สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 883 ถอนพิษ
บทที่ 883 ถอนพิษ
……….
กู้เจียวและราชาม้าเฮยเฟิงเดินทางในยามค่ำคืน จนกระทั่งใกล้รุ่งเช้าจึงมาถึงเมืองฉวี่หยาง
เมืองฉวี่หยางกำลังฟื้นฟูจากสงคราม บนถนนเต็มไปด้วยผู้คนที่มาช่วยเหลือ
ทุกคนจดจำผู้บัญชาการหนุ่มในชุดเกราะสีดำและเสื้อคลุมสีแดงได้ดี เมื่อเห็นนางเข้าเมือง พวกเขาก็ต่างโค้งคำนับ
ตอนแรกที่นางมายังเมืองฉวี่หยาง ชาวเมืองมองนางและทัพทหารม้าเฮยเฟิงว่าเป็นกบฏ พวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงนาง แต่ตอนนี้พวกเขาก็เปลี่ยนความคิดไปบ้างแล้ว
กู้เจียวมีธุระเร่งด่วน นางไม่ได้แวะพักนานนัก เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยแล้วก็ขี่ม้าออกเดินทาง
“ท่านผู้บัญชาการเพิ่งกลับมาจากสนามรบอีกแล้วหรือ”
“ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด…ไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม”
“น่าสงสารจัง…”
ชาวบ้านรู้สึกเสียใจมาก
ทหารป้อมปราการคนหนึ่งจำเป็นต้องออกมาปฏิเสธข่าวลือ “ท่านผู้บัญชาการเซียวสบายดี นั่นคือเลือดของศัตรู พวกท่านจงวางใจ ท่านผู้บัญชาการเซียวเก่งกาจมาก แน่นอนว่าท่านจะสามารถต่อสู้จนเสร็จสิ้นทุกศึกได้อย่างปลอดภัย!”
คำเอ่ยนี้ดูเกินจริงไปหน่อย
แต่หลังจากสงครามใหญ่ผ่านพ้นไปแล้ว ทุกอย่างก็พังทลาย จำเป็นต้องมีกำลังใจแบบนี้เพื่อเสริมสร้างตัวตนของพวกเขาจริงๆ
เมื่อได้ยินว่าผู้บัญชาการน้อยสบายดี ชาวบ้านก็วางใจและกลับมาทำงานต่อ ความมุ่งมั่นของพวกเขาก็สูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
เซวียนหยวนฉีถูกนำตัวไปพักรักษาที่ค่ายทหารสำหรับทหารบาดเจ็บของทัพทหารม้าเฮยเฟิง เย่ชิงเฝ้าดูแลเขาอย่างใกล้ชิดโดยไม่คลาดสายตา
กู้เจียวลงจากม้ามาถึงประตูค่ายพอดี เย่ชิงเพิ่งออกมาจากข้างในพร้อมกับผ้าพันแผลเปื้อนเลือดที่ใช้แล้วกองหนึ่ง
ม่านถูกเปิดออก เย่ชิงมองเห็นกู่เจียวเดินเข้ามา
เมื่อดวงดาวและดวงจันทร์จางหายไป ดวงตะวันยังไม่มาทักทาย ท้องฟ้าก็ถูกแต่งแต้มด้วยสีเทาหม่น
นางถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์
เพียงแค่ดูจากใบหน้านี้ ยากมากที่จะเชื่อมโยงนางกับผู้บัญชาการทัพทหารม้าเฮยเฟิงที่ฆ่าฟันศัตรูอย่างไม่เคยปรานี
ไม่ว่าจะฆ่าคนไปมากน้อยเพียงใด หรือรบมาแล้วกี่ศึก ดวงตาของนางก็ยังคงรักษาความใสบริสุทธิ์ไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แน่นอนว่าเย็นชามากเช่นกัน
