สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 814 ล้างบางวังหลวง
บทที่ 814 ล้างบางวังหลวง
รุ่งอรุณกำลังจะฉายทางทิศบูรพา แสงแรกของวันใหม่ทอขึ้นจางๆ
องค์หญิงน้อยตื่นนอนแล้ว เด็กเล็กไม่เหมือนผู้ใหญ่ ตื่นแล้วยังโอ้เอ้เกียจคร้าน องค์หญิงน้อยสะลึมสะลือลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะปีนลงเตียงฉิว
เอ๋
ที่นี่ที่ใดกัน
“แม่นมเล่า”
นางเดินออกไปด้วยเท้าเปลือยเปล่า
มองทางเดินและลานเรือนไม่คุ้นตา นางพลันฉงน
ไม่รอให้นางร้องไห้ออกมา เสี่ยวจิ้งคงที่ฝึกวรยุทธ์ยามเช้าเสร็จก็เดินมาแล้ว
“เสี่ยวเสวี่ย”
องค์หญิงน้อยหันกลับไปอย่างน่าเอ็นดู “จิ้งคง”
จิ้งคงวิ่งตึงตักเข้ามาหา
เห็นสหายน้อยคนสนิท องค์หญิงน้อยก็พลันลืมกลัวไปทันที
เจ้าเด็กเล็กทั้งสองยืนเผชิญหน้ากัน แขนน้อยๆ โบกไหวๆ อยู่ด้านหลัง ราวกับลูกนกน้อยสองตัวที่กำลังตื่นเต้นดีใจ
“เสี่ยวเสวี่ย!”
“จิ้งคง!”
“เสี่ยวเสวี่ย!”
“จิ้งคง!”
เสียงเล็กของพวกเขาเจี๊ยวจ๊าวขึ้นในเรือน ท่านย่านอนอ่อนเพลี้ยอยู่บนเตียงอย่างหมดอาลัยตายอยาก
ตอนที่กลับแคว้นเจาอย่าได้พาเจ้าแตรน้อยนั่นกลับไปด้วยเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นนางได้ขึ้นสวรรค์แน่
กู้เฉิงเฟิงนอนจนถึงยามบ่าย
เขากำชับไว้ก่อนแล้ว จึงไม่มีผู้ใดมารบกวนเขาเลย
จะว่าไปแล้วพฤติกรรมของเขาก็ค่อนข้างแตกต่างจากไท่จื่ออยู่บ้าง อย่างไรเสียไท่จื่อก็มักจะมีท่าทางขยันขันแข็งมาก ปกติมักจะตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง กว่าจะกินข้าวก็ค่ำแล้ว ไม่เคยนอนตื่นสายเกียจคร้านมาก่อนเลย
แต่ต่อให้จะแปลกใจอย่างไร ก็ไม่มีผู้ใดเดาได้ว่าไท่จื่อจะถูกเปลี่ยนตัวแล้ว
หลังจากกู้เฉิงเฟิงตื่นแล้ว ก็ไปเปิดตำราอ่านที่ห้องหนังสือของไท่จื่อพักหนึ่ง เขาอยากหาหลักฐานการกระทำผิดคิดก่อกบฏของไท่จื่อกับคนตระกูลหัน หรือของแม่นางหันกับคนตระกูลหัน แต่ก็ไม่ค่อยได้อะไรเลย
แม่นางหันไม่ได้บอกให้ไท่จื่อรู้แม้แต่เรื่องที่ฮ่องเต้ถูกเปลี่ยนตัวด้วยซ้ำ ดูท่าจะอยากให้ในมือโอรสตัวเองสะอาดสะอ้าน แต่โอรสนางไม่สะอาดสะอ้านมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ออกคำสั่งให้ไปลอบสังหารเซียวเหิงก็เป็นคนใจดำอำมหิตแล้ว
มีเพียงแม่นางหันที่หลอกลวงคน คิดว่าโอรสนางฆ่าคนก็ยังใสซื่อบริสุทธิ์
นี่เป็นสตรีที่น่าเวทนาคนหนึ่ง
มีสติปัญญาอันชาญฉลาดแท้ๆ แต่มักจะพ่ายแพ้ให้กับสามีและบุตร
กู้เฉิงเฟิงจุ๊ๆ ปากเอ่ย “หากบอกว่าเจ้าฉลาดนั้น เจ้าก็เล่นลูกไม้แสนกล หากบอกว่าเจ้าฉลาดรึ เจ้าก็เป็นเพียงคนตาบอดสำหรับฮ่องเต้และไท่จื่อ”
กู้เฉิงเฟิงในยามนี้ไม่ได้ตระหนักรู้เลยว่า ท่านย่ากับกู้เจียวได้ช่วยทำให้มาตรฐานสตรีสมัยนี้ของเขาสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
พวกนางเกิดมาก็โดนแนวคิดชายเป็นใหญ่ข่มไว้ ออกเรือนไปก็เชื่อฟังสามี สามีตายยังต้องเชื่อฟังบุตรชายอีก แม่นางหันลงมือกับฮ่องเต้ได้ล้วนเพราะหักหลังข้อปฏิบัติช้านานของตัวเองแล้ว
ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ
บนหน้าต่าง เสี่ยวจิ่วใช้ปีกตบหน้าต่างอย่างดุดัน บ่งบอกว่า ‘กู้เฉิงเฟิงถึงเวลาปฏิบัติการณ์แล้ว!’
