สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 820 ความจริงในครานั้น
บทที่ 820 ความจริงในครานั้น
เยี่ยนซานจวินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหนักแน่น “แผ่นดินและผืนน้ำแคว้นเยี่ยน กำลังจะแห้งเหือด!”
พอได้ยินประโยคนี้ ทั้งสามคนก็แสดงสีหน้าราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง
หากคำทำนายมีเพียงประโยคแรกอย่างเดียว ซ่างกวานเยียนผู้ซึ่งมีเลือดเนื้อเชื้อไขของเซวียนหยวนก็สามารถบรรลุคำทำนายนี้ได้
แต่พอมีประโยคหลังขึ้นมา ซ่างกวานเยียนก็มิอาจขึ้นเป็นจักรพรรดินีตามคำทำนายได้
ตระกูลเซวียนหยวนจะเข้ามาแทนที่ราชวงศ์ซ่างกวนและกลายเป็นราชวงศ์ใหม่ นี่คงเป็นเหตุผลที่ฮ่องเต้สั่งฆ่าล้างโคตรตระกูลเซวียนหยวน
ซ่างกวานเยี่ยนหันหน้าไปถามเยี่ยนซานจวินที่นั่งอยู่ข้างๆ “ท่านรู้เรื่องนี้แต่แรกอยู่แล้วหรือ”
เยี่ยนซานจวินยกมือโบกพัด “ข้าก็ไม่ได้รู้แต่แรกเสียทีเดียว เพียงแต่หลายปีก่อน ข้าแอบไปได้ยินจากห้องทรงงานของฝ่าบาท”
“แล้วท่านได้ยินอะไรมาอีก” ซ่างกวานเยี่ยนถามต่อ
เยี่ยนซานจวินถอนหายใจหนัก “ข้าได้ยินมาว่า กั๋วซือมิได้เป็นคนบอกคำทำนายนี้กับฝ่าบาทโดยตรง แต่มีใครบางคนปล่อยข่าวออกมา พวกเจ้าคงคิดว่าฝ่าบาททำแบบนั้นเพราะคำทำนายใช่หรือไม่ แต่ความจริงไม่ใช่แบบนั้น คำทำนายเป็นเพียงหนึ่งในแรงจูงใจเท่านั้น ยังมีเรื่องภายในที่เป็นปัจจัยอื่นอีก”
พอได้ยินเช่นนี้ หนึ่งในปมในใจของพวกเขาก็ถูกคลายออก
แม้ไร้วาจา ทว่าพวกเขาต่างก็เคยสงสัยเกี่ยวกับการบิดเบือนของคำทำนายนี้
และดูเหมือนว่าคำทำนายนี้จะมาจากกั๋วซือจริงๆ และอาจมีราคามหาศาลที่จ่ายไป
“กั๋วซือเข้าใจดีว่าคำทำนายนี้จะส่งผลอย่างไรกับตระกูลเซวียนหยวน เขาไม่ได้วางแผนที่จะบอกคำทำนายนี้แก่ตระกูลเซวียนหยวน และเขาไม่ได้วางแผนที่จะทูลกับฝ่าบาทเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่าบาทคิดกำจัดตระกูลเซวียนหยวน แต่หารู้ไม่ว่าตำหนักกั๋วซือในตอนนั้น มีหนอนบ่อนไส้ที่มาจากแคว้นจิ้น”
หนอนบ่อนไส้ที่ว่าถูกคัดเลือกให้เข้ามาทำงานในตำหนักกั๋วซือตั้งแต่แปดขวบ และแฝงตัวอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสิบปี เขาไม่เคยแสดงข้อบกพร่องแม้แต่น้อย จนในที่สุดก็ได้รับความไว้วางใจจากกั๋วซือและกลายเป็นสาวกคนแรก
แล้วเขาก็อยู่ที่นั่นด้วยตอนที่กั๋วซือทำนาย
จนเรื่องราวเริ่มบานปลาย ตอนนั้นกั๋วซือถึงได้รู้ว่าตัวเองถูกทรยศ
กั๋วซือสั่งจัดการเขาทันที แต่น่าเสียดายที่สายเกินไป ทั้งฮ่องเต้และตระกูลเซวียนหยวนต่างรู้เรื่องคำทำนายแล้ว
ตระกูลเซวียนหยวนไม่เคยคิดก่อกบฏแต่ไหนแต่ไร แต่พวกเขารู้ดีว่าฝ่าบาทมีอุปนิสัยไม่ไว้ใจใคร
