สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 865 โทสะของเซวียนหยวน! (1)
บทที่ 865 โทสะของเซวียนหยวน! (1)
กู้เจียวสวมชุดเกราะทหารจิ้นอยู่ อีกฝ่ายน่าจะเพียงถามตามปกติ
กู้เจียวตบหลังราชาม้าเฮยเฟิงเบาๆ ราชาม้าเฮยเฟิงเก็บกลิ่นอายแห่งราชาเอาไว้ หูลู่หางตก ท่าทางเหนื่อยล้าไม่เบา
หากว่ากันเรื่องเล่นละครแล้ว ไม่มีผู้ใดไม่น่าดูเท่ากู้เจียวอีกแล้ว
ยกเว้น…เซวียนหยวนฉี
ทหารม้านายหนึ่งเร่งความเร็ววิ่งมาหากู้เจียว ก่อนจะหยุดอยู่ห่างจากกู้เจียวราวๆ หกฉื่อ เขาพินิจมองกู้เจียวตั้งแต่หัวจรดเท้า ถาม “เจ้ามาจากค่ายไหน ใต้บังคับบัญชาผู้ใด”
ในภาษาแคว้นจิ้นที่เพิ่งเรียนไปเมื่อครู่บังเอิญมีอยู่สองสามประโยคพอดี
กู้เจียวตอบคำถามที่สองของเขาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ข้าอยู่ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพหลิว”
ค่ายไหนนางไม่รู้ กลัวที่สุดคือเขาจะถามว่าแม่ทัพหลิวไหน
ทหารม้ามองกู้เจียวอย่างสงสัย “ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพหลิวเวยหรือ ไม่เคยเห็นหน้าเจ้ามาก่อน”
กู้เจียวเอ่ย “ข้าเพิ่งจะย้ายมาจากกองของแม่ทัพหมิ่นหงอี แม่ทัพหมิ่นโดนทำร้าย”
ประโยคหลังคือใจความสำคัญ
เป็นดังที่คาดไว้ อีกฝ่ายได้ยินข่าวนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีทันใด “ว่าอย่างไรนะ แม่ทัพหมิ่นโดนทำร้ายอย่างนั้นรึ”
หมิ่นหงอีโดนทำร้ายเมื่อคืนก่อน ดูท่าข่าวนี้จะยังไม่ลอยไปถึงเมืองซิน
กู้เจียว “ขอรับ”
ทหารม้าถาม “โดนทำร้ายอย่างไร”
กู้เจียวเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าไม่สะดวกมากความ” หลักๆ คือในเวลาปกติไม่ได้เตรียมเนื้อเตรียมตัว พอจวนตัวก็รีบทำอย่างร้อนรน ภาษาแคว้นจิ้นที่เรียนมามีไม่พอ เดี๋ยวจะทำความแตก
นี่เป็นทหารม้าที่มีประสบการณ์ เห็นได้ชัดว่าไม่โดนหลอกง่ายๆ เขาขมวดคิ้วถามกู้เจียวอีกหน “เช่นนั้นเจ้ามาทำอะไรที่นี่ มาจับคนร้ายรึ”
หากข้าบอกว่ามาจับคนร้าย พวกเจ้าหนึ่งหมื่นนายจะไม่ตามมาจับด้วยกันหรือ
กู้เจียวหวงแหนคำพูดดุจทองคำ “คำสั่งลับ ไม่สะดวกแพร่งพราย”
ไม่ว่าเรื่องใดเมื่อเอ่ยว่าเป็นความลับ ก็จะให้ความหมายโดยนัยที่ไม่อาจล่วงเกินได้อย่างศักดิ์สิทธิ์มาก
กอปรกับสีหน้าเปิดเผยของกู้เจียว ไร้ท่าทีกินปูนร้อนท้องแม้แต่น้อย ทหารม้าจึงเชื่อ
เขากำลังจะเอ่ยว่าเช่นนั้นเจ้าไปเถิด ในขณะนั้นเอง ทหารม้าอีกนายก็มา
มองจากทวนพู่แดงบนชุดเกราะแล้วเป็นหัวหน้า
“เกิดอะไรขึ้น” เขาถาม
ทหารม้าประสานมือให้เขาก่อนจะเอ่ย “เรียนท่านรองแม่ทัพจาง เขาเป็นทหารใต้บังคับบัญชาของท่านแม่ทัพหมิ่นขอรับ ท่านแม่ทัพหมิ่นโดนทำร้าย เขาถูกย้ายมาอยู่ใต้บังคับบัญชาท่านแม่ทัพหลิว ยามนี้กำลังออกจากเมืองไปปฏิบัติภารกิจลับ”
รองแม่ทัพจางแววตาเย็นเยียบ “คำสั่งลับล้วนปฏิบัติการกันสองคนเป็นอย่างน้อย!”
