สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 853-2 ชัยชนะเหนือทหารจิ้น (2)
บทที่ 853-2 ชัยชนะเหนือทหารจิ้น (2)
หมิ่นหงอีถูกพละกำลังที่มาอย่างกะทันหันโจมตีจนทำอะไรไม่ถูก!
แขนของเขาชาดิกขึ้นเล็กน้อย
เด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีกำลังภายในแท้ๆ แต่วิถีทวนกลับอันธพาลน่ากลัวถึงเพียงนี้…
ทำให้เขานึกถึงวิถีทวนของตระกูลเซวียนหยวนขึ้นมา!
ช้าก่อน วิถีทวน…ของตระกูลเซวียนหยวนอย่างนั้นรึ!
เมื่อครู่นี้กู้เจียวใช้กระบวนที่ห้าในเจ็ดกระบวนของเซวียนหยวน นางควบคุมสี่กระบวนแรกได้อย่างสบายๆ แม้ว่ากระบวนหลังๆ จะฝึกฝนอย่างพากเพียร แต่ยามลงมือกลับไม่ค่อยได้ใช้จริงเท่าใดนัก
หมิ่นหงอีมองกู้เจียวอย่างระแวดระวัง “เจ้าหนู! เจ้าเป็นอะไรกับตระกูลเซวียนหยวน!”
กู้เจียวกุมทวนยาวเอาไว้ กวาดอากาศในแนวราบ ก่อนจะยกมันขึ้นในแนวทแยงไปด้านหลังตน มองเขาราวกับเทพสังหาร “คนที่จะเอาชีวิตเจ้า!”
หมิ่นหงอีขมับเต้นตุบๆ !
สายตานี้…
หมิ่นหงอีปีนี้ก็เพิ่งจะสามสิบต้นๆ เท่านั้น เมื่อสิบกว่าปีก่อนเขามาจากแคว้นเยี่ยน แม้จะผ่านไปนานหลายปีแล้ว แต่เขาก็ยังจดจำคนตระกูลเซวียนหยวนได้ราวกับว่าเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
เจ้าเด็กคนนี้หน้าตาไม่เหมือนกับคนใดในตระกูลเซวียนหยวนเลย แต่แรงดุดันในตัวขุมนั้นดันทำให้ชวนนึกถึงสายเลือดตระกูลเซวียนหยวนขึ้นมา!
ภายใต้สถานการณ์ที่สติไม่หลุด ฝีมือของกู้เจียวสู้หมิ่นหงอีไม่ได้ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด นางยืนอยู่ในผืนป่า กลับรู้สึกได้ถึงพละกำลังอันคุ้นเคยยิ่งอย่างน่าพิศวง
มันลึกลับยากจะอธิบาย บางที…อาจเป็นเศษเกราะของทหารผีเหล่านั้นก็ได้
ถูกต้อง!
เศษเกราะนั่นแหละ!
กู้เจียวนึกออกในทันที
บนตัวคนพวกนั้นสวมเกราะศึกของตระกูลเซวียนหยวนที่ตายไป!
เขาผี…ภูเขาผีเป็นสถานที่ฝังกระดูกของกองทัพเซวียนหยวน!
ทหารพลีชีพอย่างห้าวหาญเหล่านั้นกลับไปบ้านเกิดตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว วิญญาณวีรบุรุษของพวกเขารั้งอยู่ที่ด่านชายแดนตลอดไป
ความโศกเศร้าท่วมท้นใจ
ไม่ใช่อารมณ์ของนาง
เป็นของทหารเซวียนหยวนนับพันนับหมื่น
กู้เจียวถือทวนยาวไว้ในมือแน่น หันไปมองแม่ทัพใหญ่แคว้นจิ้นที่อยู่ตรงข้าม “หมิ่นหงอี เอาชีวิตมา”
เอาชีวิตของเจ้าสังเวยให้เหล่าวิญญาณทหารเซวียนหยวนนับพันนับหมื่น!
หมิ่นหงอีเกิดลางสังหรณ์ร้ายขึ้นมาในใจ
วรยุทธ์ของเขาร้ายกาจกว่าเจ้าเด็กนี่แท้ๆ แต่เหตุใดใจจึงกระสับกระส่ายบอกไม่ถูก
แววตาเจ้าเด็กนี่มันอย่างไรกัน
ดูคล้ายสงบนิ่ง แต่ก็เจือกลิ่นอายสังหารที่ยากจะอธิบาย…
“ต้องตาฝาดไปแน่ๆ เจ้าหนูนี่จะมีปัญญาฆ่าข้าได้อย่างไร”
หมิ่นหงอีกำจัดความคิดสับสน กวัดแกว่งดาบเข้าใส่กู้เจียวอีกหน
กู้เจียวใช้สองกระบวนสุดท้าย ในที่สุดกระบวนที่เจ็ดก็แทงเข้าต้นขาขวาของเขา!