เย่ชิงได้สติก่อนจะเอ่ยทาย “ท่านกลับมาแล้วหรือ ข้าได้ยินมาว่าพวกท่านไปตีแคว้นจิ้น สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”
กู้เจียวเอ่ย “ตอนเดินทางมากำลังบุกเมืองซีน่ะ”
นางไม่ได้บอกรายละเอียดว่าการต่อสู้เป็นอย่างไร แต่นางสามารถมาที่นี่ได้ แสดงว่าสถานการณ์ที่แนวหน้าคงไม่เลวร้ายนัก
เย่ชิงวางผ้าพันแผลลงในตะกร้าที่เตรียมไว้สำหรับเก็บของใช้แล้ว หันมาถามกู้เจียว “ท่านมาหาท่านแม่ทัพใหญ่หรือ”
กู้เจียวพยักหน้า “เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
เย่ชิงถอนหายใจด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน “ท่านก็รู้ดีว่าคนกินยาพิษจื่อเฉ่าจะต้องตื่นขึ้นมาภายในสิบสองชั่วโมง หากไม่ตื่นก็แปลว่าเสียชีวิตแล้ว เพียงแต่ว่าเนื่องจากพิษจื่อเฉ่านั้นพิเศษ สามารถรักษาสภาพศพไม่เน่าได้นานหลายเดือน ดังนั้น…”
กู้เจียวขมวดคิ้วแน่น “เจ้าหมายความว่าเขาไม่เคยฟื้นขึ้นมาเลยหรือ”
เย่ชิงหันหลังกลับไปอย่างทนไม่ได้ “ท่านเข้าไปดูเองเถิด ข้า…พยายามอย่างเต็มที่แล้ว”
หัวใจของกู้เจียวจมดิ่งลง เปิดม่านขึ้นอย่างรวดเร็ว!
ภาพที่เห็นคือเซวียนหยวนฉีนั่งอยู่บนเตียง แขนข้างหนึ่งถูกคล้องไว้กับคอ อีกข้างหนึ่งยกขึ้นกำลังจับลูกแพร์แช่แข็งลูกใหญ่ยัดเข้าปาก
เขากัดมันอย่างเอร็ดอร่อย
กู้เจียวเข้ามาอย่างกะทันหัน ตกตะลึงกับภาพที่เห็น เขาหยุดชะงัก
เขาก็หยุดนิ่ง
จ้องมองกู้เจียวอยู่อย่างนั้น ขณะที่กู้เจียวกำลังมองเขาด้วยความตกตะลึงสุดขีด ท่วงท่าของเขาก็ช้าลงก่อนจะกัดหนึ่งคำเสร็จสิ้น
กรึบ!
กร๊อบ!
กู้เจียว “…!!”
กู้เจียวสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันหลังกลับออกจากกระโจม
ข้างๆ ราชาม้าเฮยเฟิง เย่ชิงปิดท้องตัวเอง หัวเราะจนค่อมเอวเป็นครั้งแรกในชีวิต
กู้เจียวบิดข้อมืออย่างแรงแล้วเอ่ย “สนุกไหมที่แกล้งข้า”
เย่ชิงไม่ค่อยแกล้งใครแบบนี้ เขาเป็นคนจริงจัง วันนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม อยู่ๆ ก็อยากแกล้งกู้เจียว
กู้เจียวตัดสินใจเอาถุงผ้าคลุมเย่ชิง
แต่ดูเหมือนว่าวันนี้เย่ชิงคงจะดูดวงมาก่อนออกจากบ้าน โชคดีสุดๆ กู้เจียวเพิ่งจะหาถุงผ้าคลุมเจอ เซวียนผิงโหวก็มาถึงแล้ว
เซวียนผิงโหวมาหากู้เจียว
เขาต้องการรู้ว่ากู้เจียวมีวิธีแก้พิษให้ซ่างกวานชิ่งหรือไม่
กู้เจียวจ้องเย่ชิงด้วยความโกรธจัด “รอไว้ก่อน! ครั้งหน้าจะจับเจ้าใส่กระสอบทราย!”