มีเช่นนี้ด้วยหรือ
พวกเขาทหารจิ้นทำเสียใหญ่โตเพียงนี้เชียว
บังเอิญว่าเซวียนหยวนฉีกับถังเย่ว์ซานเร่งรุดมาถึงพอดี
มาดของเซวียนหยวนฉีทำให้รู้สึกไม่อยากเข้าใกล้ เขากวาดตามองทหารจิ้นสองนายอย่างเย็นชา ทั้งคู่เหมือนโดนเขาไท่ซานกดทับศีรษะ
“แม่ทัพหลิว!” กู้เจียวประสานมือให้เซวียนหยวนฉี
เซวียนหยวนฉีเอาหน้ากากที่ติดหมวกเหล็กลงอยู่แล้ว ทำให้มองไม่เห็นหน้าตาของเขา แต่จากสถานะของสองคนนี้ ก็ไม่กล้าจ้องหน้าแม่ทัพหลิวตรงๆ อยู่ดี
ทั้งสองก็ประสานมือคำนับให้เช่นกัน
เซวียนหยวนฉีเพียงเอ่ยสั้นๆ มาสองคำ “ไปล่ะ”
กู้เจียวรีบตอบอย่างรู้ใจ “ขอรับ!”
จากนั้นทั้งสามก็ย้อนกลับทางเดิม
ทหารม้าสองนายมึนงงกันหมด แต่ก็ไม่กล้ารั้งพวกเขาอยู่ต่อ
ทั้งคู่ควบม้าย้อนกลับไปรวมตัวกับกองทัพใหญ่ แล้วรายงานสถานการณ์เมื่อสักครู่นี้ให้แม่ทัพตี๋ที่นำทัพครานี้ฟัง
แม่ทัพตี๋จับประเด็นได้สองอย่าง “เกิดเรื่องกับหมิ่นหงอี ลูกน้องเขาโดนแม่ทัพหลิวเวยรับไปแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพตี๋เอ่ย
ทั้งสองพลันชะงัก
แม่ทัพตี๋ขมวดคิ้วเอ่ย “หลิวเวยเป็นคนในค่ายชื่อโหว รับผิดชอบรวบรวมข่าวกรองโดยเฉพาะ เป็นหูเป็นตาของแม่ทัพใหญ่กงซุน เขาจะเอาคนของหมิ่นหงอีไปทำการใด”
ทหารของหมิ่นหงอีมีหน้าที่สู้รบ ไม่ใช่ลาดตระเวนสอดแนมโดยเฉพาะ หลิวเวยเอาไปก็เปล่าประโยชน์
ที่สำคัญก็คือ หลิวเวยไปเมืองฉวี่หยางด้วยตัวเองได้อย่างไร เขากำลังทำภารกิจลับอะไรอยู่
กำลังสวนมาทางนี้แท้ๆ แต่หลังจากเจอทหารม้าของเขา ก็หันหัวย้อนกลับ
รู้สึกว่ามีลับลมคมใน
“พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าคนผู้นั้นคือแม่ทัพหลิวเวย” แม่ทัพตี๋ถาม
“นี่…” ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากัน
รองแม่ทัพจางนึกย้อนดูอย่างละเอียด “เขาสวมหมวกเหล็ก ปล่อยหน้ากากลง พวกเราเห็นลักษณะเขาไม่ชัด แต่ว่า…รูปร่างเขาเหมือนจะกำยำกว่าแม่ทัพหลิวเวยอยู่สักหน่อยจริงๆ ”
ผู้ใต้บัญชาไม่กล้าสงสัยต่อผู้บัญชา แต่แม่ทัพตี๋กับหลิวเวยอยู่ระดับเดียวกัน เขากำลังสงสัย รองแม่ทัพจางจึงได้กล้าเอ่ยเลศนัยเล็กๆ นี้ออกมา
แม่ทัพตี๋เอ่ย “แปลกๆ…จางเหริน เจ้านำทหารม้าไล่ตามไป!”
