สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 88 แม่ลูก
ณ ห้องหนังสือ
ท่านโกวกู้กำลังลังเลว่าจะเอ่ยปากบอกแม่นางเหยาอย่างไรดี ก็ได้รับรายงานจากบ่าวว่าแม่นางเหยาเป็นลมล้มพับไป
หลายวันผ่านมานี้แม่นางเหยาอยู่ในช่วงพักฟื้น จึงพักอยู่ที่เรือนเล็ก แต่ก็ยังแวะเวียนมาหากู้เหยี่ยนและกู้จิ่นอวี้ทุกวัน
เมื่อท่านโหวกู้มาถึงจวนเล็ก แม่นมฝางและชุ่ยชุ่ยก็พาร่างของแม่นางเหยาบนเตียงแล้ว
หลายวันก่อนแม่นมฝางติดไข้ จึงไม่ได้คอยปรนนิบัติ แม่ฟางจึงเป็นคนจัดการธุระในบ้านแทน และเป็นคนตามหมอหลวงด้วยตัวเอง
ท่านโหวกู้ทอดสายตามองแม่นางเหยาที่นอนหมดสติ ก่อนจะหันไปมองสาวใช้ที่ตัวสั่นงันงงอยู่ในห้อง สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นมาในทันใด “วันนี้ผู้ใดคอยติดตามโหวฮูหยิน”
สาวใช้สองนางทรุดเข่าลงในทันใด
หนึ่งในนั้นเอ่ยเสียงสะอื้น “ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นเจ้าค่ะ… ตอนพวกข้ากลับมาที่จวน… ฮูหยินก็หมดสติอยู่ในห้องแล้วเจ้าค่ะ!”
ท่านโหวกู้ตวาดลั่น “พวกเจ้าดูแลฮูหยินอย่างไรกัน ถึงได้ปล่อยให้ฮูหยินอยู่คนเดียวในจวน”
สาวใช้อีกนางก็ร้องไห้จนพูดไม่เป็นภาษา “ท่านโหวไว้ชีวิตข้าเถิด ปกติแล้วนางไม่ชอบให้คนคอยตามติด… พวกข้าไม่กล้าขัดคำสั่งเจ้าค่ะ…”
“เจ้าพวกสวะ!” ขณะที่ท่านโหวกู้กำลังเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ แม่นมฟางก็พาหมอหลวงเข้ามา
ทั้งสองกำลังจะโค้งคำนับให้ท่านโหวกู้ ท่านโหวกู้ก็ยกมือปรามไว้ “ไม่ต้อง รีบรักษาฮูหยินบัดเดี๋ยวนี้!”
“ขอรับ!” หมอหลวงสะพายกระเป๋ายาเดินเข้าไป ก่อนจะทาบผ้าแถบลบบนข้อมือของแม่นางเหยาแล้วจับชีพจรนาง
พูดตามตรง หมอหลวงไม่ค่อยวางใจกับอาการป่วยของแม่นางเหยานัก
มองผิวเผินอาการป่วยของแม่นางเหยาดูไม่ร้ายแรง แต่ความจริงแล้วร่างทั้งร่างของนางถูกกลืนกินจนกลวงโบ๋ บวกกับนางมีอาการป่วยทางใจเป็นทุนเดิม ไม่อาจแบกรับเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจได้ หากอาการหนักเข้าหน่อยก็อาจเห็นภาพหลอนหรือไม่ก็อาละวาด หรือไม่ก็ทำเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้
ท่านโหวกู้กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นอีกครั้ง ถึงได้ลังเลว่าจะบอกความจริงกับนางดีหรือไม่
ครั้งนี้หมอหลวงจับชีพจรนานยิ่งนัก
“เป็นอย่างไรบ้าง หมอหลวงเฉิน” เขาถามอย่างร้อนใจ
แม่นมฟางเองก็มองเขาอย่างร้อนรนเช่นกัน
หมอหลวงเฉินขมวดครุ่นคิดราวกับอะไรบางอย่าง ก่อนจะจับชีพจรของแม่นางเหยาอีกครั้ง “แปลกนัก แปลกจริงๆ”