“รอแป๊บนึง ข้าจะเข้าไปดูเซวียนหยวนฉีก่อน” กู้เจียวเอ่ยกับเซวียนผิงโหว ก่อนจะเดินเข้าไปในกระโจมอีกครั้ง
เซวียนหยวนฉีกินลูกแพร์เย็นจนหมดและหลับไปแล้ว นี่คือผลข้างเคียงอย่างหนึ่งของพิษจื่อเฉ่าในระยะแรก คือ ง่วงนอน
กู้เจียวตรวจดูเซวียนหยวนฉีและพบว่าอาการบาดเจ็บภายในของเขานั้นเบาลงมากแล้ว เส้นเอ็นที่ฉีกขาดก็เริ่มประสานกันอีกครั้ง สิ่งนี้บ่งบอกว่าพิษจื่อเฉ่ากำลังฟื้นฟูร่างกายของเขาอยู่ทีละน้อย
นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เจียวได้เห็นพลังอัศจรรย์ของยาพิษจื่อเฉ่าอย่างแท้จริง
กู้ฉังชิงไม่นับ เพราะยาพิษจื่อเฉ่าของเขาหมดอายุแล้ว การที่เขาหายดีนั้นล้วนมาจากพลังจิต เขาเชื่อสนิทใจว่าตัวเองกลายเป็นทหารตายแล้ว
กู้เจียวอุทานด้วยความประหลาดใจ “แผลเก่าแก่หลายปีก็หายด้วย…”
นั่นหมายความว่าเมื่อเซวียนหยวนฉีหายดี เขาก็ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากบาดแผลภายในอีกต่อไป
เขาจะกลายเป็นคนปกติ หรืออาจจะแข็งแกร่งกว่าคนปกติด้วยซ้ำ
เขาได้รับชีวิตใหม่แล้วจริงๆ
กู้เจียวรู้สึกดีใจแทนเซวียนหยวนฉี
ด้วยเหตุผลที่เย่ชิงเป็นผู้ให้ยานี้ กู้เจียวจึงตัดสินใจว่าจะต่อยเขาเบาลงหน่อยตอนที่เขาจะจัดการเขา
ฟ้าเริ่มสาง ที่ปรึกษาหูเห็นใต้เท้ากลับมาถึง รู้สึกตื้นตันจนน้ำตาไหลอาบแก้ม รีบถามไถ่ด้วยความห่วงใยและไปที่ครัวตักข้าวเช้ามาเสิร์ฟ
กู้เจียว เซวียนผิงโหวและเย่ชิง ต่างมุ่งหน้าไปยังค่ายบัญชาการ
กู้เจียวไม่อยู่หลายวัน ที่ปรึกษาหูทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ ห้องจึงสะอาดเอี่ยมอ่อง
ทั้งสามคนล้อมรอบโต๊ะเล็ก เหยียบเสื่อ และนั่งลงบนพื้น
ข้าวเช้าเป็นข้าวต้มกับหมั่นโถว
ทั้งสามคนทานอาหารเสร็จอย่างรวดเร็ว
จากนั้น เซวียนผิงโหวก็เอ่ยถึงอาการป่วยของซ่างกวานชิ่ง “…ได้ยินมาว่า เขาใกล้จะสิ้นลมแล้ว”
เขาเอ่ยจบ มองไปที่เย่ชิงที่อยู่ข้างๆ “คนในตำหนักกั๋วซือเป็นคนบอกมา”
เย่ชิงรู้แล้วว่าซ่างกวานชิ่งมาที่เขากุ่ยซาน และพอจะเดาได้ว่าผู้บัญชาการเซียวซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากองค์หญิงมีความสัมพันธ์อย่างไรกับพระราชนัดดา ไม่ได้เป็นอย่างอื่น แต่เป็นเพราะใบหน้าของเขามีส่วนคล้ายกับพระราชนัดดา