“ขอรับ!”
รองแม่ทัพจางรีบนำทหารม้าห้าร้อยนายตีขนาบข้างถนนเส้นเล็กจากถนนหลวง
ได้ยินเสียงเกือกม้าลอยมาจากด้านหลัง ทั้งสามพลันรู้ตัวว่าตัวตนของพวกเขาเปิดเผยแล้ว บังเอิญนัก ระยะทางช่วงนี้ไม่มีป่าให้หลบซ่อนได้ มีเพียงหมู่บ้านเล็กๆ หร็อมแหร็มแห่งหนึ่ง
กู้เจียวกุมบังเหียนแน่น “ไปหมู่บ้านไม่ได้”
ทหารจิ้นไม่ใช่ตอซังดี ไม่ว่าเรื่องใดก็ทำได้หมด!
ถังเย่ว์ซานเอ่ย “พวกเราก็ตรงไปข้างหน้าตลอดไม่ได้เหมือนกัน หากตรงไปเรื่อยๆ ได้กลับเมืองผู่แน่! ถึงตอนนั้นได้โดนล้อมทั้งหน้าทั้งหลัง พวกเรายิ่งจบเห่แน่!”
กู้เจียวก็รู้หลักการข้อนี้ดี สถานการณ์ยามนี้ไม่เอื้ออำนวยต่อพวกนางทั้งสามเลย
มีคนเกือบพันชีวิตในอุโมงค์ที่รอกำลังเสริม ทุกวินาทีของความล่าช้าทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นทุกที
พวกเขากว่าจะเร่งรุดมาถึงที่นี่ได้ไม่ใช่ง่ายๆ หรือจะมาโดนทหารจิ้นหมื่นนายบีบให้ย้อนกลับไปอีกครารึ
กู้เจียวกระตุกบังเหียนแน่น “มุ่งหน้าต่อไปไม่ได้แล้ว!”
และหันหลังกลับไม่ได้เช่นกัน
ม้าของพวกนางวิ่งทางไกลกันมาหนึ่งวันเต็มๆ แล้ว เหนื่อยล้าหมดแรงตั้งนานแล้ว ทหารม้าของกองทัพจิ้นรอซ้ำยามเปลี้ยอยู่ ไล่ตามมาทันเป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว
ทั้งสามต่างหยุดม้า
เบื้องหน้าเป็นเสียงเกือกม้าควบวิ่งเร่งร้อนลอยม้า กองทัพจิ้นแบ่งออกเป็นสองทาง ปิดทางไปและกลับของพวกเขาไว้
พวกเขาเหลือตัวเลือกเดียว…
ฝ่าวงล้อมออกไป!
สถานการณ์ในสนามรบไม่แน่นอน ไม่ว่าแผนสมบูรณ์แบบเพียงใดก็ล้วนเจอกับสถานการณ์ที่ไม่ได้คาดคิดไว้ อย่างเช่นยามนี้
กองทัพใหญ่ของราชสำนักเคลื่อนพลกันหมดเกลี้ยง ในเมืองไม่มีกำลังทหารมากพอ พวกนางจำต้องพึ่งตัวเอง!
แต่สามคน…จะสามารถฝ่าวงล้อมกำลังทหารหนึ่งหมื่นนายได้จริงๆ หรือ
ถังเย่ว์ซานเข้าค่ายทหารอายุยี่สิบ ทั้งชีวิตเข้าสู่สนามรบมานับไม่ถ้วน ไม่เคยทำศึกที่ยากลำบากเพียงนี้มาก่อน นี่ไม่ใช่สองพันต่อสองหมื่น แต่เป็นสามคนต่อหนึ่งหมื่น
กู้เจียวกำทวนพู่แดงไว้ “ไม่ต้องทำลายล้างพวกเขาหมด พวกเราฝ่าออกไปได้ก็พอ ขอแค่เข้าเมืองอย่างราบรื่น พวกเขาก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้”
แม้จะเอ่ยเช่นนี้ ทว่า นี่ก็เป็นศึกโหดอยู่ดี!