หมิ่นหงอีไม่ยากจะเชื่อว่าเจ้าหนูนี่จะทำลายการป้องกันของเขาได้ ทวนยาวแทงเข้าต้นขาเขาเข้าจริงๆ แล้ว!
กู้เจียวไม่เพียงแทงอย่างเดียว ยังหมุนทวนแถมให้อีกรอบด้วย
เรื่องพรรค์นี้พอมีครั้งแรกก็มีประสบการณ์แล้ว สบายยิ่งนัก
หมิ่นหงอีเป็นนักรบที่พละกำลังมหาศาลยิ่ง และพละกำลังส่วนใหญ่ของเขาก็มาจากขาทั้งสองข้าง เมื่อขาได้รับบาดเจ็บ ก็หมายความว่าอย่างน้อยๆ ใช้กระบวนและกำลังภายในไม่ได้ครึ่งกระบวนแล้ว
อีกฝ่ายวรยุทธ์แข็งแกร่ง ปราณกระบี่ทรงพลัง อาศัยจังหวะที่กู้เจียวจัดการหมิ่นหงอี กระโจนลอบโจมตีทันควัน!
“พี่ชายน้อย! ระวังนะ!”
เฮยอู๋ฉางน้อยกำหมัดตะโกนขึ้นเสียงดัง
แย่แล้ว ทวนยาวของนางแทงออกไปแล้ว ไม่ทันกาลแล้ว…
อีกฝ่ายเลือกจังหวะที่กู้เจียวไม่อาจปลีกตัวได้!
ในช่วงกำลังหน้าสิ่วหน้าขวานนี้ แส้เส้นหนึ่งก็ฟาดเข้ามา ม้วนบั้นเอวอ้อนนุ่มของกู้เจียว ตลบนางไปด้านหลังอย่างแรง
กู้เจียวกับองค์ราชาผีผู้นั้นหายวับไปเหมือนกันไม่มีผิด!
นักกระบี่โปรยตัวลงข้างกายหมิ่นหงอี เขามองหมิ่นหงอีที่ยังมีลมหายใจอยู่ รวบรวมสมาธิสังเกตความเคลื่อนไหวรอบด้าน
นี่เป็นนักกระบี่ที่มีประสบการณ์ยิ่ง เขามึนงงเพียงครู่สั้นๆ ก่อนจะกระโจนไปทางที่กู้เจียวหายตัวไป ฟาดฟันกลางอากาศ!
ได้ยินเสียงแควก ม่านสีดำที่กลมกลืนกับรัตติกาลถูกฟันขาด
กู้เจียวกับองค์ราชาผีที่อยู่หลังม่านและเฮย-ไป๋อู๋ฉาง รวมถึงแมกไม้ด้านหลังทุกคนพลันเผยออกมา
“เป็นกลบังตายจริงดังคาด!”
นักกระบี่แค่นเสียงเย็น ไม่มอบโอกาสให้พวกนางหลบหนี เขาแตะปลายเท้าทะยานขึ้นจากกิ่งไม้ ชักกระบี่ไล่สังหารไป!
กู้เจียวสัมผัสได้ว่ากำลังภายในของเขาแทบจะสูสีกับวิญญาณทมิฬเลย นี่เป็นคนร่วมสำนักของวิญญาณทมิฬอีกแล้ว!
ดูท่าสำนักกระบี่จะไม่ได้เพียงสบคมคิดกับแคว้นเหลียง ยังสมคบกับแคว้นจิ้นด้วย
หรือบางที…สำนักกระบี่ก็เป็นของแคว้นจิ้น! เป็นกลุ่มอำนาจที่น่ากลัวมากของแคว้นจิ้น!
จะเกิดสงครามดุเดือดอีกแล้ว…
นางกุมทวนยาวก้าวขึ้นหน้า
บุรุษกลับยกมือขึ้นอย่างเรียบเฉย ขวางอยู่ข้างหน้านาง “เจ้าถอยไป”
กู้เจียวใช้สายตาประหลาดใจสุดจะเปรียบมองเขา
นักกระบี่เอ่ยอย่างเย็นชา “คืนนี้พวกเจ้าอย่าคิดหนีไปแม้แต่คนเดียว!”
กระบี่ยาวดุจสายรุ้ง ฟาดฟันใส่เหนือศีรษะของบุรุษอย่างแรง!
“ไปตายซะ!”
บุรุษสีหน้าราบเรียบมองเขา ไร้ความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ริมฝีปากบางขยับเอ่ย “ดังที่เจ้าปรารถนา”
มือกระบี่ขมวดคิ้ว
ครู่ต่อมา บุรุษชักปืนไฟที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อกว้างออกมา เล็งหน้าอกเขา ก่อนจะยิงเขากระเด็น!