แน่นอน ยังมีสายตาที่องค์หญิงเผลอมองเขา
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถอนหายใจและเอ่ย “ใช่แล้ว ตามที่อาจารย์บอกไว้ พิษของพระนัดดานั้นร้ายแรงมาก การกดขี่ไว้ได้ยี่สิบปีนั้นถือว่าถึงขีดจำกัดแล้ว นานกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว”
ตอนนี้เป็นเดือนสิบแล้ว เหลือเวลาอีกเพียงสองเดือนก่อนครบรอบยี่สิบปี
เซวียนผิงโหวถาม “แม่นยำถึงวันเกิดของเขาเลยหรือไม่”
เย่ชิงส่ายหน้า “ไม่เชิง อาจจะคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง… เพียงแต่อาจเร็วกว่านั้น แต่ไม่มีทางช้าออกไป”
ประโยคสุดท้ายนั้น ทำให้เซวียนผิงโหวรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงหัวใจ
เซวียนผิงโหวเอ่ยขึ้นด้วยความหวังอันริบหรี่ “แต่เขาดูเหมือนคนปกติทั่วไป…” ไม่น่าจะใกล้ตายเพราะพิษได้
เย่ชิงถอนหายใจแล้วเอ่ย “ยาที่อาจารย์ปรุงไว้ช่วยกดการแพร่กระจายของพิษไว้ เขาน่าจะไม่ทรมานมากนักตอนเสียชีวิต”
ครั้งนี้เขาไม่ได้เอ่ยเล่นๆ พิษของพระราชนัดดาไม่มีทางรักษาได้แล้ว
สายตาของเซวียนผิงโหวจับจ้องไปที่กู้เจียว “เจ้ามีวิธีอะไรไหม”
กู้เจียวตอบ “ข้าไม่เก่งด้านการแก้พิษ ข้าเพิ่งส่งนกพิราบสื่อสารกลับไปยังเมืองเซิ่งตู อาจารย์แม่หนานน่าจะตอบกลับมาเร็วๆ นี้”
เอ่ยถึงก็มา
ทหารสอดแนมจากค่ายเฮยเฟิงหยิงจับนกพิราบสื่อสารจากเมืองฉวี่หยางมา “ท่านผู้บัญชาการ มีนกพิราบจากเมืองเซิ่งตูบินกลับมาแล้ว!”
“เอามาสิ” กู้เจียวเอ่ย
ทหารสอดแนมนำนกพิราบมาส่ง กู้เจียวแกะข้อความที่มัดไว้ที่ขาออก และส่งนกพิราบกลับไป
เมื่ออ่านข้อความจบ กู้เจียวก็หลุบตาลง “อาจารย์แม่หนานบอกว่านางถอนพิษนี้ไม่ได้”
เย่ชิงถาม “อาจารย์แม่หนานที่ท่านเอ่ยถึง หมายถึงคนจากสำนักถังใช่ไหรือไม่”
กู้เจียวตอบ “ใช่”
เย่ชิงถอนหายใจ “อย่างนั้นก็คงถอนพิษไม่ได้จริงๆ อาจารย์ของข้าเคยขึ้นไปยังสำนักถังเพื่อขอยา แต่ก็กลับมาโดยไม่ได้อะไรเลย”
พิษที่แม้แต่สำนักถังก็ถอนไม่ได้ คงแทบไม่มีหวังแล้ว
กู้เจียวขมวดคิ้ว “ไม่มี… หนทางอื่นแล้วจริงๆ หรือ”
กู้เจียวมองไปที่ขวดโหลยาระเกะระกะบนโต๊ะ หนึ่งในนั้นเป็นยาแก้ปวดที่เพิ่งหยิบออกมาจากกล่องยาเตรียมไว้ให้เซวียนหยวนฉี
ทันใดนั้น ความคิดก็ผุดขึ้นมาในหัวของนาง “จื่อเฉ่า!”