ช่างเป็นท่านนายกองน้อยที่โหดเหี้ยมเป็นพิเศษจริงๆ
กู้เฉิงเฟิงเบ้ปาก เปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาด แล้วส่องคันฉ่อง
ที่เขาพล่ามไปตั้งมากตั้งมายก็ยังไม่ทำความแตกเป็นเพราะที่กู้เจียวสวมให้ไม่ใช่หน้ากาก แต่เป็นแบบสวมทั้งศีรษะเลย
ที่ทำลักษณะจมูกช้ำหน้าบวมก็เพื่อไม่ให้สีหน้าที่แสดงออกมีพิรุธ
ข้อเสียคือร้อนยิ่งนัก
ช่างเถิด เพื่อการใหญ่ อดทนไว้!
กู้เฉิงเฟิงเลือกองครักษ์เสื้อแพรมาสองนายให้ติดตามตัวเองเข้าวัง นอกจากนี้ยังเลือกขันทีอีกสองคนมาด้วย องครักษ์เสื้อแพรตามมาได้ถึงแค่เขตพระราชฐานชั้นนอก ส่วนขันทีพาเข้าวังได้
เขาโดยสารรถม้ามุ่งหน้าไปยังวังหลวง ครั้นผ่านร้านขายขนมแห่งหนึ่ง เขาก็พาขันทีสองนายไปเลือกขนมให้ ‘เสด็จพ่อตัวเอง’
เมื่อทั้งสามออกมาจากร้านขายขนมแล้ว ขันทีสองนายก็ได้เปลี่ยนตัวแล้ว
เกี่ยวกับแผนการกำจัดความวุ่นวายให้กลับสู่ปกตินี้ ไม่ได้จะทำให้ซับซ้อนอะไรมาก ต้องเอิกเกริกจึงจะทำให้ฝั่งพวกเขาดูมีแผนการอย่างชัดเจน บางครั้งการเสียน้อยที่สุดเพื่อได้มาซึ่งผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ก็คือปัญญาอันชาญฉลาดที่แท้จริง
แม้ว่า ‘ไท่จื่อ’ จะจมูกช้ำหน้าบวม แต่ก็สามารถมองจากโครงหน้าออกว่ามีเค้าของไท่จื่อ กอปรกับน้ำเสียง ป้ายคำสั่ง ขันทีและองครักษ์เสื้อแพรของจวนไท่จื่อ ระหว่างทางไม่ได้มีผู้ใดสงสัยว่าเขาเป็นตัวจริงหรือตัวปลอมเลย
ยามนี้ฮ่องเต้ตัวปลอมกำลังเข้าประชุมเช้าอยู่
“พวกเราไปวังหลัง” กู้เฉิงเฟิงถาม
ฮ่องเต้ที่เป็นหนึ่งในขันทีตรัสนิ่งๆ “หลังเลิกประชุมเช้าเขาจะไปที่ตำหนักจงเหอ”
กู้เฉิงเฟิง “อ้อ”
เช่นนั้นก็ไปวังหลังไม่ได้
น่าเสียดายจริงๆ อยากจะชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามของวังหลังต้าเยี่ยนเสียหน่อย
มีนางกำนัลคู่หนึ่งเดินผ่านมาจากที่ไม่ไกลกันนัก
กู้เจียวกดหัวฮ่องเต้ไว้มือหนึ่ง “ทำตัวให้มันเป็นขันทีหน่อยจะได้หรือไม่!”