เสียงเกือกม้าใกล้เข้ามาแล้ว ไอสังหารพวยพุ่งไม่สิ้นสุด ดวงตะวันบนฟากฟ้าเร้นหลบเข้ากลีบเมฆ เหลือเพียงท้องฟ้าสีเทาอมฟ้าสุดลูกหูลูกตา
เซวียนหยวนฉีทอดมองทหารม้าแคว้นจิ้นที่พุ่งเข้ามาและทหารราบแคว้นจิ้นแน่นขนัดด้านหลัง เขาไสม้าเดินสองสามก้าว ขวางอยู่ข้างหน้ากู้เจียว
กู้เจียวชินกับการบุกอยู่หน้าสุดแล้ว จู่ๆ มีคนมาแทนตำแหน่งอันตรายสุดจะเปรียบนี้ให้ นางจึงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย
เซวียนหยวนฉีชักกระบี่ยาวออกจากบั้นเอว กระบี่ชิงเฟิงสามฉื่อสะท้อนประกายเย็นเยียบภายใต้แสงสนธยา ดุจมังกรน้ำออกจากสมุทร อดรนทนไม่ไหวกระหายเลือดอยากกัดแทะศัตรู
“เบื้องหน้าคือผู้ใด รีบลงจากม้า ตามข้า….”
ทหารม้าเพิ่งเอ่ยได้ครึ่งเดียว เซวียนหยวนฉีทะยานร่างสูงฟันกระบี่ตัดหัวเขาทันที!
ภาพนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนทหารม้าที่อยู่ด้านหลังไม่มีเวลาเปลี่ยนเส้นทาง เกือกม้าเหยียบย่ำไปบนศีรษะที่กลิ้งตกลงมา ไขสมองโดนเหยียบกระเซ็นออกมา
เซวียนหยวนฉียกกระบี่ฟันลง แต่ละกระบวนโหดเหี้ยม กู้เจียวไล่สังหารเปิดเป็นทางสายหนึ่งได้แล้วในเวลาอันรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
“นับข้าด้วยคน!” ถังเย่ว์ซานยกมือคว้าธนูใหญ่จากแผ่นหลัง ล้วงลูกธนูจากกระบอก ลูกธนูสามดอกพุ่งพร้อมกัน โดนทุกนัด!
กู้เจียวใช้ประโยชน์จากสถานการณ์มุ่งไปเบื้องหน้าพร้อมกับราชาม้าเฮยเฟิง
ทหารม้าแคว้นจิ้นโดนชนจนโกลาหลวุ่นวาย หากทหารม้าห้าร้อยนายอยู่ที่นี่หมด บางทีพวกเขาอาจจะยังทำสำเร็จไม่ได้ง่ายๆ แต่พวกเขาดันแบ่งกองกำลังครึ่งหนึ่งไปถนนหลวงที่อยู่เยื้องๆ นี้ด้วย
ทั้งสามไม่มัวสู้รบพัวพัน
หลังจากฝ่าวงล้อมของทหารม้าได้ก็ควบม้าฮ่อตะบึงไปทางเมืองฉวี่หยางต่อไม่ลดละ
เมื่อเทียบกับทหารม้าสองร้อยกว่านายแล้ว กำลังทหารเก้าพันกว่านายเบื้องหน้าต่างหากที่เป็นด่านยากที่แท้จริงที่พวกเขาต้องเผชิญ
เซวียนหยวนฉีควบม้านำหน้าเปิดทางให้ ถังเย่ว์ซานกับกู้เจียวต่างกลายเป็นปีกซ้ายและปีกขวา สังหารเข้าไปในกองทัพใหญ่แคว้นจิ้นอันแน่นขนัด
เป็นดั่งที่กู้เจียวว่าไว้ เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่เอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ แต่แค่บุกฝ่าไปได้ก็นับว่าชนะแล้ว