สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 850 ความจริงในตอนนั้น
“เจ้ามองอะไรรึ”
ถังเย่ว์ซานกระตุกแขนเสื้อกู้เจียว บ่งบอกให้ดูระยะห่างกับม้าตัวข้างหน้า “ควรขยับไปข้างหน้าแล้ว”
เบื้องหน้าเป็นที่ว่างห่างหลายช่วงตัว ชาวบ้านที่ต่อแถวอยู่ข้างหลังชักรำคาญกันขึ้นมาแล้ว
แม้ว่าการเข้าเมืองจะไม่ใช่สิ่งที่ต้องการก็ตาม แต่หากเข้าไปช้าอีกหน่อยก็ไม่อาจหาเงินได้มากขึ้นแล้ว ไม่สู้ทำให้เสร็จไวหน่อยจะได้กลับบ้านไปพัก
กู้เจียวเอ่ย “ไม่มีอะไร แค่มองไปเรื่อยเปื่อย”
ราชาม้าเฮยเฟิงเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว
ในขณะนั้นเอง รถม้าคันนั้นก็ผ่านด่านประตูเมืองไปอย่างราบรื่น
สาเหตุที่บอกว่าราบรื่นนั้น เป็นเพราะกู้เจียวพบว่าทหารเฝ้าประตูเมืองเหมือนรู้จักกับเจ้าของรถม้าคันนี้แต่แรกแล้ว ไม่ตรวจอะไรทั้งสิ้นก็ปล่อยเขาเข้าไปเลย
คนที่หน้าตา ‘เหมือน’ สามีข้า ทั่วหล้านี้มีอยู่เพียงคนเดียว
แต่เขาโดนซ่างกวานเยี่ยนจัดให้อยู่ในคฤหาสน์ที่ปลอดภัยแห่งหนึ่งเพื่อหลบภัยแล้วมิใช่หรือ เพื่อไม่ให้เขาหนีออกมา ซ่างกวานเยี่ยนยังออกคำสั่งตายแก่องครักษ์ด้วย
…แน่นอนว่า กู้เจียวรู้สึกว่าซ่างกวานเยี่ยนอาจจะไม่ได้รู้จักนิสัยร้ายกาจของบุตรชายคนนี้ยิ่งนัก
แม้แต่หวังซวี่ยังโดนหลอกเสียเพียงนั้น…
ที่น่าแปลกก็คือเหตุใดเขาจึงมาปรากฏตัวที่ด่านชายแดนได้ ซ้ำยังท่าทางใช้ชีวิตที่ดีในเมืองผู่ด้วย
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
นางไม่ได้คิดว่าตัวเองจำผิด แต่นางก็ไม่คิดว่าคนผู้นั้นมีเหตุผลให้มาปรากฏตัวที่เขตแดนของกองทัพจิ้นเช่นกัน
ไม่สมเหตุสมผลทั้งสองกรณีเลย
“เจ้าพึมพำอะไรน่ะ” ถังเย่ว์ซานกระซิบถามเสียงเบา “พึมพำตั้งแต่เช้าตรู่ องค์หญิงมาใช่หรือไม่ ทำให้เจ้านึกถึงสามีน้อยของเจ้า”
กู้เจียวหันไปมองเขา “จะว่าไปเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าองค์หญิงเป็นมารดาแท้ๆ ของเซียวเหิง”
ถังเย่ว์ซานไม่ได้ปิดบัง “จวงไทเฮากับจี้จิ่วอาวุโสบอกน่ะสิ ไม่เช่นนั้นความลับใหญ่เพียงนี้ ผู้ใดจะกล้าคิด จะว่าไป เหล่าเซียวผู้นี้ก็วาสนาดีจริงๆ เรื่องตอนนั้นที่เขาช่วยชีวิตทาสหญิงแคว้นเยี่ยนไว้ข้าก็รู้เรื่อง”
กู้เจียวถามอย่างประหลาดใจ “เหตุใดเจ้าจึงรู้ได้”
ถังเย่ว์ซานเผลอปากเอ่ย “ข้าอยู่ในที่เกิดเหตุน่ะสิ”
กู้เจียว “หืม”
ถังเย่ว์ซานสีหน้าพลันเปลี่ยน
แย่แล้ว เผลอหลุดปากไป
เฮ้อ ช่างเถิด ช่างเถิด เผลอแล้วก็เผลอไป เผลอกว่านี้หน่อยก็ไม่เป็นไร
ถังเย่ว์ซานถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “เรื่องในตอนนั้นน่ะนะ จะว่าไปแล้วก็ค่อนข้างซับซ้อน เจ้าคิดว่าเหล่าเซียวเป็นคนพาองค์หญิงพากลับมาจากค่ายทหารใช่หรือไม่ ค่ายทหารมีโสเภณีมาสองสามคน มีคนที่งามที่สุดในแผ่นดินอยู่คนหนึ่ง พวกคนรับใช้ไม่กล้าเสพสุขเอง จึงอยากจะมอบให้พี่ใหญ่ของตัวเอง”
