สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 824-2 เจียวผู้ยิ่งใหญ่มาแล้ว! (2)
บทที่ 824-2 เจียวผู้ยิ่งใหญ่มาแล้ว! (2)
ทั้งกู้เหยี่ยนและเสี่ยวซุ่นต่างก็ไม่มีใครอยากออกเดินทาง
พวกเขายืนกรานว่าจะรอกู้เจียวอยู่ที่เมืองเซิ่งตู จากนั้นค่อยกลับไปแคว้นเจาด้วยกัน
ทว่ากู้เจียวไม่เห็นด้วย “ไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้ว แล้วใครจะดูแลพวกเจ้าล่ะ อย่าบอกนะว่าอาจารย์แม่หนานเซียงกับอาจารย์หลู่น่ะ แค่พวกเขาเดินทางมากับเราก็ลำบากพอแล้ว อย่าไปรบกวนพวกท่านเลย”
“พวกเราดูแลตัวเองได้น่า!” กู้เหยี่ยนตอบ
“ใช่แล้ว! พวกเราโตแล้ว!” นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เสี่ยวซุ่นไม่เชื่อฟังพี่สาว
กู้เจียวเข้าไปหยิกพวกแก้มพวกเขาด้วยความหมั่นไส้ “โตแล้วงั้นหรือ หนวดยังไม่ขึ้นเลยเนี่ยนะ เหอะ”
กู้เหยี่ยน “ข้าเด็กกว่าเจ้าแค่ครึ่งวันเองนะ!”
สุดท้ายกู้เจียวตัดสินใจให้เด็กชายสามคนเดินทางไปกับท่านย่า
“เจ้าจะไม่ให้พวกเราอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่เจ้าต้องพกสิ่งนี้ติดตัวไปด้วย” กู้เหยี่ยนเอ่ยอย่างไม่พอใจ
จากนั้นก็หยิบกล่องกลไกขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ
“ของข้าด้วย” กู้เสี่ยวซุ่นหยิบกล่องกลไกของเขาวางไว้บนโต๊ะเช่นกัน
นี่เป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตที่อาจารย์หลู่ทำไว้ให้พวกเขา คราวก่อนพวกเขาแอบเอามันไปวางไว้ข้างหมอนของกู้เจียว แต่สุดท้ายกู้เจียวก็คืนมันให้พวกเขา
กู้เจียวหรี่ตามองทั้งสองคน “พวกเจ้ารู้จักเอ่ยจาต่อรองตั้งแต่เมื่อใหร่ ใครสอนพวกเจ้า”
หากพวกเขาขอให้นางยอมรับมันไว้ตั้งแต่แรก นางจะไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน
แต่พวกเขาใช้วิธีร้องขอในเรื่องที่กู้เจียวจะต้องปฏิเสธเสียงแข็งก่อน ซึ่งทำให้คำขอนี้ดูเป็นเรื่องเล็กไปเลย
“ไม่มีใครสอนทั้งนั้น พวกเราเรียนรู้ด้วยตัวเอง” กู้เหยี่ยนเลิกคิ้วขึ้นแล้วคุยโว
มุมปากกู้เจียวกระตุกขึ้นเบาๆ พลางคิด ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะเลือกเรียนรู้เรื่องแย่ๆ ไปไม่น้อยเลยนะ!