ขณะที่พวกเขาพร้อมที่จะมอบอำนาจทางทหารและเตรียมถอดเกราะกลับไปทำไร่ทำนา ทว่าทั้งแคว้นจิ้นและแคว้นเหลียงก็กำลังลงมือเล่นงานแคว้นเยี่ยนเช่นกัน
แคว้นจิ้นเป็นแคว้นอันดับหนึ่งของแคว้นทั้งหก ทั้งรุ่งเรืองและมีอำนาจที่เหนือกว่าอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งเป็นแคว้นที่ริเริ่มการแบ่งแยกแคว้นระดับบนระดับล่าง
ในเวลาต่อมา แคว้นเหลียงก็เริ่มเฟื่องฟูขึ้น และได้รับการยอมรับให้เป็นแคว้นระดับบนอันดับสอง
หากแคว้นเยี่ยนต้องการไต่ขึ้นอันดับ ย่อมต้องได้รับการยอมรับจากแคว้นจิ้นและแคว้นเหลียงเสียก่อน
แน่นอนว่าทั้งสองแคว้นไม่พอใจอย่างมาก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อป้องกันการผงาดขึ้นมาของแคว้นเยี่ยน ทั้งแคว้นจิ้นและแคว้นเหลียงจึงมักก่อสงครามที่ชายแดน ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังแอบส่งคนเข้าไปแฝงตัวในอาณาจักรเยียนเพื่อทำให้การกบฏเกิดขึ้น
แต่หารู้ไม่ว่า ความวุ่นวายทั้งในและนอกอาณาจักรทั้งหมดล้วนถูกกำราบด้วยอำนาจของตระกูลเซวียนหยวน
ผู้คนล้วนเกรงขามยามทวนพู่สีแดงของเซวียนหยวนลี่โบกสะบัด
คนของแคว้นจิ้นและแคว้นเหลียงจำต้องศิโรราบภายใต้ทวนพู่แดงของเซวียนหยวนลี่จนทำให้พวกเขาพ่ายแพ้และไม่กล้ารุกรานเป็นเวลาหลายปี
แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา
ทั้งแคว้นยังคงยืนกรานไม่ยอมรับแคว้นเยี่ยนในฐานะแคว้นที่เหนือกว่าเพราะพวกเขาเข้าใจว่าแคว้นเยี่ยนที่มีตระกูลเซวียนหยวนนั้นมีอำนาจมากเกินไป และเกรงว่าวันหนึ่งกองทัพเซวียนหยวนจะทะลุผ่านภูเขาและแม่น้ำของแคว้นจิ้นและแคว้นเหลียง
แล้วเรื่องราวทุกอย่างก็เกิดขึ้นประจวบอย่างบังเอิญ
ขณะที่ทั้งสองแคว้นพยายามคิดอย่างหนักเพื่อหาวิธีกำจัดแคว้นเยี่ยนไปให้พ้นทาง คำทำนายของกั๋วซือก็ปรากฏขึ้นพอดี
จากนั้นทูตของทั้งสองแคว้นก็ได้เดินทางมายังแคว้นเยี่ยนเพื่อยื่นข้อเสนอที่น่าดึงดูดแก่ฮ่องเต้ นั่นก็คือ หากตระกูลเซวียนหยวนถูกทำลาย พวกเขาจะยอมรับแคว้นเยี่ยนเป็นหนึ่งในสามอาณาจักร
พวกเขาไม่เพียงแต่แบ่งปันสิทธิการใช้ทะเลและสิทธิการขุดของเกาะต่างๆ กับแคว้นเยี่ยนเท่านั้น แต่พวกเขายังอนุญาตให้แคว้นเยี่ยนเวนคืนสามอาณาจักรที่เหลือด้วย
การได้ขึ้นเป็นแคว้นระดับบนไม่เพียงแต่เพื่อเกียรติยศเท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งประโยชน์ที่จับต้องได้มากมาย คงจะโกหกหากบอกว่าข้อเสนอนี้ไม่มีแรงจูงใจ
ดังนั้นฮ่องเต้จึงมีสองทางเลือก
หนึ่งคือให้กองทัพเซวียนหยวนบุกโจมตี้แคว้นจิ้นและแคว้นเยี่ยนจนถึงที่สุด
และสอง ยอมรับข้อเสนอของทั้งสองแคว้น
“แล้วฮ่องเต้ก็เลือกทางที่สอง” กู้เจียวกล่าว