อย่าพูดเลย กู้เจียวเคยเดาเช่นนี้จริงๆ
“ความจริงนั้นไม่ใช่” ถังเย่ว์ซานโบกมือ
อันที่จริงเซียวจี่ไม่ได้พากลับมาจากค่ายทหาร แต่พามาจากโรงประลองใต้ดิน ตอนนั้นยอดฝีมือโรงประลองใต้ดินที่มาจากหกแคว้นมารวมตัวกันหมด เซียวจี่ไม่ใช่อันดับหนึ่งแห่งหกแคว้น อันดับหนึ่งแห่งหกแคว้นถูกใจทาสสาวคนนั้น ต้องการจะครอบครองนาง
ทาสสาวขอร้องให้เซียวจี่ช่วยชีวิต
เซียวจี่วีรบุรุษยากจะผ่านด่านสาวงาม จึงท้าสู้กับอันดับหนึ่งผู้นั้น สุดท้ายแค่คิดก็รู้ อันดับหนึ่งถูกซัดจนแทบตาย
เซียวจี่ในตอนนั้นยังไม่ได้แข็งแกร่งเท่าในภายหลัง เอาชนะอันดับหนึ่งแห่งโรงประลองหกแคว้นได้จึงแลกมาด้วยราคามหาศาล
เขาหลงคิดมาตลอดว่าเซียวจี่เล่นแล้วก็จะส่งคนจากไป อย่างไรเสียเซียวจี่ผู้นี้แต่ไหนแต่ไรมาก็เคยอยู่ท่ามกลางหมื่นบุปผารายล้อม มิอาจแปดเปื้อนแม้เพียงกลีบเดียว[1] ใครจะคิดว่าพวกเขาสองคนจะมีลูกด้วยกันคนหนึ่ง
ทว่าเซียวจี่คงจะไม่รู้ว่าตอนที่ซ่างกวานเยี่ยนถูกขังในห้องขังของโรงประลองใต้ดินไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือไปทั่ว ในช่วงแรกตอนอยู่ที่แคว้นต้าเยี่ยน ซ่างกวานเยี่ยนก็ชนหน้ากากเซียวจี่ร่วง
ซ่างกวานเยี่ยนเห็นใบหน้าของเซียวจี่แล้ว
จวบจนทุกวันนี้เขายังจำสีหน้าตื่นตะลึงของเด็กสาวได้อยู่เลย ‘ขะ…ข้าชื่ออาเยี่ยน เจ้าคือผู้ใด’
เซียวจี่ได้รับบาดเจ็บตอนประลองในสังเวียน องคาพยพเสียหาย มองเห็นไม่ชัดและไม่ได้ยิน
เขาไม่ได้เอ่ยคำ เอาแต่ทำสีหน้าไร้อารมณ์เก็บหน้ากากจากพื้นขึ้นมาใส่ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมา
เด็กสาวซ่างกวานเยี่ยนเหม่อมองแผ่นหลังเซียวจี่อย่างนิ่งอึ้ง มองอยู่เนิ่นนาน
สายตานั้นเหมือนกับพี่ข้ามองพี่สะใภ้เลย… ถังเย่ว์ซานเอ่ยในใจ
ได้ยินถังเย่ว์ซานเล่าจบ กู้เจียวก็ตกใจ “ที่แท้อันดับหนึ่งของโรงประลองใต้ดินในเมืองหลวงก็คือเซวียนผิงโหวนี่เอง”
มิน่าเล่าถึงชอบโผล่มาให้เห็นแวบๆ ก็หายไปแล้ว เกรงว่าตั้งแต่ที่เขาบาดเจ็บที่เอว ก็ไม่ได้ไปสถานที่แห่งนั้นอีกเลย
คิดมาถึงตรงนี้ กู้เจียวก็เอ่ยอีก “เจ้าก็อยู่ที่โรงประลองใต้ดินเหมือนกันใช่หรือไม่”
ถังเย่ว์ซานยืดตัวตรง “อะแฮ่ม ทำนองนั้น”
กู้เจียว “ระวังตัวตนของตัวเองด้วย”
ถังเย่ว์ซานหน้าทะมึน งอตัวลงเล็กน้อย
“ตอนนั้นเจ้าอยู่อันดับที่เท่าใด” กู้เจียวถามอีก
ถังเย่ว์ซานแค่นเสียงเอ่ย “ข้าไม่ได้เข้าร่วมการประลองน่าเบื่อพรรค์นั้นเสียหน่อย”
กู้เจียวปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “เช่นนั้นดูท่าเจ้าจะอยู่อันดับที่ต่ำมาก”
“เฮ้ย! เจ้าอย่ามาดูถูกคนจะได้หรือไม่! ก็บอกว่าคร้านจะร่วมประลองอย่างไรเล่า!” ถ้ามิใช่เพราะผิดกาลเทศะ ถังเย่ว์ซานคงได้ร้องคำรามอย่างเดือดดาลอออกมาแล้ว เขาชูสามนิ้ว “อันดับสาม!”
