สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 826 ทหารม้าเหล็กเฮยเฟิง!
บทที่ 826 ทหารม้าเหล็กเฮยเฟิง!
ตระกูลนางกงใช้คำทำนายของกั๋วซือเพื่อขจัดอุปสรรคให้ตนเอง ต้องบอกเลยว่ากลยุทธ์นี้แม้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรใหม่ แต่กลับได้ผลมากทีเดียว
ในสมัยโบราณ หากต้องการสร้างข่าวลวง การยืมสิ่งเร้นลับมาเป็นข้ออ้างดูจะเป็นวิธีที่แน่นอนที่สุด
จักรพรรดิเปรียบเสมือนเรือ ส่วนราษฎรก็เหมือนน้ำในแม่น้ำ น้ำสามารถบรรทุกเรือได้ แต่ก็สามารถพลิกเรือให้คว่ำได้เช่นกัน
อย่าได้ดูถูกพลังศรัทธาของราษฎรเชียว
ซ่างกวานเยี่ยนหันไปถามเว่ยจวิ้นถิงต่อ “ท่านนายพลเว่ย มีความเห็นอย่างไร”
“พวกเขานำหน้าไปหนึ่งก้าวแล้ว หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อ เกรงว่าเราอาจจะสูญเสียกำแพงเมืองไป ในเมื่อพวกเขาได้ไปแล้ว คงเป็นเรื่องยากที่เราจะไปแย่งมันกลับคืนมา” เว่ยจวิ้นถิงอธิบาย
เมืองชายแดนมีความเฉพาะเจาะจงมาก เป็นพื้นที่ไว้ใช้สำหรับป้องกันไม่ให้ศัตรูรุกราน
ยิ่งได้กองทัพของหนานกงมาผสมโรงแล้ว ยิ่งเพิ่มความยากเข้าไปอีก
ซ่างกวานเยี่ยนหันไปถามกู้เจียวต่อ “ผู้บัญชาการเซียวมีความเห็นอย่างไร”
กู้เจียวดูแผนที่บนโต๊ะและชี้ไปทางทิศตะวันตกของด่านเยียนเหมิน “กองกำลังของแคว้นเหลียงเคลื่อนพลมาได้ร้อยลี้และได้พ้นเขตชายแดนของแคว้นเหลียงเป็นที่เรียบร้อย เหตุผลที่พวกเขายังไม่บุกเข้ามา ก็เพราะกองทหารของพวกเขายังไม่แข็งแกร่งพอ พวกเขาก็เหมือนกับพวกเราที่กำลังรอกองทัพจักรวรรดิมาสมทบ เราต้องรีบคว้าโอกาสนี้โดยการยึดเมืองฉวี่หยางกลับคืนมาก่อนที่กองทัพจักรวรรดิของแคว้นเหลียงจะถึงชายแดน!”
ซ่างกวานเยี่ยนพยักหน้าเห็นด้วย
ทันใดนั้น หวังหม่านก็เริ่มถอนหายใจแล้วเถียงกลับ “เด็กน้อยก็ยังคงเป็นเด็กน้อยอยู่วันยังค่ำ วิธีง่ายๆ แบบนี้ใครก็คิดได้ ลองคิดดูสิว่าเหตุใดข้าถึงไม่เสนอวิธีนี้ออกมา”
กู้เจียวทำท่าครุ่นคิด ก่อนตอบเขาไป “เพราะท่านอ่อนหัดกระมัง”
“ปากไม่มีหูรูด!” หวังหม่านตบฝ่ามือลงบนโต๊ะแล้วยืนขึ้น
เว่ยจวิ้นถิงรีบลุกขึ้นยืนและหยุดเขา “นายพลหวัง! นายพลหวัง! ใจเย็นๆ ! ใจเย็นๆ !”
ซ่างกวานเยี่ยนเหลือบมองหวังหม่านด้วยสีหน้านิ่งเรียบแล้วเอ่ย “นายพลหวาง ท่านต้องการใช้กำลังต่อหน้าข้ารึ”
บังอาจตะคอกใส่ลูกสะใภ้ข้า ไม่เคยตายหรีอไร!