“ใช่แล้ว” เยี่ยนซานจวินถอนหายใจ
ในเวลานั้น ตระกูลเซวียนหยวนมีความแข็งแกร่งที่จะต่อสู้กับกองทัพของทั้งสองแคว้น แต่ถ้าพวกเขาชนะการรบจริงๆ จะยิ่งเป็นการเพิ่มชื่อเสียงของตระกูลเซวีนหยวนในหมู่ประชาชนมากขึ้น และเมื่อพวกเขาประสบความสำเร็จ ฮ่องเต้จะต้องยกคุณงามความดีให้แก่ตระกูลเซวียนหยวนใช่หรือไม่
และเมื่อนึกถึงคำทำนายนั้น ฮ่องเต้จะกล้าปล่อยให้ตระกูลเซวียนหยวนขึ้นเป็นใหญ่ได้อย่างไร
เยี่ยนซานจวินเอ่ยต่อ “ยังมีเหตุผลเล็กๆ อีกเหตุผลหนึ่ง นั่นก็คือเสบียงของแคว้นเริ่มขาดแคลนจากสงครามที่ยืดเยื้อหลายปี”
กู้เจียวหรี่ตาลง พร้อมกับเอ่ย “ไปเอาเงินจากพวกขุนนางที่โกงกินก็น่าจะเพียงพออยู่ไม่ใช่รึ”
เยี่ยนซานจวินกระแอมหนึ่งที “ก็ ข้าถึงบอกอย่างไรเล่าว่ามันเป็นเหตุผลเล็กๆ ไม่ใช่เหตุผลหลัก”
จากนั้นกู้เจียวก็ฉุกคิดถึงคำเอ่ยของหนานกงลี่ก่อนที่เขาตาย
สิ่งที่หนานกงลี่เอ่ยวันนั้นไม่ใช่ ‘จิ้งหยาง’ แต่เป็นคำ “จิ้น เหลียง” เขารู้มาตลอดว่าเป็นฝีมือของหนอนบ่อนไส้แคว้นจิ้นที่แพร่งพรายคำทำนายออกไป และรู้ว่าทั้งสองแคว้นนี้ต้องการล่อลวงฮ่องเต้ให้ติดกับ
กู้เจียวยกมือลูบที่คางแล้วพึมพำ “ก็ว่าอยู่ว่าเป็นแค่ขุนนางคงไม่กล้าเรียกพระนามของฮ่องเต้ทื่อๆ แบบนั้นหรอก”
แม้จะคิดได้แบบนั้น แต่ตอนนั้นเป็นเพราะกู้เจียวยังไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังเรื่องพวกนี้
หากแคว้นจิ้นและแคว้นเหลียงเป็นผู้ตีท้ายครัวจริง ก็คงไม่แปลกที่กู้เจียวเคยฝันว่าทั้งสองแคว้นใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งในแคว้นเยี่ยนเพื่อลอบโจมตี
ทั้งแคว้นจิ้นและเหลียงไม่เคยยอมรับอย่างจริงใจว่าแคว้นเยี่ยนเหนือกว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแผนการระยะยาวของพวกเขา เมื่อตระกูลเซวียนหยวนถูกทำลายและกองทัพเซวียนหยวนแตกเป็นเสี่ยงๆ ตระกูลขุนนางต่างก็แย่งชิงอำนาจกองทัพราวกับแร้งที่แย่งชิ้นเนื้อ
ทำให้แคว้นเยี่ยนได้สูญเสียโล่ที่แข็งแกร่งที่สุดและดาบที่แหลมคมที่สุด ส่งผลให้แคว้นเยี่ยนไม่มีความแข็งแกร่งพอที่จะแข่งขันกับแคว้นจิ้นและเหลียงอีกต่อไป
เมื่อถึงเวลานั้น ทั้งสองแคว้นก็จะกลืนกินแคว้นเยี่ยนได้สำเร็จ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งสองแคว้นปล่อยให้แคว้นเยี่ยนเติบโตขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเฝ้ารอให้อำนาจทางทหารของตระกูลเซวียนหยวนลดลงราวกับกำลังเลี้ยงกระต่ายให้อ้วนขึ้น
พอเหยื่ออ้วนขึ้นจนขยับไม่ได้ ก็จะกลายเป็นผู้ถูกล่าชั้นเยี่ยมไปในที่สุด
มีหรือที่ฮ่องเต้จะไม่รู้ว่าทั้งสองแคว้นคิดอะไรอยู่
แม้เขาจะเป็นคนบ้า แต่หาใช่คนโง่ไม่