นางเองกลับห้าวหาญ
ฮ่องเต้โดนกดไว้จนลำคอแทบจะหัก “…”
เราสงสัยว่าเจ้าจงใจ ซ้ำยังกุมหลักฐานเอาไว้แล้วด้วย!
ทั้งสามเข้ามาในตำหนักจงเหอ
ผู้ดูแลตำหนักจงเหอยังคงเป็นหลี่ซานเต๋อ
หลี่ซานเต๋อโดนแม่นางหันดึงไปเป็นพวกหรือไม่ พวกนางไม่รู้ จึงต่างระมัดระวังกันมาก
“เจ้าออกไปเถิด” กู้เฉิงเฟิงเอ่ย
“พ่ะย่ะค่ะ” หลี่ซานเต๋อโค้งกายคำนับ มองขันทีสองนายด้านหลัง ‘ไท่จื่อ’ อย่างประหลาดใจ รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกพิกล
“เจ้ายังมีธุระใดอีกรึ” กู้เฉิงเฟิงถามเสียงเคร่ง
“ทูลไท่จื่อ บ่าวไม่มีธุระอะไรพ่ะย่ะค่ะ บ่าวขอทูลลาก่อน” หลี่ซานเต๋อถอยออกไปอย่างเจื่อนๆ
คนเดินไปไกลแล้ว ก็ยังไม่วายอดพึมพำขึ้นมาไม่ได้ ขันทีสองคนนั้นไม่คุ้นหน้าเลย เป็นคนใหม่ข้างกายไท่จื่ออย่างนั้นหรือ
กู้เจียวกับฮ่องเต้แปลงโฉมปลอมตัวกันมา แต่ไม่ได้ใส่หน้ากากหนังมนุษย์ ดังนั้นหลังจากแต่งหน้าแล้วจึงแปลกตา
กู้เฉิงเฟิงนั่งจิบชากินขนมอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายอกสบายใจ ฮ่องเต้ยืนอยู่ด้านหลังเขาอย่างนอบน้อม มุมปากกระตุกยิกๆ
พระองค์มองท้ายทอยลำพองใจของกู้เฉิงเฟิงแล้ว แทบอยากจะตบบ้องหูของเขาสักฉาดใหญ่ๆ !
เป็นกษัตริย์มาตั้งนานหลายปี ใครจะคิดว่าจะมีวันที่กลายมาเป็นขันทีตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
กู้เจียวส่งสายตาให้พระองค์ แก้หน่อย ขันทีเฒ่าต่างหาก
ฮ่องเต้โดนธนูหมื่นดอกปักดวงใจ!
ในที่สุดฮ่องเต้ก็รู้ซึ้งถึงความยากของการเป็นขันทีแล้ว เอวอ่อนเป็นแมวยืนอยู่สองเค่อ บั้นเอวแก่ๆ ของพระองค์ใกล้จะหักเต็มทีแล้ว
เคราะห์ดีที่สวรรค์ย่อมเมตตาคนที่มีความเพียร ฮ่องเต้ตัวปลอมเลิกประชุมเช้าแล้ว
หลี่ซานเต๋อไปถวายพระพรฮ่องเต้ตัวปลอม และทูลว่าไท่จื่อเสด็จมาขอบพระทัย ยามนี้กำลังรออยู่ในตำหนักข้าง
ฮ่องเต้ตัวปลอมพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “เรารู้แล้ว เจ้าไปกำชับห้องเครื่องที ว่าตอนเที่ยงไท่จื่อจะเสวยที่ตำหนักจงเหอ”
ฟังความสามารถการทำงานอันคุ้นเคยนี่สิ กู้เจียวกับกู้เฉิงเฟิงเกือบจะหลงคิดว่าที่อยู่ข้างๆ นี่ต่างหากที่เป็นตัวปลอม
ฮ่องเต้กัดฟันกรอด “เราเป็นตัวจริงนะ!”