ที่โรงประลองใต้ดินแคว้นเจานั้น มีเพียงสามอันดับแรกจึงมีสิทธิ์ไปแคว้นเยี่ยน
“อันดับสองคือผู้ใดรึ” กู้เจียวถาม
ถังเย่ว์ซานแค่นเสียงเฮอะ “จะเป็นผู้ใดได้อีก”
แต่ข้ารู้ว่าพวกเขาเป็นใคร พวกเขากลับไม่รู้ว่าข้าคือใคร นี่เป็นความสามารถของข้าถังเย่ว์ซาน!
กู้เจียว “ดังนั้นกู้ฉังชิงเอาชนะเจ้าได้จึงได้มีสิทธิ์ไปแคว้นเยี่ยนนี่เอง”
ถังเย่ว์ซาน “นั่นเพราะข้ายอมอ่อนให้เขาต่างหาก! ข้ามองออกแต่แรกแล้วว่าเขาคือกู้ฉังชิง!”
กู้เจียวเบ้ปาก “แก้ตัวน้ำขุ่นๆ ”
ถังเย่ว์ซานหน้าบึ้งถมึงทึง ข้าพูดความจริงนะ!
สุดท้ายถังเย่ว์ซานก็ไม่มีโอกาสได้แก้ต่างให้ตัวเอง เพราะถึงตาพวกเขาแล้ว
“พวกเรามาจากเมืองฉวี่หยาง ปู่ข้าเป็นพ่อค้าแคว้นจิ้น ทั้งครอบครัวข้าโดนพวกเขาจับขังไว้ กว่าข้าจะหลบหนีออกมาได้ยากเย็นนัก ขอทั้งสองท่านอำนวยความสะดวก อนุญาตข้าเข้าเมืองไปหลบภัยด้วย”
ครานี้กู้เจียวท่องบทอย่างเดียวเลย ไม่ได้แสดงฝีมือการแสดงใหญ่โต (ที่แทบทนดูไม่ได้) ผลลัพธ์กลับออกมาดีเหนือคาด
“ปู่ข้ามาต้าเยี่ยนหลายสิบปีแล้ว ข้าเติบโตที่เมืองฉวี่หยาง พูดภาษาแคว้นจิ้นไม่ค่อยได้”
กู้เจียวเอ่ยพลางล้วงเงินถุงหนึ่งยัดให้ทหารเฝ้าประตูเมือง
ทั้งสองเข้าไปในเมืองได้อย่างราบรื่น
ไม่ได้เข้มงวดเท่าที่ข้าคิดไว้ เป็นกฎทหารกองทัพจิ้นไม่เข้ม การป้องกันหละหลวม หรือว่ากองทัพจิ้นใจกว้าง ไม่กลัวสายลับหรือหน่วยสอดแนมจะปะปนเข้ามาในเมืองกันแน่
กู้เจียวครุ่นคิดพลางพินิจมองทัศนียภาพในเมืองผู่
เมืองผู่เป็นคูเมืองที่กว้างใหญ่และรุ่งเรืองกว่าเมืองฉวี่หยาง ประชากรเป็นสองเท่าของเมืองฉวี่หยาง มูลค่าภาษีแต่ละปีที่จ่ายให้ราชสำนักเป็นสามเท่าของเมืองฉวี่หยาง แต่บัดนี้สิ่งที่กู้เจียวเห็นกลับไม่ใช่สภาพที่เมืองใหญ่พึงมีเลย
ประตูใหญ่ของร้านค้าปิดสนิท ถนนหนทางร้างผู้คน ป้ายผ้าร้านค้าพริ้วไสวถูกกองทัพจิ้นฉีกกระจุย
…คูเมืองนี้กำลังหลั่งโลหิต
“พวกเจ้าปล่อยนางนะ! พวกเจ้ามันเดรัจฉาน! ปล่อยนางสิ…ปล่อยนาง…”
เสียงร้องอย่างเดือดดาลเจือสะอื้นของสตรีออกเรือนคนหนึ่งดังขึ้นภายในร้านค้าที่อยู่ไม่ไกล นางกอดต้นขาทหารจิ้นคนหนึ่งไว้แน่น ทหารนายนั้นกับสหายกำลังลากแม่นางน้อยหน้าตาสะสวย สวมใส่เรียบร้อยคนหนึ่งอยู่