กู้เจียวกระจ่างแจ้งทันใด
นึกไม่ถึงว่าจะเป็นปืนไฟ
พลานุภาพของมันนั้นไม่ว่ากายเนื้อหรือเกราะเหล็กก็ไม่อาจต้านทานได้ มิน่าเล่าเจ้าจึงได้มั่นออกมั่นใจเพียงนี้
นี่น่าจะเป็นครั้งที่แรกตนได้เห็นปืนไฟหลังจากมายังต่างโลก
อันที่จริงปืนไฟมีมาตั้งแต่สมัยซ่งใต้ เพียงแต่ว่าประวัติศาสตร์ที่นางมาเยือนนี้ไม่มีรัชสมัยนี้ปรากฏอยู่ จึงยากจะกล่าวได้ว่าปืนไฟนี้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อใด
ข้อดีของปืนไฟคือพลังสังหารสูง ข้อเสียคือยิงไม่แม่น ระยะยิงที่ยาวที่สุดของมันยาวกว่าธนู แต่พลธนูเก่งๆ สามารถยิงได้ในระยะร้อยก้าว เกินห้าสิบก้าวไปปืนไฟก็ไม่อาจยิงได้แล้ว
ด้วยเหตุนี้ประสิทธิภาพในระยะยิงของมันจึงมีจำกัดมาก
เมื่อครู่นักกระบี่พุ่งเข้ามาหาใกล้มาก ชนปากกระบอกปืนโดยตรง จึงไม่ต้องเล็ง
นักกระบี่ร่วงจมกองโลหิต สถานการณ์ย่ำแย่ขึ้นมาแล้ว
บุรุษพาดปืนไฟไว้บนบ่าตัวเอง เดินไปหาอย่างอันธพาล ใช้เท้าข้างหนึ่งเตะพลิกนักกระบี่ที่ลมหายใจรวยริน แววตาเดียดฉันท์ยิ่ง
“สวรรค์ดีๆ เจ้าไม่เดิน นรกไร้ประตูแต่เจ้ากลับถลำเข้ามา ก็บอกว่าเป็นภูเขาผี ยังไม่เชื่อสถานที่ชั่วร้ายมุดเข้ามาอีก เจ้าไม่ตายผู้ใดจะตาย”
เขาพินิจมองนักกระบี่ตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่แยแส “จิ๊ ไม่รอดแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะสอบสวนด้วย รอสิ้นใจตายเสียเถิด! อย่าคิดหวังว่าข้าจะปลิดชีพให้เจ้าไปสบาย!”
มือกระบี่ไม่ได้มาเพียงคนเดียว
อีกคนอาศัยจังหวะที่ทั้งสองฝ่ายประมือกัน พาหมิ่นหงอีที่ได้รับบาดเจ็บหนีไปแล้ว
กู้เจียวทอดมองเงาร่างสองร่างที่ค่อยๆ หายลับไปในราตรีสีมืด จู่ๆ ก็ง้างทวนยาวขึ้นสนิมเขรอะในมือขึ้นมา ขว้างไปเบื้องหน้าอย่างแรง!
ทวนยาวทะยานผ่านรัตติกาลแหวกอากาศพังพินาศย่อยยับ ปักเข้าแผ่นหลังหมิ่นหงอีอย่างจัง ทวนทะลุหัวใจของหมิ่นหงอี!
“อ้ากกก”
เสียงร้องโหยหวนนี้เป็นเสียงสุดท้ายในโลกที่หมิ่นหงอีทิ้งไว้
ข้าบอกแล้วว่าชีวิตเจ้า ต้องทิ้งไว้ที่นี่
ทหารจิ้นทั้งหมดถูกทำลายล้าง ที่ฆ่าได้ก็ฆ่าแล้ว ที่จับได้ก็จับแล้ว เหล่าทหารผี ณ ที่นั้นเริ่มเก็บกวาดสนามรบ
บุรุษก็กำลังจะกลับไปแล้วเช่นกัน
เขาแบกปืนไฟปรายตามองกู้เจียวอย่างเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ย “ตามหลักการแล้ว ผู้ที่บุกรุกเขาผีต้องตาย เห็นแก่ที่เจ้าช่วยชาวยมโลกไว้ จะปล่อยเจ้าไป เจ้าไปเถิด ต่อไปนี้ก็อย่ามาหุบเขาผีนี้อีก!”
เขาเดินเฉียดไหล่กู้เจียวไป
จู่ๆ กู้เจียวก็เอ่ยเรียกเขาไว้ “ซ่างกวานชิ่ง!”