เหตุผลที่ฮ่องเต้ตัดสินใจทำลายตระกูลเซวียนหยวน หนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้คำทำนายเป็นจริง และประการที่สองก็คือฮ่องเต้มีความมั่นใจในตัวเองอย่างมาก
เขามั่นใจว่าต่อให้ไม่มีตระกูลเซวียนหยวน เขาจะสามารถฝึกฝนกองทัพแคว้นเยียนให้แข็งแกร่งได้
กู้เจียวมองว่าฮ่องเต้มั่นเกินเหตุไปหน่อย
ทั้งสองแคว้นมีความทะเยอทะยานอย่างมากในการรอจังหวะยึดครองแคว้นเยี่ยน เดิมทีพวกเขาเตรียมจะดำเนินการสามปีหลังจากเกิดเรื่องวุ่นวายซึ่งเป็นตอนที่แคว้นเยี่ยนกำลังอ่อนแอ ทว่าตอนนี้ความวุ่นวายที่ว่านั้นถูกควบคุมไว้ได้แล้ว
พวกเขาอดทนรอเป็นเวลาสามปี รอจังหวะที่กองกำลังทหารของแคว้นเยี่ยนเหลือเพียงชั้นบางๆ แต่ตอนนี้ กองกำลังทหารแคว้นเยี่ยนแข็งแกร่งขึ้นแล้ว คงไม่ใช่ทางที่ฉลาดเท่าไหร่นักหากทั้งสองแคว้นเลือกโจมตีในเวลานี้
ระหว่างที่พวกเอ่ยคุยกัน รถม้าก็มาถึงที่จวนกั๋วกงพอดี
กู้เจียวและเซียวเหิงพาซ่างกวานเยี่ยนและเยี่ยนซานจวินไปที่ลานเฟิ่งทันที
ในวันที่อากาศยังคงร้อนระอุ ผู้ใหญ่ในบ้านต่างนักพักผ่อนกันข้างใน ขณะที่เด็กสองคนเล่นทรายอยู่ข้างนอก
กู้เสี่ยวซุ่นเป็นคนหากองทรายมาให้พวกเขาเล่น
เด็กทั้งสองนั่งยองๆ อยู่ข้างกองทรายพร้อมกับใช้พลั่วเล็กๆ ที่กู้เสี่ยวซุ่นทำขึ้นสำหรับพวกเขา ตักทีละพลั่ว จากนั้นจึงใส่พวกมันลงในถังไม้เล็ก
แม้เหงื่อจะแตกแค่ไหน แต่พวกเขากลับไม่รู้จักเหนื่อย ยังคงเล่นสนุกและเอ่ยคุยเจื้อยแจ้วอย่างไม่หยุดปาก
ช่างเป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง
…จะมีก็แค่เยี่ยนซานจวินที่ดูจะไม่มีอารมณ์ร่วมเท่าใดนัก
เจ้าหนู อยู่ห่างๆ ลูกสาวของข้าเดี๋ยวนี้!
ดูสิๆ หัวของพวกเจ้าชิดกันเกินไปแล้วนะ!
อย่าจับมือนางสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนั้นสิ!
“มา ข้าช่วยเจ้า” จิ้งคงเอ่ยกับองค์หญิงน้อย
“ได้สิ” องค์หญิงน้อยยื่นพลั่วของตัวเองให้จิ้งคงอย่างดีใจ
แล้วทั้งสองก็จับพลั่วขุดทรายด้วยกัน
ก็ดี อย่างน้อยก็มีคนช่วยดูแลลูกสาวให้อีกคน
…ไม่ได้สิ! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาจะเป็นคนดูแลลูกสาวของเขาเอง!
และแล้วเยี่ยนซานจวินก็ตัดสินใจเดินพุ่งเข้าไปแทรกกลางระหว่างเด็กทั้งสอง
จิ้งคงเงยหน้ามองชายแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็บุกเข้ามาด้วยสีหน้าสับสน
“เสด็จพ่อ! กลับมาแล้วหรือ!” องค์หญิงน้อยตะโกนร้องด้วยความตกใจ
“ใช่แล้ว” เยี่ยนซานจวินยิ้มอ่อน
“เอ๋ะ ท่านอาจารย์ก็กลับมาแล้วด้วยนี่!”
องค์หญิงน้อยวางพลั่วลงทันทีและโผเข้าหากู้เจียวราวกับนกตัวน้อย
เยี่ยนซานจวินที่กำลังจะอ้าแขนกอดองค์หญิงจึงรอเก้อไปในทันใด