แม่นางน้อยโดนฟาดหมดสติไปแล้ว ไร้เรี่ยวแรงขัดขืนและร่ำไห้ ได้แต่ปล่อยให้ทหารจิ้นสองนายลากเข้าไปในตรอก
ดูจากอาภรณ์และเครื่องประดับแล้ว นี่เป็นคุณหนูตระกูลร่ำรวยคนหนึ่ง
ในอดีตเป็นดาวล้อมเดือน แต่เมืองผู่ตกเป็นเมืองขึ้นของกองทัพจิ้นแล้ว สถานะของนาง ตำแหน่งของนาง ล้วนไร้ค่าให้เอ่ยถึง
เมืองแตกสาแหรกขาด เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ทหารจิ้นถีบสตรีออกเรือนผู้นั้นออก หิ้วเข็มขัดลากแม่นางน้อยเข้าไปในตรอกลึก
เรื่องพรรค์นี้ เกิดในสถานที่ที่พวกเขามองไม่เห็น ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นกี่ครั้งกี่หนแล้ว
กู้เจียวดึงบังเหียนแน่น
นางโกรธมาก
ทหารจิ้นพวกนี้ช่างทำให้นางโมโหนัก!
“สงครามก็เป็นเช่นนี้” ถังเย่ว์ซานลอบถอนหายใจ ยกมือปิดตานาง “เอาละ เจ้าไม่ต้องมองแล้ว ข้าไปจัดการเอง”
เขาเอ่ยจบก็พลิกตัวลงจากหลังม้าเข้าไปในตรอก
จากวรยุทธ์ของเขา จัดการทหารจิ้นสองนายไม่ใช่เรื่องยาก แค่เพียงพริบตาเดียวทหารสองนายนั้นก็สิ้นใจด้วยน้ำมือเขา เขาหาที่จัดการศพ
สตรีออกเรือนที่โดนเตะสลบฟื้นขึ้นมา วิ่งไปหาคุณหนูตัวเองในตรอก ทั้งสองต่างกลัวเหลือคณนา ลืมแม้แต่จะเอ่ยขอบคุณ
เมื่อพวกนางตั้งสติได้จะไปโขกหัวขอบคุณผู้มีพระคุณ ถังเย่ว์ซานก็กลับมาบนหลังม้า จากไปด้วยกันกับกู้เจียวแล้ว
กู้เจียวขี่ราชาม้าเฮยเฟิง เดินอยู่บนถนนร้างผู้คน เอ่ย “สถานการณ์ของเมืองผู่ย่ำแย่กว่าที่คิดไว้อีก”
ตอนที่ตระกูลหนานกงยึดครองเมืองฉวี่หยาง อ้างว่าปราบทรราช ผดุงธรรมให้แผ่นดิน เพื่อความสงบสุขและรุ่งเรืองของบ้านเมือง ด้วยเหตุนี้จึงนับว่าปฏิบัติต่อประชาชนในเมืองไม่เลว แต่กองทัพจิ้นไม่ต้องระมัดระวังสิ่งใด
พวกเขามาเพื่อรุกราน ชาวต้าเยียนไม่ใช่คน เป็นทรัพยากรที่พวกเขาสามารถฉกฉวยได้ตลอดเวลา
“ต้องรีบจบศึกโดยไว”
นางเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
ทั้งสองพลิกตัวลงจากหลังม้า
กองทัพจิ้นกองหนึ่งเดินมาทางนี้ มีราวๆ ร้อยคน ที่นำหน้าคือนายกองคนหนึ่ง