ท่านโหวกู้เอ่ยขึ้นในทันใด “แปลกอะไร ฮูหยินอาการหนักมากหรือ”
หมองหลวงเฉินส่ายหนัก “อาการไม่ร้ายแรงขอรับ”
ร่างกายของแม่นางเหยาอ่อนแอมาโดยตลอด ไม่อาจรับเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจได้ หากมีอาการเป็นลมหน้ามืดขึ้นมาล้วนแต่เป็นอันตรายทั้งนั้น ทว่าชีพจรของแม่นางเหยาในยามนี้กลับเสถียรเสียยิ่งกว่าที่คิดไว้”
เพราะอย่างนั้นเขาจึงรู้สึกว่าประหลาดนัก
“ช่วงนี้ฮูหยินกินยาอะไรอยู่หรือขอรับ” หมอหลวงถาม
แม่นางเหยาชะงักไปก่อนจะตอบ “ไม่ใช่ยาพวกนั้นที่ท่านเป็นคนจัดให้หรือ”
หมอหลวงหลีเอ่ย “เอามาให้ข้าดูหน่อย”
“เอ๊ะ” แม่นมฟางเดินมายังหน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วเปิดกล่องยาของแม่นางเหยา ก่อนจะหยิบยาขวดน้อยที่แม่นางเหยากินอยู่ทุกวันและโหลยาออกไปให้หมอหลวง
ภายในขวดใบเล็กมียาเม็ดสีขาว ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น หมอหลวงเฉินไม่เคยเห็นยาเช่นนี้มาก่อน
ส่วนภายในโหลยามียาเม็ดที่อยู่ในขวดเล็กหายใบ หมอหลวงเฉินไม่เคยเห็นยาเช่นนี้เหมือนกัน แต่เขาได้กลิ่นยาสมุนไพรที่คุ้นเคย พอจะเดาออกว่ามีกลิ่นของโสม ซึงจ๋อยิ้ง โปร่งรากสน อบเชย เทียนตง และเส็กตี่อึ๊ เป็นส่วนประกอบ
“สามารถทำยาเช่นนี้ได้ด้วยหรือ” หมอหลวงเฉินพึมพำ
เขาเคยเห็นเพียงยาลูกกลอนที่ปั้นเป็นก้อนกลม ไม่เคยเห็นยาที่อัดเป็นเม็ดแบนหรือเม็ดกลม โดยเฉพาะยาเม็ดแบนสีขาวนั้นที่เขาแทบแยกส่วนประกอบไม่ออก
“ยาพวกนี้มาจากไหนกัน” หมอหลวงเฉินถาม
แม่นมฟางมองหมอหลวงเฉินอย่างงุนงง “มิใช่ท่านเป็นคนจัดให้หรอกหรือ”
หมอหลวงเฉินตอบ “ข้าไม่เคยจัดยาพวกนี้”
สายตาเย็นชาของท่านโหวกู้จับจ้องไปที่แม่นมฟาง “ฮูหยินเริ่มกินยาพวกนี้ตั้งแต่เมื่อใด”
แม่นมฟางอธิบายอย่างร้อนรน “ข้าเอง…ก็จำไม่ได้แน่ชัดนัก มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฮูหยินไม่ยอมกินยา แต่จู่ๆ นางก็เริ่มกินอีกครั้ง ข้าเองคิดว่าในที่สุดฮูหยินก็เชื่อหมอหลวงเฉินเสียทีแล้วเสียอีก”
“ยาพวกนี้ทำให้ฮูหยินเป็นหมดสติไปหรอกหรือ” ท่านโหวกู้ถามหมอหลวงเฉิน
หมอหลวงเฉินนิ่งไปครู่หนึ่ง “นั่นก็ยังไม่แน่ชัด… ยานอนหลับในโหลยา ไม่ได้มีผลร้ายใดต่อร่างกาย แต่ยาอีกขนานหนึ่งข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่กล้าคาดเดา”
ท่านโหวกู้หันไปมองแม่นมฟางด้วยสายตาเยือกเย็น “ใครเป็นคนนำยาพวกนี้มาให้ฮูหยิน”
แม่นมฟางหน้าซีดเผือด “ข้าไม่รู้เจ้าค่ะ แม้ข้าจะคอยติดตามรับใช้ฮูหยิน แต่คนที่คอยปรนนิบัติใกล้ชิดฮูหยินมากที่สุดคือแม่นมฝาง”
แม่นมฝางกำลังพักฟื้น ไม่ได้อยู่ที่จวนบนเขาแห่งนี้!