เย่ชิงตกตะลึง
กู้เจียวครุ่นคิด “พิษจื่อเฉ่าเป็นพิษร้ายแรงที่สุดในโลก หากกินเข้าไปมีโอกาสเสียชีวิตถึงแปดเก้าเท่า แต่ถ้ารอดมาได้ บาดแผลและโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดก็จะหายเป็นปกติโดยไม่ต้องพึ่งยา”
เย่ชิงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แต่…จนถึงตอนนี้…ยังไม่มีใครที่ร่างกายอ่อนแออยู่รอดเลย”
ลองดูหันอู่เย๋เป็นตัวอย่าง เขามีร่างกายที่แข็งแรงอยู่แล้ว เขาเป็นผู้ฝึกฝนวิทยายุทธ์
เซวียนหยวนฉีก็ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง
พระราชนัดดาคงทำไม่ได้
กู้เจียวเอ่ย “ไม่ลองดูจะรู้ได้อย่างไร ถ้าถึงวันที่ยังหาทางรักษาเขาไม่ได้ จื่อเฉ่าก็จะเป็นความหวังเดียว”
“ข้าเห็นด้วย” เซวียนผิงโหวเอ่ย
“พวกท่าน…” เย่ชิงไม่รู้จะเอ่ยอะไรดี จื่อเฉ่ามีพิษร้ายแรง ไม่ใช่อะไรที่ใครก็ทนได้
แต่ว่า…
“พวกเราไม่มีพิษจื่อเฉ่าเหลือแล้ว”
ขวดสุดท้ายของพิษจื่อเฉ่า ถูกเขาเอาไปให้เซวียนหยวนฉีโดยพลการ
กู้เจียวลุกขึ้นยืน “ตระกูลหันมีสวนต้นจื่อเฉ่า! ที่ปรึกษาหู! ส่งคนไปที่คุก นำตัวนายท่านสามแห่งตระกูลหันมาหาข้า!”
ในบรรดาคนตระกูลหัน นายท่านสามของตระกูลเป็นคนเสเพลที่สุด ไร้ซึ่งความกล้าหาญ
คนตระกูลหันถูกกักขังอยู่ในคุกเมืองฉวี่หยาง ที่ปรึกษาหูทำงานรวดเร็ว ไม่นานนักก็ลากตัวนายท่านสามของตระกูลหันมา
นายท่านสามเป็นคนขี้กลัว กู้เจียวยังไม่ทันทำอะไร เขาก็สารภาพทุกอย่างออกมา
“ต้นจื่อเฉ่า…ต้นจื่อเฉ่า…ใช่หรือไม่…มันไม่มีสี ไม่มีกลิ่น…แต่กินแล้วตาย…”
เขาคุกเข่าลงบนพื้น ดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว ร่างกายสั่นระริก เอ่ยจาไม่เป็นภาษามนุษย์
เซวียนผิงโหวจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา กลิ่นอายของความโหดร้ายคละคลุ้งไปทั่ว ร่างของกู้เจียวสั่นจนเอ่ยติดขัด
เย่ชิงหยิบกระดาษและปากกาขึ้นมา วาดรูปต้นจื่อเฉ่าขึ้นมา นายท่านสามทึ่มเสียเหลือเกิน มองดูเพียงโครงร่าง ครุ่นคิดว่ามันคืออะไร
เย่ชิงลงสีเพิ่มเติม นายท่านสามจึงจำได้ว่าเคยเห็นมันมาแล้ว
เขาเอ่ยด้วยร่างกายที่สั่น “ข้า… ข้ากับตระกูลหัน พบต้นดอกจื่อเฉ่าที่อำเภอหนิว พวกเราจึงล้อมอำเภอนั้นไว้และสร้างจวนขึ้นมา… แต่… แต่… แต่จวนนั้น… หายไปแล้ว… ดอกจื่อเฉ่าที่อยู่ข้างใน… อาจจะ… อาจจะไม่มีอยู่แล้ว…”
เย่ชิงเปลี่ยนสีหน้า “เจ้าว่าอะไรนะ”
นายท่านสามสำลักเสียงสะอื้น เอ่ย “จวนถูกเผา…ตอนที่กำลังจะแพ้…พี่ชายข้าบอก…บอกว่า…ไม่อยากให้พวกทัพทหารม้าเฮยเซียวตกไปอยู่ในเงื้อมมือของเจ้า…เลย…เลยส่งคนไปที่จวน เผาสวนจื่อเฉ่าเสีย!”