กู้เจียว “อ้อ”
กู้เฉิงเฟิงเห็นด้วย “อ้อ”
ท่านจะเป็นตัวจริงหรือไม่แล้วมันเกี่ยวอะไรเล่า
อย่างไรเสียสามารถทุบ ‘ฮ่องเต้’ ของแม่นางหันได้ก็พอแล้ว
ฮ่องเต้ “…” อีกครา
ฮ่องเต้เข้ามาในตำหนักข้าง
ข้างกายพระองค์มีอวี่กงกงที่ถูกสนับสนุนขึ้นมาใหม่
อวี่กงกงเห็นไท่จื่อจมูกช้ำหน้าบวม ก็ชะงักไปนิดๆ “ไท่จื่อ นี่ท่าน…”
กู้เฉิงเฟิงถอนใจเอ่ย “ไม่ต้องพูดถึงแล้ว เมื่อคืนโดนลอบสังหาร เคราะห์ดีที่แค่เสียขวัญแต่ปลอดภัย วันนี้จึงได้ตั้งใจเข้าวังมาถวายพระพรเสด็จพ่อโดยเฉพาะ”
เขาเอ่ยพลางประสานมือคำนับให้ฮ่องเต้ตัวปลอม “ลูกถวายพระพรเสด็จพ่อ”
นี่เป็นการคำนับแบบต้าเยียน ซ่างกวานเยี่ยนสอนเขาอยู่ค่อนวัน
ฮ่องเต้ตัวปลอมพยักหน้าให้อย่างเคร่งขรึม “อวี่ฉางโป ไปตามหมอหลวงเหลียงมาดูให้ไท่จื่อหน่อย”
“พ่ะย่ะค่ะ” อวี่กงกงหันหลังจากไป ทิ้งหลี่ซานเต๋อกับพวกขันทีของตำหนักจงเหอไว้คอยรับใช้
“เสด็จพ่อ” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยกับฮ่องเต้ตัวปลอม “ที่ลูกมาวันนี้ ความจริงแล้วมีเรื่องหนึ่งอยากจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ ขอเสด็จพ่อโปรดให้คนนอกออกไปก่อน”
ฮ่องเต้ตัวปลอมพยักหน้า เอ่ยกับพวกหลี่ซานเต๋อ “พวกเจ้าออกไปเถิด”
กู้เจียวก็ทำท่าจะออกไปกับฮ่องเต้เช่นกัน
กู้เฉิงเฟิงเรียกฮ่องเต้ไว้ “ผู้ดูแลหลี่ เจ้ารั้งอยู่ เจ้าเป็นพยานคนสำคัญ เรื่องบางเรื่องเจ้าต้องทูลเสด็จพ่อด้วยตัวเอง”
ฮ่องเต้ถูกรั้งให้อยู่ในตำหนักต่ออย่างโจ่งแจ้ง
กู้เจียวเฝ้าอยู่ข้างนอก ไม่ลืมงับประตูปิด หลี่ซานเต๋อแย้มยิ้ม “เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน แต่ก็รู้สึกว่าเจ้าค่อนข้างคุ้นตาทีเดียว”
หลี่ซานเต๋อชะงัก
ภายในตำหนักข้าง ฮ่องเต้ตัวปลอมหันไปมองกู้เฉิงเฟิง พลางเอ่ย “ฉีเอ๋อร์ เจ้ามีเรื่องใดอยากทูลเรารึ”
คำว่า ‘ฉีเอ๋อร์’ เอ่ยออกมา กู้เฉิงเฟิงก็ขนลุกซู่
ฮ่องเต้มองตัวปลอมตรงหน้าอย่างเย็นชา พระพักตร์เคร่งขรึม ตรัส “ไอ้กบฏสามหาว! ยังไม่รีบคุกเข่าให้เราอีก!”
ความน่าเกรงขามของโอรสสวรรค์สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทิศ ดุจมังกรร้องพยัคฆ์คำราม ไม่เกินจากนี้เลย!
ฮ่องเต้ตัวปลอมนิ่งอึ้ง!
หลี่ซานเต๋อที่อยู่นอกประตูปากอ้าตาค้างมองกู้เจียว “เจ้า เจ้า เจ้า… เจ้าคือ… ใต้… ใต้เท้าเซียว”
กู้เจียวทำเป็นแค่เสียงสองชนิดเท่านั้น เสียงสตรีของตัวเองและเสียงเด็กหนุ่ม
หลี่ซานเต๋อได้ยินเสียงเด็กหนุ่มก็จำได้ว่าเป็น ‘เซียวลิ่วหลัง’
เขามองกู้เจียว แล้วหันไปมองประตูห้องที่ปิดสนิท เซียวลิ่วหลังเป็นคนของตำหนักอันกั๋วกง และเป็นคนสนิทขององค์หญิงสามซ่างกวานเยี่ยน มาเป็นพวกเดียวกันกับไท่จื่อได้อย่างไร
ไม่รอให้เขานึกต้นสายปลายเหตุออก ด้านในก็มีเสียงการต่อสู้ลอยมา
หลี่ซานเต๋อรีบเข้าไปคุ้มกันฝ่าบาท
กู้เจียวดึงเขาไว้ “หลี่กงกง ไม่ได้พบกันตั้งนาน พวกเราย้อนความหลังกันหน่อย อย่ารีบร้อนสิ”
“เจ้า… พวกเจ้า…”
“บังอาจ!”