เว่ยจวิ้นถิงทำหน้าที่เป็นผู้สร้างสันติ “ผู้บัญชาการเซียวแค่กำลังล้อเล่นกับนายพลหวังเท่านั้น นายพลหวังเป็นผู้มีอิทธิพลนัก อย่าเถียงกับคนรุ่นน้องเลย”
“เหอะ!” หวังหม่านยอมสงบศึกด้วยความไม่เต็มใจเนื่องจากเห็นแก่องค์หญิง
จากนั้นทั้งสองคนก็กลับลงไปนั่งที่เดิม
ซ่างกวานเยี่ยนเข้าใจกู้เจียวดี กู้เจียวไม่ใช่คนเอ่ยจาไปเรื่อย ที่กู้เจียวเสนอหนทางนี้ เท่ากับว่านางมีแผนรับมือแล้ว
เพียงแต่ สิ่งที่หวังหม่านเอ่ยมาก็ถูก แผนการนี้มีช่องโหว่จริงๆ
ซ่างกวานเยี่ยนชี้ไปที่แผนที่พร้อมอธิบาย “ตอนนี้พวกเราอยู่ตรงจุดนี้ หากจะเดินทางไปที่เมืองฉวี่หยาง อย่างเร็วก็ใช้เวลาหนึ่งเดือน การเร่งบังคับเคลื่อนขบวนก็ใช้เวลามากกว่ายี่สิบวันเช่นกัน กองทัพของแคว้นเหลียงอยู่ไม่ไกลจากชายแดนแล้ว พวกมันสามารถเดินทางมาถึงชายแดนได้ภายในเวลาไม่ถึงยี่สิบวัน”
กู้เจียวเอ่ยต่อ “เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไปให้ทัน แต่ม้าเฮยเฟิงสามารถทำได้ ทหารม้าเฮยเฟิงใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนก็สามรถไปถึงเมืองฉวี่หยางได้”
ซ่างกวานเยี่ยนออกอาการตกใจ “เจ้าจะเร่งบังคับเคลื่อนพลรึ”
จริงอยู่ว่าทหารม้าสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าทหารราบ แต่เพื่อประสิทธิภาพการรบของม้า พวกมันไม่สามารถขี่เร็วเกินไปได้ การเคลื่อนทัพอย่างรวดเร็วจะใช้เวลายี่สิบวันหรือครึ่งเดือน… ซึ่งจะต้องใช้ความแข็งแกร่งทางกายภาพของม้าเป็นอย่างมาก
“ไม่ แค่เร่งก็พอ” กู้เจียวชี้ไปที่แผนที่แล้วเอ่ย “เส้นทางนี้สามารถตัดผ่านภูเขาหลิ่วโจวและไปถึงอำเภอเฟิงในเมืองฉวี่หยางได้!”
หวังหม่านโต้ขึ้นด้วยความไม่พอใจ “แต่ทางนั้นอันตรายมากๆ ! ยังไม่เคยมีทหารกลุ่มไหนผ่านทางนั้นไปได้เลย!”
แต่ข้าเคยไป
กู้เจียวเอ่ยในใจ
ในความฝัน กองทัพของเซวียนหยวนลงแรงมหาศาลเพื่อผ่านเทือกเขานั้น
กู้เจียวรู้ว่าจะเลี่ยงอันตรายจากบริเวณนั้นได้อย่างไร
“ทูลองค์หญิง! เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก! ข้าไม่สนใจว่าเขาได้ตำแหน่งผู้บัญชาการค่ายมาได้อย่างไร แต่การต่อสู้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เขาไม่สามารถปล่อยให้ค่ายเฮยเฟิงทั้งหมดถูกทำลายด้วยมือของเขาเพียงเพราะการคาดเดาของเขาเอง!”
เพราะในตอนนี้ ค่ายเฮยเฟิงถือว่าเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดที่พวกเขามี!
ถ้าเจ้าเด็กนี่เป็นผู้นำไม่ได้ เปลี่ยนคนซะก็สิ้นเรื่อง!
อย่าเสียทรัพยากรดีๆ แบบนี้ไปเลย!
“เจ้าจะรับมืออย่างไร” ซ่างกวานเยี่ยนหันไปถามกู้เจียวต่อ
แววตาของมู่ชิงเฉินวูบไหวทันที
น้ำเสียงขององค์หญิงฟังดูเชื่อใจอีกฝ่ายอย่างมาก
และมันยิ่งเพิ่มความน่าสงสัย
“ข้ามีวิธี” กู้เจียวตอบอย่างมั่นใจ
ซ่างกวานเยี่ยนพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี”
หวังหม่านเริ่มหน้าเสีย “องค์หญิงขอรับ!”