คำพูดของนายท่านสามนั้นไม่ต่างอะไรกับฟ้าผ่ากลางวันสำหรับทุกคน
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า พวกเขาเพิ่งจะได้รับแสงสว่างแห่งความหวังสุดท้ายในการรักษาซ่างกวานชิ่ง แต่ตระกูลหันกลับทำลายความหวังทั้งหมดของพวกเขาลงด้วยมือของตัวเอง
ใบหน้าของเซวียนผิงโหวเย็นชาจนน่ากลัว
พลังสังหารของเขาแทบจะล้นออกมาจากกระโจมทั้งหลัง
นายท่านสามตกใจจนสลบไปเพราะพลังสังหารที่น่ากลัวนี้
เซวียนผิงโหวไม่ใช่คนที่โกรธง่าย แต่ตอนนี้ เขาบีบแก้วในมือจนแตกละเอียด เศษแก้วบาดเข้าที่ฝ่ามือของเขา
เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามือหรือใจของเขาเจ็บปวดมากกว่ากัน
ลูกชายที่เขาไม่ได้พบเจอมาถึงยี่สิบปี เหลือเวลาอยู่บนโลกเพียงสองเดือน
ฉังจิ่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในกระโจม เขาเพิ่งเดินทางมาจากเมืองผู่
เขาตีจูจางขวงจนร้องไห้ขอชีวิต และสาบานว่าจะไม่เปิดเผยตัวตนของเขา
สาวๆ ในหอหร่วนเซียงบอกว่า ลมปากของบุรุษดุจดั่งภูตผี ไม่มีอยู่จริง
เขาไม่หลงกลง่ายๆ เขาให้ยาพิษแก่จูจางขวง หากจูจางขวงกล้าทรยศเขา เขาจะให้จูจางขวงตายด้วยพิษ
จูจางขวงนั้นศิโรราบแต่โดยดีแล้ว
ตัวตนที่แท้จริงไม่ถูกเปิดโปงอีกต่อไป จากนี้ก็จะไม่ถูกจับตัวกลับไปที่สำนักอั้นเย่แล้ว
ฉังจิ่งมีความสุขมาก!
เมื่อเขาเข้ามา เขาก็พบว่าทุกคนดูอึกครึม
ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นจึงเอ่ยถาม
เขาเอ่ยถาม “พวกเจ้าเป็นอะไรไป”
เซวียนผิงโหวโกรธจนเอ่ยไม่ออก กู้เจียวก็เช่นกัน
เย่ชิง ศิษย์เอกผู้ใจเย็นและอดทนของตำหนักกั๋วซือ ถอนหายใจและอธิบาย “พวกข้ากำลังตามหาสมุนไพรชนิดหนึ่ง แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ”
“สมุนไพรอะไรหรือ” ฉังจิ่งมองไปที่ภาพวาดของเย่ชิง “แบบนี้หรือ สมุนไพรชนิดนี้หาได้ทั่วไปนะ”
เย่ชิงอึกอัก “ทั่วไปหรือ…”
ฉังจิ่งเอ่ย “ที่บ้านข้ามีเยอะแยะ เต็มเขาไปหมดเลย”
ทุกคนหันมามองเขาด้วยความประหลาดใจ!
ฉังจิ่งเพิ่งผ่านวิกฤตตัวตนที่อาจถูกเปิดเผยมาได้แล้วแท้ๆ จู่ๆ ก็รู้สึกถึงลางร้ายบางอย่างในทันที…