกับเป็นข้าจริงๆ !”
[1] ยามโฉ่ว 01.00-03.00 น.
[2] มัจฉาตายตาข่ายขาด ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
[3] ยามอิ๋น 03.00-05.00 น.