ท่านโหวกู้กำหมัดแน่น “ส่งคนไปตามแม่นมฝางมาหาข้าเดี๋ยวนี้!”
หมอหลวงเฉินครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย “ท่านโหว ท่านอย่างเพิ่งโมโหไป ชีพจรของฮูหยินดีขึ้นกว่าแต่ก่อนนัก ยาทั้งสองขนานนี้อาจจะไม่ได้มีผลร้ายต่อฮูหยินก็ได้ขอรับ”
ท่านโหวกู้เอ่ยเสียงเย็นชา “แล้วเจ้าอธิบายได้หรือไม่ว่าเหตุใดจู่ๆ ฮูหยินถึงเป็นลมไปเช่นนี้”
“เรื่องนั้น…” หมอหลวงเฉินไม่รู้จะอธิบายอย่างไร “อีกไม่นานฮูหยินก็คงฟื้นแล้ว ประเดี๋ยวถามฮูหยินก็คงได้รู้ความจริง”
แม่นมฟางก้มหน้า ปลายนิ้วกำแน่น
หมอหลวงเฉินเขียนใบสั่งยาให้ แม่นมฟางไปที่ห้องยาของจวนเพื่อหยิบยาตามใบสั่ง
ขณะที่กำลังต้มยาอยู่ในครัวเล็ก ชุ่ยชุ่ยก็เดินเข้าประตูหลังมาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ
“ท่านป้า!”
แม่นมฟางมองไปข้างนอกอย่างระแวดระวัง ก่อนจะปิดประตูบลงแล้วพูดกับนาง “เจ้ามาที่นี่ทำไม”
ชุ่ยชุ่ยเอ่ยเสียงกระซิบ “จู่ๆ หวงจงก็ออกไปตามแม่นมฝาง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
แม่นางฟางหรี่ตาเอ่ย “ยาที่ฮูหยินกินช่วงนี้ ทำให้อาการนางดีขึ้นน่ะสิ!”
ชุ่ยชุ่ยหน้าถอดสี “ว่าอย่างไรนะ ไม่ใช่ว่า… หากมีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจแล้ว… นางก็จะ…”
จิตใจของแม่นางเหยาเคยได้รับการทบทวนมาก่อน ตอนนั้นอาการป่วยของแม่นางเหยายังมิได้รุนแรงนัก แต่ก็เกือบยื้อชีวิตเอาไว้ไม่ได้อยู่เหมือนกัน เดิมทีนึกว่าคราวนี้จะไม่รอดเสียแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่า…
“จดหมายของซูเฟยมาถึงแล้ว บอกให้ท่านโหวกู้หาแม่นางน้อยกลับเมืองหลวงไปเข้าพิธีปักปิ่น อาการป่วยของท่านชายน้อยก็ดีขึ้นแล้ว ท่านโหวคงต้องพาฮูหยินกับท่านชายน้อยกลับไปด้วย…” แม่นมฟางเอ่ย แววตามืดมนจับจ้องไปที่โหลตาควันคลุ้ง
…
หวงจงไปที่เรือนของแม่นมฝาง ก่อนพาตัวแม่นมฝางที่จับไข้มายังจวนบนเขา
ท่านโหวกู้เค้นถามเรื่องราวจากปากนางด้วยตนเองที่ห้องหนังสือ
ภายในห้องนอนมีเพียงสาวใช้สองนางที่เฝ้าเวรยาม
แม่นมฟางยกยาต้มร้อนกรุ่นเข้ามา ก่อนจะเอ่ยกับพวกนางสองคน “เอาล่ะ ข้าเฝ้าเวรต่อเอง พวกเจ้าไปดูในครัวทีว่าข้าวต้มที่เคี่ยวให้ฮูหยินเสร็จหรือยัง แล้วก็ผลไม้ของนายหญิงน้อยด้วย อย่าลืมเอาไปส่งที่หอหลันถิงด้วย”
“เจ้าค่ะ” สองสาวใช้ขานรับก่อนจะออกไป
ภายในห้องไม่มีคนนอกอื่น เงียบสงัดจนน่าสะพรึงกลัว
แม่นมฟางยกถ้วยยาเข้ามา เดินเข้าไปใกล้เตียงทีละก้าวทีละก้าว มองใบหน้าที่หลับใหลอย่างสงบจากมุมบน ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “ฮูหยิน ท่านอย่าได้โทษข้าเลย ต้องโทษคนที่ไม่อยากให้ท่านกลับจวนต่างหาก”
แม่นมฟางบีบคงแม่นางเหยา ก่อนจะกรอกยาใส่ปากแม่นางเหยาทีละช้อนทีละช้อน…