จนสุดท้าย กู้เจียวก็รับมันมาแต่โดยดี
อย่างน้อยก็ทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองสบายใจขึ้น
หลังเก็บของเสร็จ กู้เจียวก็ไปที่ห้องของท่านย่า
และพบว่าท่านย่ากำลังหลับสนิท
กู้เจียวไม่ได้ปลุกนาง แต่เดินไปและวางขวดผลไม้อบแห้งไว้บนโต๊ะ
จากนั้นก็มาที่ข้างเตียงและกระซิบข้างหูท่านย่าที่กำลังหลับอยู่ “กินได้วันละสามเม็ดเท่านั้น อย่ากินมากเกินไป แล้วข้าจะกลับมาหลังจากที่กินมันหมดแล้ว”
คืนเดือนแปด ลมหนาวเริ่มพัดโชยอ่อนๆ
กู้เจียวดึงผ้าห่มคลุมท่านย่าอย่างมิดชิด ก่อนจะย่องออกจากห้อง
กู้เจียวพยายามคว้าชุดเกราะแน่นเพื่อไม่ให้ส่งเสียงรบกวน จากนั้นหันมามองท่านย่าพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ แล้วค่อยๆ ปิดประตูห้องลง
ในห้องที่มืดสนิท จวงไทเฮาลืมตาที่แดงก่ำขึ้นช้าๆ
น้ำในตาค่อยๆ ไหลรินลงมา
จากนั้นก็หลับตาลงราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
…
เช้ามืดของอีกวัน ณ ค่ายเฮยเฟิง ทหารทุกคนเริ่มเตรียมเก็บข้าวของ
ทหารม้าเหล็กห้าหมื่นนายเตรียมเคลื่อนพลไปยังทิศตะวันตก
แม้ฎีกาของฮ่องเต้จะออกเมื่อสามวันก่อน แต่กู้เจียวได้สั่งให้ทุกคนเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางล่วงหน้าราวสิบวัน ดังนั้นทุกอย่างจึงเตรียมไว้แล้ว ในบรรดากองทัพทั้งหมด ค่ายเฮยเฟิงเรียกได้ว่าเป็นกองทัพที่ไม่เร่งรีบและเป็นระเบียบมากที่สุด
ที่ปรึกษาหูที่มารอกู้เจียวอยู่นาน เมื่อเห็นกู้เจียวมาถึงค่าย ก็รีบจ้ำอ้าวเดินเข้าไปหาทันที
แม้อากาศเริ่มเย็นลง แต่เขาก็ยังคงถือพัดกระจูดในมือไว้อย่างนั้น
ที่ปรึกษาหูยกมือคำนับกู้เจียว ก่อนเอ่ย “นายท่าน เมื่อครู่นี้ทหารหกนายเข้ามารายงานว่าค่ายใหญ่ทั้งสามได้รวมพลเป็นที่เรียบร้อย รอรับคำสั่งจากนายท่านขอรับ”
“ขอรับ”
พื้นที่ฝึกทั้งหมดมีม้าศึกและทหารม้ารวมตัวกัน กองพันแนวหน้ามีกำลังพลทั้งหมดหนึ่ง่หมื่นนาย ส่วนกองพันจู่โจมมีกำลังพลสองหมื่นห้าพันนาย และกองพันสำรองมีกำลังพลหนึ่งหมื่นห้าพันนาย
ค่ายสำรองส่วนใหญ่ประกอบด้วยสัมภาระ การขนส่ง การรักษาพยาบาล และทหารม้าสำรอง
ด้วยความที่กองกำลังอยู่ในสภาพขาดแคลน ทำให้คราวนี้ต้องพาม้าที่มีอายุต่ำกว่าสามปีออกรบด้วย โดยม้าที่มีอายุน้อยที่สุดอยู่ที่สองขวบครึ่งเท่านั้น
ผู้ฝึกม้าเริ่มแสดงสีหน้าคร่ำเครียดตอนที่กู้เจียวเดินเข้ามาใกล้ๆ
เห็นได้ชัดว่าเขามีท่าทีปฏิเสธ
“ช่วยไม่ได้ขอรับ สัมภาระเราเยอะเกินไป เพื่อให้พวกม้าโตเต็มวัยได้ออกรบเต็มที่ เลยจำเป็นต้องใช้แรงงานจากม้าตัวเล็กพวกนี้ขอรับ” ที่ปรึกษาหูกระแอมเบาๆ แล้วอธิบาย
ถึงแม้ม้าที่อายุน้อยจะมีความพร้อมสำหรับการทำงานก็จริง แต่ศึกครั้งนี้ไม่ใช่งานธรรมดา พวกมันต้องเดินทางหลายพันลี้ และต้องพบเจอกับอันตรายที่ไม่มีใครคาดเดาได้
เป็นไปได้สูงว่าพวกมันจะไปแล้วไปลับเลย
พวกลูกม้าตื่นเต้นกระโดดไปมาอยู่ที่ข้างหลังเจ้าราชาม้าเฮยเฟิง พวกมันยังเด็กมาก และไม่รู้ว่ามีอะไรรอพวกมันอยู่ข้างหน้า
กู้เจียวมองไปที่พวกลูกม้าด้วยแววตาที่แน่วแน่ ก่อนออกคำสั่ง “ม้าที่อายุน้อยกว่าสามปีห้ามออกเดินทาง”
ราชาม้าเฮยเฟิง “…!!”