“ข้าตัดสินใจแล้ว นายพลหวังไม่จำเป็นต้องเอ่ยโน้มน้าว หากเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง” ซ่างกวานเยี่ยนยื่นคำขาด
ในเมื่ออีกฝ่ายยืนกรานขนาดนี้ ไม่ว่าหวังหม่านจะห้ามอย่างไรคงไม่เป็นผล จะให้ถึงขั้นหยิบมีดขึ้นมาขู่ก็คงไร้ประโยชน์
“เหอะ!”
เขาลุกขึ้นยืน วางมือข้างหนึ่งไว้ข้างหลัง แล้ใช้มืออีกข้าวตบเข้าที่ต้นขาสองครั้งเพื่อระบายความไม่พอใจ จากนั้นเดินจากไปด้วยใบหน้าเย็นชา!
กู้เจียวมองตามเขาไป
“เห็นสนามรบเป็นสนามเด็กเล่นหรืออย่างไรกัน! พอกันทั้งเซียวลิ่วหลังทั้งองค์หญิงเลย! ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าฝ่าบาททรงคิดอะไรอยู่ถึงได้ส่งสตรีมาเป็นตัวแทนออกรบ! ที่วังมีองค์ชายตั้งมากตั้งมายเหตุใดพระองค์ถึงไม่ยอมส่งมา! ทั้งหลีอ๋อง ซวีอ๋อง เอินอ๋อง ไม่ว่าใครก็ย่อมดีกว่าอดีตองค์หญิงคนนี้แน่ๆ !”
หวังหม่านก่นด่าหลังจากเดินออกไปนอกค่าย
ทว่าคนที่อยู่ข้างในกลับได้ยินชัดแจ๋ว
เว่ยจวิ้นถิงถึงกับทำหน้ายิ้มเจื่อน
ขณะที่สีหน้าของซ่างกวานเยี่ยนยังคงเหมือนเดิม นางหันไปเอ่ยกับเว่ยจวิ้นถิง “เจ้าออกไปก่อน ข้ามีธุระจะคุยกับผู้บัญชาการเซียว”
“ขอรับ กระหม่อมขอตัวก่อน” เว่ยจวิ้นถิงถวายบังคมแล้วเดินออกไป
มู่ชิงเฉินเตรียมจะลุกออกไปเช่นกัน
ทว่าซ่างกวานเยี่ยนห้ามเขาไว้ “เจ้าอยู่ที่นี่ก่อน ข้ามีเรื่องวานให้เจ้าช่วย”
…
ครึ่งชั่วยามผ่านไป มู่ชิงเฉินและกู้เจียวก็เดินออกมาจากค่าย
ท้องฟ้าเริ่มมืดสนิท เหล่าทหารเริ่มก่อไฟและทำอาหารเย็น หลังจากรับประทานอาหารแล้วพวกเขาก็รีบพักผ่อน บ้างก็ออกมาลาดตระเวนตามหน้าที่
ทั้งสองคนกำลังเดินอยู่บนทางที่ตัดผ่านหกลางค่าย
สักพัก ที่ปรึกษาหูก็เดินเข้ามาทักทาย “นายท่าน! กินข้าวเย็นหรือยังขอรับ ข้าน้อยเหลือหมั่นโถวไว้ให้นายท่านด้วย!”