วันนี้เป็นวันที่หุยชุนถังจะมาตรวจอาการใช้กู้เหยี่ยน
เถ้าแก่รองติดธุระมาไม่ได้ คนที่มาเพียงกู้เจียวและหมอชรา
อวี้หย่าเอ๋อร์พาทั้งสองตรงไปยังเรือนของกู้เหยี่ยน
อาการป่วยของกู้เหยี่ยนช่วงนี้ค่อยข้างคงที่ เพียงแค่ต้องกินยาต่อไปเรื่อยๆ คงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้สบายๆ อีกสองสามปี
บาดแผลของเจ้าหมาน้อยก็สมานกันดีแล้ว มันจำหน้ากู้เจียวได้ ขาสั้นป้อมวิ่งโผเข้าหากู้เจียวแต่ไกล แต่สุดท้ายก็สะดุดล้มจนร้องครางหงิง
กู้เจียวพลันนึกถึงเสี่ยวจิ่งคงที่สะดุดล้มหน้าคว่ำอยู่บ่อยๆ
“กรงหมาเมื่อคราวก่อนพังไปแล้ว พวกเรามาสร้างกรงใหม่กันเถอะ!” กู้เหยี่ยนเอ่ยสีหน้าเรียบเฉย
กู้เจียวร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ กรงที่นางสร้างนั้นแข็งแรงจะตายไป เหตุใดถึงพังได้
เหล่าบ่าวไพร่พากันก้มหน้าก้มตา แสร้งทำเป็นไปไม่รู้ว่าท่านชายน้อยออกมารื้อกรงหมากลางดึก
“เช่นนั้นก็ได้” กู้เจียวตอบตกลง
สร้างใหม่อีกครั้งก็ไม่เป็นไร
กู้เจียวอยู่ที่เรือนกู้เหยี่ยนพักใหญ่ สร้างกรงหมาใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้วถึงจึงลุกยืนขึ้นแล้วเอ่ยลา
หลังจากออกจากจวนบนเขา นางก็แวะไปเยี่ยมเหล่าฮูหยินหลีเหมือนเช่นเคย
ยามแวะไปเยี่ยมเหล่าฮูหยินหลี นางเห็นต้นหม่อนต้นนั้นก็อดนึกถึงแม่นางเหยาไม่ได้ จึงตั้งใจว่าจะดูอาการของแม่นางเหยาสักหน่อยว่าดีขึ้นบ้างหรือไม่
ทว่ากู้เจียวเคาะประตูอยู่นานสองนาน กลับไม่มีใครขานตอบ
หรือว่าไม่อยู่บ้านกันนะ
หรือว่ามีธุระอื่นผละตัวมาไม่ได้
กู้เจียวตัดสินใจว่าจะมาใหม่คราวหน้า
เพียงแต่ขณะที่กำลังจะหันหลังกลับนั้น สองหูของนางก็ขยับไหว ได้ยินเสียงร้องโหยหวยอย่างเจ็บปวด
เสียงนั้นทั้งแผ่วเบาและอยู่ไกลออกไป คนทั่วไปไม่สามารถได้ยินแน่นอน แต่การฝึกของกู้เจียวในชาติก่อนมีวิชาวิเคราะห์เสียง ที่นางต้องระบุเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายท่ามกลางเสียงรบกวนนับร้อย
แต่พอมาอยู่ในร่างผอมบางนี้ สมรรถะร่างกายของนางแม้จะไม่ได้แข็งเหมือนในชาติก่อน แต่ก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้ว
นั่นเป็นเสียงของโหวฮูหยิน
กู้เจียวมั่นใจเป็นอย่างมาก
วินาทีนั้นกู้เจียวไม่สนใจว่าประตูจะเปิดหรือปิด นางก้าวถอยหลังก่อนจะปีนกำแพงข้ามรั้วเข้าไป
ยามกู้เจียวมาถึงห้องของแม่นางเหยา ภายในห้องก็เหลือเพียงแม่นางเหยาเพียงคนเดียวแล้ว
กลิ่นยาสมุนไพรลอยคลุ้งอบอวลไปทั่วห้อง ทว่ากลับไม่มีถ้วยยาให้เห็น
แม่นางเหยานอนไร้สติอยู่บนเตียง ใบหน้าเขียวคล้ำ ระหว่างคิ้วกลายเป็นสีดำ ลมหายใจรวยรินอ่อนแรง
กู้เจียวพบหยดยาที่ยังไม่แห้งดีข้างหมอนของแม่นางเหยา นางโน้มตัวลงไปดม
นี่มันดอกโหราเดือยไก่ ดอกอะโคไนต์!