หลี่ซานเต๋อยังเอ่ยไม่ทันจบ ก็มีเสียงตวาดของแม่นางหันลอยมาจากไม่ไกลกันนัก
นึกไม่ถึงว่าแม่นางหันจะออกมาจากตำหนักเย็นแล้ว ซ้ำยังร้อนอกร้อนใจเสียด้วย
ด้านหลังแม่นางหันเป็นราชองครักษ์กองหนึ่ง หลังจากที่หันเย่ถูกปลดออกจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการราชองครักษ์แล้ว หันฟู่ขึ้นมาแทน ทายาทสายรองของตระกูลหัน แต่เนื่องจากได้รับความสำคัญจากนายท่านอาวุโสหัน ตำแหน่งทายาทสายตรงจึงอยู่ไม่ไกลแล้ว
แม่นางหันเอ่ยกับผู้บัญชาการหันที่อยู่ข้างๆ “ยังไม่รีบเข้าไปคุ้มกันฝ่าบาทอีก!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” รองผู้บัญชาการหันรับคำสั่ง นำราชองครักษ์กองใหญ่เข้าไปที่ตำหนักข้าง ล้อมกู้เฉิงเฟิงและฮ่องเต้ตัวจริงและตัวปลอมเอาไว้
แม่นางหันคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเดินมา มองกู้เจียว แล้วหันไปมองกู้เฉิงเฟิงภายในห้องพลางเอ่ย “พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าแม้แต่ลูกชายแท้ๆ ของข้าข้าจะดูไม่ออก”
นางเอ่ยพลางเบนสายตามาบนใบหน้าฮ่องเต้ที่แต่งตัวเป็นขันที ก่อนหยักยกมุมปาก
“ข้ากำลังกลุ้มอยู่เลยเชียวว่าจะหาตัวคนไม่เจอ พยายามหาแทบตายไม่เจอ พอเลิกหาเลิกสนใจ กลับได้มาง่ายๆ แบบคาดไม่ถึงเสียอย่างนั้น ไม่เปลืองแรงเลยสักนิด! เซียวลิ่วหลัง พวกเจ้าติดกับแล้ว!”
กู้เฉิงเฟิงใจกระตุก
ไม่กระมัง
ฝีมือการแสดงสุดยอดเยี่ยมของเขา นึกไม่ถึงว่าจะหลอกยายแก่นี่ไม่ได้
ชะ…เช่นนั้นวันนี้จะมิใช่ว่าพวกเขามาติดกับเองหรอกหรือ
ยามนี้หากบอกว่าในมือพวกเขาคือฮ่องเต้ตัวจริง เกรงว่าจะไม่มีคนเชื่อ…
อย่างไรเสียเขาก็เป็นขันทีปลอม หากบอกว่าคนที่เขาพามาคือฮ่องเต้ตัวจริง ไหนเลยยังมีแรงโน้มน้าวมากพออีก…
จบเห่แล้ว ยามนี้จบเห่แล้ว!
พวกเขาไม่มีโอกาสได้พลิกสถานการณ์แล้ว!
แม่นางหันเห็นความกระวนกระวายของกู้เฉิงเฟิงทั้งหมด ก็แหงนหน้าหัวเราะยกใหญ่ “เซียวลิ่วหลังเอ๋ยเซียวลิ่วหลัง คิดจะสู้กับข้า พวกเจ้ายังอ่อนหัดนัก! วันนี้ พวกเจ้าอย่าได้คิดจะรอดออกไปแม้แต่คนเดียวเลย!”
กู้เจียวโคลงศีรษะเบาๆ ยกสองมือกอดอกมองนาง “เจ้าแน่ใจรึ จะหันกลับไปมองหน่อยหรือไม่”