“ข้ากินมาแล้ว” กู้เจียวตอบ “เก็บไว้ให้ข้าแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าข้าค่อยกิน”
ที่ปรึกษาหูไปต่อไม่ถูก “เอ่อ ขอรับ”
ใครอยากจะเหลือไว้ให้ท่านละ ข้าจะเก็บไว้กินเองไม่ได้บ้างรึ
มู่ชิงเฉินขมวดคิ้วและมองไปที่กู้เจียว “นับวันข้ายิ่งไม่เข้าใจเจ้า”
กู้เจียวหรี่ตามองเขา “เจ้าไม่ต้องเข้าใจข้าก็ได้”
มู่ชิงเฉินเริ่มชินที่ถูกอีกฝ่ายตัดบทแบบนี้
“ข้าขอโทษเจ้าด้วยเรื่องหนานกงลี่” มู่ชิงเฉินเอ่ย
แม้คนภายนอกจะยังไม่รู้เรื่องระหว่างตระกูลหนานกงและไท่จื่อที่สมรู้ร่วมคิดวางแผนสังหารพระราชนัดดา แต่ในฐานะบุตรชายที่ชอบด้วยกฎหมายของหนึ่งในสิบตระกูล ทำให้เขาได้ยินเรื่องนี้มาบ้างเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้ว่าพระราชนัดดาตัวจริงคือเซียวเหิง และคิดว่าเขาคือซ่างกวานชิ่งจริงๆ
กู้เจียว “อ้อ”
มู่ชิงเฉินเอ่ยด้วยความอับอาย “ที่เจ้าฆ่าหนานกงลี่ เพราะเจ้ารู้เรื่องแผนการของเขาใช่ไหม ลืมไปเถอะ มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว เพราะเหตุการณ์นี้ ข้าถึงเข้าใจผิดว่าเจ้าเป็นคนไม่ดี มันเป็นความผิดของข้าเอง”
อันที่จริง กู้เจียวแทบไม่สนใจว่าเขาจะมองนางอย่างไร แต่ในเมื่อเขากำลังกล่าวคำขอโทษอย่างจริงใจ ถ้ากู้เจียวไม่ตอบอะไรเขาไป เขาก็คงจะยังขอโทษไม่หยุดอยู่อย่างนั้น
กู้เจียวยกมือกุมขมับ “เอาละ ข้าให้อภัยเจ้าแล้ว”
มู่ชิงเฉินคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหยุดฝีเท้าลง แล้วถามกู้เจียว “แปลว่า เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ใช่ไหม”
“ใช่ มั้ง” กู้เจียวทำท่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กลอกตาไปมาและเอ่ยด้วยความไม่เต็มใจ
มั้งอย่างนั้นรึ หมายความว่าอย่างไร
มู่ชิงเฉินไม่เข้าใจ
กู้เจียวแบมือออก “ตอนนี้ข้าเป็นหัวหน้าเจ้านะ เจ้าต้องพึงระลึกที่ต่ำที่สูงสิ”
มู่ชิงเฉิน “…”
ซ่างกวานเยี่ยนเป็นห่วงลูกสะใภ้กลัวว่าจะเกิดเรื่องอันตรายกับนาง จึงสั่งให้มู่ชิงเฉินคอยติดตามกู้เจียวไปด้วยระหว่างการเดินทางไปยังเมืองฉวี่หยาง
กู้เจียวเป็นผู้นำ
ส่วนเขาเป็นผู้ติดตาม
กู้เจียวเลียนแบบท่าเดินของหวังหม่านโดยการเอามือข้างหนึ่งพาดหลัง และใช้มืออีกข้างตบเข้าที่ขาของตัวเองสองทีพร้อมกับสบถ
“หึ!”
เก็บรายละเอียดทุกเม็ดไหมล่ะ!