เดิมทีดอกอะโคไนต์เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ใช้เป็นยาแก้ปวด ทว่ามีพิษร้ายแรง อย่าได้เผลอกินเข้าไปเชียว ยิ่งแม่นางเหยาที่ร่างกายอ่อนแอด้วยแล้ว ยิ่งไม่ควรเข้าใกล้ดอกอะโคไนต์เด็ดขาด
กู้เจียวไม่แน่ใจว่าแม่นางเหยาดื่มไปมากเท่าใด แต่ต้องรีบให้นางอาเจียนออกมาให้หมด!
กู้เจียวนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดกล่องยาใบน้อย แล้วหยิบสายยางที่ทำขึ้นมาจากวัสดุชนิดพิเศษออกมา ก่อนจะค่อยๆ สอดเข้าทางรูจมูกลงไปในกระเพาะอาหารของแม่นางเหยา
ท่อชนิดพิเศษนี้หน่วยปฏิบัติการเตรียมไว้ใช้กับพวกคนร้ายที่สมควรตายโดยเฉพาะ มีความแข็งกว่าท่อทั่วไป เดิมทีมีไว้ใช้ฆ่าคน กู้เจียวเองนึกไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะใช้มันเพื่อช่วยชีวิตคน
กู้เจียวต่อถุงน้ำเกลือเข้ากับขั้วหนึ่งของท่อ
นางบีบถุงน้ำเกลือ เร่งให้น้ำเกลือไหลลงไปในกระเพาะของแม่นางเหยาเร็วขึ้น
ถุงแรกใกล้จะหมดแล้ว ขณะที่กู้เจียวกำลังจะเริ่มต่อขวดที่สอง สาวใช้สองคนที่แม่นมฟางไล่ออกไปเมื่อครู่ก็กลับเข้ามา
ทั้งสองคนไม่รู้จักกู้เจียว ภาพเบื้องหน้าพาพวกนางตกตะลึงจนตาพร่าไปหมด
“เจ้าเป็นใคร เจ้าทำอะไรกับฮูหยิน”
ทั้งสองคนได้สติ ก็รีบพุ่งตัวเข้าหากู้เจียว
กู้เจียวไม่อาจยอมให้พวกนางขัดขวางได้ นางใช้ปลายเท้าเกี่ยวขาเก้าอี้ ก่อนจะพลิกเก้าอี้ล้มทับทั้งสองจนล้มลงไปกับพื้น
สาวใช้คนที่หนึ่ง “กรี๊ด…”
สาวใช้คนที่สอง “ใครก็ได้ช่วยที! มีคนลอบทำร้ายฮูหยิน…”
ด้านนอกห้อง แม่นมฟางมือไม้สั่นไปหมด ไม่จริง เหตุใดถึงมีคนมาเจอเร็วขนาดนี้
ท่านโหวกู้ที่กำลังไต่สวนแม่นมฝางอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของสาวใช้ เขารีบถลามายังห้องของแม่นางเหยา ภาพที่เห็นตรงหน้าคือกู้เจียวกำลังใช้ของประหลาดบางอย่างสอดเข้าทางรูจมูกของแม่นางเหยา
ตอนที่เขาปลีกตัวออกมาสีหน้าของแม่นางเหยาก็ดูปกติดี ทว่ายามนี้กลับดูเขียวคล้ำ ราวกับโดนวางยาพิษอย่างไรอย่างนั้น
นางหนูนี่… กำลังจะวางยาพิษแม่ตัวเองอย่างนั้นหรือ!