ครูฝึกม้าจ้องกู้เจียวด้วยสีหน้าตะลึงงัน
กู้เจียวไม่สนใจสายตาคนอื่น ก่อนจะตบเข้าที่ก้นของเจ้าราชาม้าเฮยเฟิงแล้วเดินต่อไปยังค่ายถัดไป
กู้เจียวสัมผัสได้ถึงสายตาแปลกๆ ที่ทุกคนมองนาง แม้ว่านางจะเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด แต่นางก็ไม่ได้รับการยอมรับจากพวกเขาอย่างแท้จริง
พวกเขาไม่เคยฟังคำสั่งของนางเพราะความเคารพ มันเป็นเพียงหน้าที่ผูกมัดของพวกเขาที่จะต้องเชื่อฟังคำสั่ง
หลังจากกู้เจียวลาดตระเวนเสร็จก็เป็นเวลารุ่งสางพอดี
ตั้งแต่เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วง กลางคืนเริ่มยาวนานขึ้น แม้จะเป็นเวลาเช้าตรู่แต่พระอาทิตย์ก็ยังไม่ส่องสว่างเต็มที่ดี
กู้เจียวยืนอยู่ที่บริเวณช่องลมเย็นๆ หันไปตบชุดเกราะบนม้าของเจ้าเฮยเฟิงเบาๆ พร้อมถาม “พร้อมหรือยังลูกพี่”
เฮยเฟิงยกเท้าขึ้นสูงเพื่อแสดงให้เห็นจิตวิญญาณนักสู้ของมัน
รังสีของเฮยเฟิงแผ่ซ่านไปทั่วจนม้าศึกตัวอื่นๆ รับรู้ได้ แววตาและลมหายใจของพวกมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ทหารม้ามองดูม้าของพวกเขาด้วยความประหลาดใจ
พวกเขาไม่เคยเห็นพวกมัน… ฮึกเหิมขนาดนี้มาก่อน
เรื่องประหลาดใจยังไม่หมดเท่านี้
พวกเขาเห็นผู้บัญชาการคนใหม่หยิบอะไรบางอย่างจากอานของเฮยเฟิง และยื่นมือไปหาที่ปรึกษาหูที่ยืนอยู่ข้างๆ
“หยิบธงมาให้ข้า”
กู้เจียวเอ่ย
“ขอรับ!”
จากนั้นที่ปรึกษาหูก็รีบยื่นก้านธงเปล่าที่เตรียมไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง “นี่ขอรับนายท่าน คราวก่อนที่นายท่านเคยเกริ่นไว้ กระหม่อมได้เตรียมไว้แล้วขอรับ”
ที่จริงตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่านายท่านจะใช้สิ่งนี้ทำอะไร
ธงอันเก่าไม่ใช่ว่าถูกทหารของค่ายเก่าเอาไปแล้วรึ
วินาทีต่อมา เขาก็เห็นกู้เจียวก็สะบัดผ้าอะไรบางอย่างขึ้นมา!
เดี๋ยวก่อนนะ นั่นไม่ใช่แค่ผ้าธรรมดา!
แต่มันคือธง!
ธงขอบดำพื้นขาว ตรงกลางเป็นรูปนกอินทรีเหินเวหาผ่านสวรรค์ทั้งเก้า!
“อินทรีเหินเวหา… ใช่ธงอินทรีเหินเวหาจริงด้วย!”