มู่ชิงเฉิน “…”
ก่อนรุ่งสางของวันถัดมา กู้เจียวออกคำสั่งให้ทหารม้าค่ายเฮยเฟิงทั้งหมดออกจากค่าย
ตอนแรกซ่างกวานเยี่ยนยืนกรานจะติดตามกู้เจียวไปด้วย แต่ถูกกู้เจียวปฏิเสธทันที
ซางกวานเยี่ยนมีสกรูแปดตัวฝังอยู่ที่หลัง และต้องสวมโครงเหล็กเพื่อพยุงร่างไว้ การเคลื่อนพลอย่างรวดเร็วของทหารม้าจะทำให้ร่างกายทรุดโทรมลง
นอกจากนี้ ในฐานะองค์หญิง นางสามารถรวบรวมกองกำลังท้องถิ่นได้มากขึ้นตามทาง ต่อให้ไม่มีทหาร อย่างน้อยก็สามารถซื้ออาหารและเสบียงเพิ่มได้
นี่เป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก ต้องจัดหาอาหารและหญ้าให้เพียงพอต่อความต้องการของคนและม้า
สภาพอากาศดีมาตลอดในช่วงสามวันก่อนออกเดินทาง แต่พอวันที่สี่ พวกเขาดันเจอเข้ากับพายุฤดูใบไม้ร่วงอย่างกะทันหัน โชคดีที่กู้เจียวรู้วิธีอ่านดวงดาวเพื่อตรวจสอบสภาพอากาศและเตรียมให้ทุกคนหลบภัยไว้ล่วงหน้า
ในวันที่สิบเอ็ด ทหารม้าเดินทัพมาถึงตีนเขาหลูติง ซึ่งเป็นเทือกเขาที่ใหญ่ที่สุดในหลิ่วโจว
พอมาถึงตรงนี้ แผนที่ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป
เนื่องจากไม่เคยมีใครเข้าไปในเทือกเขาแห่งนี้ จึงไม่มีใครเขียนแผนที่ออกมา
ทุกคนจึงอยู่กับที่เพื่อรอคำสั่ง
ระหว่างทางการเดินทาง ความประทับใจที่เหล่าทหารมีต่อกู้เจียวนั้นเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จากที่อดีต ผู้นำของพวกเขาคือคนของตระกูลหันที่สืบทอดกันมาเรื่อยๆ แม้พวกเขาจะทำหน้าที่ได้ดีกว่ากู้เจียว แต่แล้วอย่างไรล่ะ
สุดท้ายตระกูลหันก็เลือกที่จะทรยศแผ่นดิน
พวกเขายอมรับว่าการที่นำธงของตระกูลซวนหยวนกลับมาแสดงอีกครั้งถือเป็นแรงบันดาลใจอย่างแท้จริง
แต่หลังจากผ่านความผิดหวังหลายครั้งเกินไป พวกเขาก็สงบลงจากความตื่นเต้นครั้งแรกแล้ว
บางทีนี่อาจเป็นเพียงวิธีเพิ่มขวัญกำลังใจก็เท่านั้น
ใครกันจะต่อสู้เพื่อตระกูลเซวียนหยวนจริงๆ
แม้แต่ตระกูลหนานกงก็ใช้ชื่อตระกูลเซวีนหยวนเพื่อแสวงหาผลประโยชน์แก่ตัวเอง
ทุกคนมองไปที่ผู้บัญชาการคนใหม่ราวกับรอดูความพังพินาศที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้
พวกเขารอดูว่าผู้บัญชาการคนใหม่นี้จะร้องไห้กลับบ้านหรือไม่หากหลงทางอยู่ในหุบเขานี้
มู่ชิงเฉินเหลือบมองไปรอบๆ และกระซิบกับกู้เจียว “ดูเหมือนพวกเขาจะไม่เชื่อเจ้าเลยนะ”
กู้เจียว “อ้อ”
“เรามีเวลาสามวันในการข้ามภูเขา จากนั้นจะให้กองทัพทั้งหมดพักฟื้นหนึ่งวัน แล้วเราจะบุกโจมตีเมืองโดยตรงทันที” กู้เจียวอธิบาย
“สามวัน…เพียงพอรึ” มู่ชิงเฉินมองดูเทือกเขาที่สุดลูกหูลูกตาแห่งนี้ และอดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจจะไม่สามารถออกไปได้เป็นเวลาสิบสามวัน ไม่แปลกใจเลยที่ทหารคนอื่นๆ จะไม่ไว้ใจเพื่อนร่วมชั้นของเขา แม้ว่าเขาจะรู้สึกอึดอัดก็ตาม
“เพียงพอหรือไม่เพียงพอ ลองดูก็แล้วกัน ไปกันเถอะ!”
ป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยเสียงร้องของสัตว์ป่า และม้าสามารถสัมผัสได้ถึงอันตรายในป่าโดยสัญชาตญาณ
แม้ไม่รู้ว่าจะมีภยันตรายใดรออยู่ข้างหน้า แต่ ณ ตอนนี้ เจ้าเฮยเฟิงเลือกที่จะเชื่อกู้เจียวอย่างสุดใจเหมือนกับที่กู้เจียวไว้ใจมัน
ทันทีที่เจ้าเฮยเฟิงยกเท้าหน้าและกระโดดขึ้นฟ้า มันสามารถข้ามผ่านธารน้ำไหลที่กว้างราวหกฉือได้อย่างสบายๆ ก่อนจะมุ่งหน้าตรงเข้าไปยังดงป่าทึบอย่างไม่หันหลังกลับ