ท่านโหวกู้เดือดควันออกหู ย่างสามขุมเข้าไปอย่างอาฆาตแค้น “เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”
กู้เจียวไม่สนใจเขา ทั้งยังบีบถุงน้ำเกลือแรงขึ้นกว่าเดิม
ท่านโหวเห็นว่านางไม่ฟังทั้งยังเร่งมืออีกต่างหาก ก็เกรี้ยวโกรธจนคว้าแส้ข้างเอวขึ้นมาก่อนจะฟากเข้าที่แผ่นหลังบอบบางของกู้เจียวอย่างแรง
เมื่อได้ยินเสียงสะบัดแส้ แส้ก็ฟาดลงไปที่แผ่นหลังของกู้เจียวแล้ว
นั่นไม่ใช่แส้ธรรมดา แต่เป็นแส้ทหารที่ใช้เพื่อลงโทษโดยเฉพาะ
ทว่ากู้เจียวกลับยังไม่ผละออกจากแม่นางเหยา
ท่านโหวกู้โมโหกัดฟันกรอด ยื่นมือออกไปกระชากตัวกู้เจียว
กู้เจียวมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “หากไม่อยากให้ตาย ก็ถอยออกไป!”
ท่านโหวกู้ชะงักงันเพราะสายตาอาฆาตของนาง
น้ำเกลือหยอดสุดท้ายถูกกรอกลงไป กู้เจียวถอนสายยางออก พยุงตัวแม่นางเหยาขึ้น ก่อนจะบีบปากแม่นางเหยาให้อ้าออก แล้วใช้นิ้วมือล้วงคอนาง
วินาทีต่อมา ร่างทั้งร่างของแม่นางเหยากระตุกสั่น ก่อนจะสำรอกยาและน้ำเกลือออกมาพร้อมกัน
หลักจากอาเจียนออกมา สีหน้าของแม่นางเหยาก็ไม่ดูหมองคล้ำอีกต่อไป ลมหายใจกลับมามีกำลังอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน หมอหลวงเฉินก็มาถึง
สถานการณ์ภายในห้องชวนให้เขามึนงงไปหมด
เขาเพิ่งออกไปปั้นยาให้โหวฮูหยินเมื่อครู่นี้เอง เหตุใดคลาดสายตาเพียงครู่เดียวโหวฮูหยินก็เหมือนตายแล้วฟื้นมาแล้วหนหนึ่ง
“เอ๊ะ เจ้าคือเด็กหยิบยาของหุยชุนถังใช่หรือไม่” เขาจำกู้เจียวได้
กู้เจียวไม่เอ่ยคำใด ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเก็บกล่องยาใบน้อยของตัวเอง
หมอหลวงเฉินจับชีพจรของแม่นางเหยาเสร็จก็ขมวดคิ้วมุ่น “เหตุใดฮูหยินถึงโดนพิษโหราเดือยไก่ได้”
ท่านโหวกู้ก็ขมวดคิ้วเช่นกัน!
หมอหลวงเฉินมองกู้เจียว ก่อนจะมองยาบนพื้น ก็พอจะเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น “โชคดีที่ท่านโหวให้แม่หนูเด็กหยิบยาคนนี้ช่วยฮูหยินขย่อนยาพิษออกมา ไม่อย่างนั้นฮูหยินคงไม่รอดแน่ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ เด็กหยิบยาตัวจ้อยของหุยชุนถังเก่งกาจกันเช่นนี้กันทุกคนเลยหรือ…”
ท่านโหวกู้ไม่ได้ยินประโยคหลังจากนั้นแล้ว ในหัวของเขามีเพียงภาพที่เขาสะบัดแส้ฟาดนาง
แม้เขาจะไม่ฟาดแส้เต็มแรง แต่ก็หนักมือพอสมควร…
นางหนูนี่ พูดจาดีๆ ไม่เป็นหรืออย่างไร
ต้องให้ลงไม้ลงมือฟาด!
ท่านโหวกู้ไม่ยอมรับผิดว่าตัวเองลงโทษผิดคน เห็นชัดๆ ว่าเป็นเพราะนางไม่ยอมอธิบาย เขาถึงได้เข้าใจผิด!
แต่เพราะเหตุใดในใจถึงได้รู้สึกหน่วงขึ้นมา
ท่านโหวกู้มองไปยังกู้เจียวอย่างรู้สึกผิด จังหวะที่กำลังจะอ้าปากพูด กู้เจียวก็สะพายกระเป๋ายาเดินออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้ว
สายลมยามวสันฤดูนั้นแสนอบอุ่น ทว่าแผ่นหลังของนางนั้นกลับมีเพียงสายลมหนาวเย็น