ทหารบางคนที่จำธงนี้ได้ตะโกนร้องขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
นกอินทรีเป็นสัญลักษณ์ของค่ายเฮยเฟิงในตอนแรก และต่อมาได้ดัดแปลงเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลเซวียนหยวนทั้งหมด กลายเป็นธงประจำตระกูลเซวียนหยวนไปในที่สุด
ต่อมาธงนี้ถูกทำลายไปพร้อมๆ กันกับตอนที่ตระกูลเซวียนหยวนถูกฆ่าล้างโคตร
กู้เจียวหยิบผืนธงขึ้นมาเสียบที่ก้านธง จากนั้นกระโดดขึ้นหลังม้าอย่างสง่างาม
นางไม่ได้เอ่ยอะไรที่ไม่จำเป็นแม้แต่คำเดียว แค่ถือธงของตระกูลเซวีนหยวนด้วยสายตาที่แน่วแน่
ทหารที่เคยทำงานรับใช้ตระกูลเซวียนหยวนเริ่มน้ำตาคลอ
ทหารผ่านศึกวัยหกสิบกำลังหลั่งน้ำตาอยู่บนหลังม้า
“เหวินเหรินชง จะออกเดินทางแล้วนะ ทำอะไรของเจ้าเนี่ย!”
ณ บริเวณนอกค่ายพลสำรอง ทหารคนหนึ่งเอ่ยเตือนเหวินเหรินชงที่กำลังนั่งเหม่อ
ทว่าไร้เสียงตอบรับจากเหวินเหรินชง
เขามองดูเด็กหนุ่มที่อยู่บนหลังม้า
เด็กหนุ่มผู้นั้นอายุยังน้อยนัก ทว่ากลับกำลังถือธงของตระกูลเซวียนหยวนไว้อยู่
เขาแบกภาระที่เขาไม่ควรแบกรับในวัยนี้ และเขาต้องปกป้องแคว้นที่ตระกูลซวนหยวนเคยปกป้องไว้ด้วยเลือดเนื้อของพวกเขา
แล้วนี่เขากำลังทำอะไรอยู่!
เหวินเหรินชง เจ้ากำลังทำอะไรอยู่!
“เหวินเหรินชง ลุกขึ้นสู้ อย่าแพ้ให้เด็กอายุสิบหกขวบนะ!”
“เหวินเหรินชง ข้า เซวียนหยวนเซิ่ง ไม่ใช่คนที่พอใจอะไรง่ายๆ หรอกนะ เจ้าอย่าทำให้ข้าผิดหวังเด็ดขาด!”
“เหวินเหรินชง เจ้าตาบอดรึไง เห็นไหมว่าลูกธนูพุ่งตรงมาที่ศีรษะเจ้าแล้ว! ทำไมไม่รีบหลบ!”
“เหวินเหรินชง…สู้ต่อไป…อย่าเพิ่ง…มาตายที่นี่…”
ความทรงจำในอดีตปรากฏขึ้นในศีรษะอย่างไม่หยุดหย่อน จนเขาแทบแยกไม่ออกว่าเด็กหนุ่มที่เห็นตรงหน้านี้คือเซวียนหยวนเซิ่งหรือไม่
ธงของตระกูลเซวียนหยวนปลิวไปตามสายลมใต้ท้องฟ้า
จากนั้นกู้เจียวออกคำสั่งอย่างเคร่งขรึม “อัศวินทุกคน ฟังทางนี้ เราจะออกไปกับองค์หญิงเพื่อต่อสู้กับพวกโจร! เราไม่รู้ถึงความเสี่ยงในการไปที่นี่ ชีวิตหรือความตายเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน หากพวกเจ้าไม่อยากตายก็จงอยู่ที่นี่! ข้าจะไม่ลงโทษพวกเจ้า!”
ไม่มีใครยอมทิ้งทัพแม้แต่คนเดียว!
กู้เจียวยกธงขึ้นฟ้า พร้อมตะโกนด้วยเสียงที่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้ “ออกเดินทางได้!”