ครั้นเดินผ่านพวกนาง นายกองเพียงแค่เหลือบมองมาผ่านๆ ท่านชายขวัญเสียกับทาสคนหนึ่ง ไม่มีอะไรให้น่าสนใจ นายกองพาลูกน้องจากไป
เมื่อแน่ใจว่าพวกเขาจากไปไกลแล้ว ถังเย่ว์ซานก็เอ่ยขึ้น “มาตั้งนานแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าเหล่ากู้อยู่ที่ใด หากรู้แต่แรกว่าข้าจะต้องมา คงให้เขาทิ้งสัญลักษณ์ลับไว้ล่วงหน้าแล้ว”
กู้เจียวเอ่ยนิ่งๆ “พวกเราสืบของพวกเราไป”
จะสืบไม่สืบเป็นเรื่องรอง เรื่องสำคัญหลักๆ คือข้าอยากเห็นพวกเจ้าสองคนทำความแตกต่างหาก
ความปรารถนาอันแรงกล้าทำให้ถังเย่ว์ซานข่มวาจารนหาที่ตายนี้เอาไว้
“เจ้ากะว่าจะไปสืบจากไหน” เขาถาม
“จวนเจ้าเมือง” กู้เจียวเอ่ย
ถังเย่ว์ซานเกือบสำลัก คิดในใจว่า เป็นไปได้มากที่กงซุนอวี่จะพักอยู่ในจวนเจ้าเมือง ที่นั่นยอดฝีมือดาษดื่น แม้แต่ข้ายังไม่กล้าอวดดีเพียงนี้ เจ้าช่างขวัญกล้านัก!
ไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสือได้อย่างไร สถานการณ์ทางการทหารของกองทัพจิ้นที่สำคัญๆ ล้วนอยู่ที่จวนเจ้าเมืองหมด ด้วยเหตุนี้ต่อให้จวนเจ้าเมืองจะเป็นบ่อมังกรถ้ำเสือ วันนี้ก็ต้องบุกเข้าไป
“เจ้าไม่ไปก็ได้นะ” กู้เจียวเอ่ย “ศึกนี้ ไม่เกี่ยวอันใดกับตระกูลถัง”
เซียวเหิงเป็นบุตรชายแท้ๆ ของเซวียนผิงโหว เขาช่วยลูกนำความสงบมาสู่ต้าเยี่ยนนั้นพอเข้าใจได้ ถังเย่ว์ซานไม่จำเป็นต้องทุ่มเทเพียงนี้จริงๆ นั่นแหละ
ถังเย่ว์ซานแค่นเสียงเย็น “ดูถูกผู้ใดอยู่กัน”
เด็กสาวนางหนึ่งยังกล้าบุก เขาเป็นถึงผู้บัญชาการใหญ่ของทหารทั้งแผ่นดินจะไม่กล้าบุกรึ
กู้เจียวเห็นดังนั้นก็ไม่เอ่ยอะไรมากความอีก
ทั้งคู่มาถึงละแวกจวนเจ้าเมืองแล้ว หาเรือนที่ร้างผู้คนผูกม้าเฮยเฟิงกับราชาม้าเฮยเฟิงไว้
“ไฉนข้าจึงรู้สึกว่าเจ้าคุ้นเคยกับด่านชายแดนยิ่งนัก เจ้าเคยมารึ”
“ทำนองนั้น”
สงครามวุ่นวายครานั้น นางเจอภัยที่เมืองผู่
นางตายภายใต้กระบี่ขนนกยูงประกายเย็นเยียบ โดนคนแทงทะลุหัวใจจากข้างหลัง
เจ้าของกระบี่เล่มนั้นคือนักกระบี่ที่เก่งกาจยิ่ง อาภรณ์ดำตลอดร่าง สวมหน้ากากเขี้ยวสีสำริด
[1] หมื่นบุปผารายล้อม มิอาจแปดเปื้อนแม้เพียงกลีบเดียว ชายที่ได้รับความชื่นชอบมาก แต่กลับไม่ปักใจรักผู้ใดแม้แต่คนเดียว