สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 899 ปาฏิหาริย์ของเขา (1)
บทที่ 899 ปาฏิหาริย์ของเขา (1)
……….
“เจ้าว่าอย่างไรนะ ใครตายแล้วรึ”
สีหน้าขององค์หญิงนิ่งเรียบ
ครั้นเกาเฉียงจะตอบกลับ จู่ๆ เขาก็สังเกตได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ชอบมาพากล จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาเกาศีรษะ “เอ่อ ข้าน้อย…เผลอพูดอะไรผิดไปหรือไม่นะ”
เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ…เซียวเหิงรู้ดีว่ามารดาของตัวเองฉลาดเพียงใด เรื่องนี้คงปิดบังนางได้ไม่นาน แต่เมื่อเขาชำเลืองมองไปที่ท้องใหญ่กลมโตนั้น ก็เกิดกังวลขึ้นมาทันที
เขาจึงตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้ เดี๋ยวข้าจะจัดการเอง ท่านแม่รีบไปพักผ่อนเถิด แล้วข้าจะเล่าให้ท่านฟังเอง”
ทว่าองค์หญิงยังคงยืนกราน “ไม่ต้อง ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าพูดต่อได้เลย”
“คือว่า…” เกาเฉียงยังคงทำท่าเกาศีรษะ จากนั้นกระเถิบเข้าไปกระซิบถามเซียวเหิง “ข้าน้อยควรพูดออกไปหรือไม่ขอรับ”
เซียวเหิงถอนหายใจลากยาว “เจ้าพูดเถอะ”
ในเมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ปิดบังไปก็ไร้ประโยชน์
พอได้ยินคำตอบจากปากอีกฝ่าย เกาเฉียงก็ร้องอ๋อ ก่อนจะถามอีกครั้ง “ข้าน้อยควรพูดอย่างไรดี”
“ผู้ใดตายแล้ว” องค์หญิงซิ่นหยางถามอีกครั้ง
เกาเฉียงร้องอ๋ออีกครั้ง “เอ่อ คือว่า คนที่ตายแล้ว ก็คือพลทหารเซียวขอรับ!”
“เจ้าไปทราบข่าวมาจากไหน” เซียวเหิงถาม
แม้มูลเดียวที่มีคือภาพวาดของหลงอี แต่เซียวเหิงยังคงมีความหวังลึกๆ ว่าจะต้องมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น หรือไม่ก็เรื่องนี้อาจเป็นการเข้าใจผิด คนในภาพวาดนั้นอาจไม่ใช่บิดาของตัวเองก็เป็นได้
แล้วเกาเฉียงก็ได้เล่าที่มาที่ไปของเหตุการณ์ให้พวกเขาได้ฟัง
ในตอนแรก เซวียนผิงโหวแอบลักลอบเดินทางเข้ามาในแคว้นเยี่ยน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาทและปัญหาหยุมหยิมต่างๆ ก็เลยใช้วิธีแอบอ้างว่าเป็นที่ปรึกษาของไท่หนี่ว์
โดยซ่างกวานเยี่ยนได้มอบหมายหน้าที่พลทหารให้กับเซวียนผิงโหวอีกด้วย
แต่จู่ๆ เขาก็เกิดหายตัวไป แน่นอนว่าจะต้องมีคนสงสัยว่าเขาหายไปไหน
ซ่างกวานเยี่ยนจึงประกาศกับทุกคนไปว่าที่เซวียนผิงโหวหายตัวไปเพราะต้องออกไปตามหายาสมุนไพรให้ราชาผี
ทหารผีเป็นกองทหารที่ชาวบ้านก่อตั้งขึ้นกันเอง พวกเขาช่วยกันปกป้องชาวบ้านให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกแคว้นจิ้น ชาวบ้านถึงได้เอ็นดูราชาผีคนนั้นเป็นอย่างมาก
เมื่อทุกคนได้ยินข่าวว่าเขากำลังออกไปตามหายาเพื่อรักษาราชาผี ก็พากันตั้งหน้าตั้งตารออย่างมีความหวัง และหวังว่าเขาจะกลับมาในเร็ววัน
ทว่าหนึ่งเดือนผ่านไป ก็ไม่ได้ข่าวของพลทหารเซียวเสียที แม่ทัพน้อยจึงสั่งให้ทหารเดินทางไปยังทุ่งน้ำแข็งเพื่อตามหาร่างของเขา
ได้ยินมาว่าพลทหารเซียวตามหายานั้นได้และมอบหมายให้สหายของเขานำกลับมาได้สำเร็จ ทว่าพลทหารเซียวไม่อาจรอดชีวิตออกมาจากทุ่งน้ำแข็งนั้นได้
พอสองแม่ลูกฟังจนมาถึงตรงนี้ ก็ทำหน้าหดหู่พร้อมกันในทันใด
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น จู่ๆ คนทั้งเป็นจากไปอย่างกะทันหัน พวกเขาแทบไม่อยากเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง
เกาเฉียงถามพวกเขา “บุรุษคนนั้น…ก็คือราชาผีใช่หรือไม่” เอ่ยจบก็หันไปมองหน้าสองแม่ลูก “เอ่อ คิดเสียว่าข้าน้อยไม่เคยถามคำถามนั้นนะขอรับ!”
เซียวเหิงรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจราวกับถูกฝ่ามือใหญ่บีบมันไว้แน่น เขาต้องการให้ซ่างกวานชิ่งมีชีวิตอยู่ก็จริง แต่ก็ไม่อยากให้ท่านพ่อต้องมาสละชีวิตตัวเองแบบนี้
เมื่อก่อน พวกเขาต่างคนต่างไม่เข้าใจกันและกัน เมื่อเวลาผ่านไป จนตอนนี้พวกเขาเริ่มเข้าใจกันมากขึ้นแล้ว แต่กลับสายเกินไป
เขากำหมัดแน่น ดวงตาของเขาแดงขึ้นทีละน้อย “เหตุใด… ถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น…”
เกาเฉียงตื่นตระหนก “ข้าน้อย…ข้าน้อยไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น…ถ้าข้าน้อยรู้เร็วกว่านี้…ข้าน้อยจะไม่พูดอะไรเลย…”
เสียใจทีหลังตอนนี้ยังทันไหม
ไยเขาถึงรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำพลาดครั้งใหญ่
ถ้าเจ้านายรู้เรื่องนี้เข้า เขาจะถูกทำโทษหรือไม่
เขาจะถูกหักเงินเดือนหรือไม่!
“เช่นนั้น…เอ่อ…ข้าน้อย…” เกาเฉียงรู้สึกว่าเขาต้องหายตัวไปทันที ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะไม่สามารถมีชีวิตรอดได้
ทันใดนั้น ช่างซ่อมประตูก็เข้ามาพอดี
ดวงตาของเขาเป็นประกายทันที “ข้าน้อยขอตัวไปซ่อมประตู! ข้าน้อยทำประตูพัง! ข้าน้อยจะซ่อมเอง!”
หลังจากวิ่งไปได้สองก้าว เขาก็หันกลับมาพูดด้วยหน้าเศร้า “เอ่อ ท่าน…ขอแสดงความเสียใจด้วย!”
ความรู้สึกของการสูญเสียพ่อนั้นเลวร้ายพอๆ กับการสูญเสียพี่ชาย เซียวเหิงพยายามข่มน้ำตาของตัวเองไม่ให้ไหลออกมา
เขาไม่มีพ่อแล้ว
เขาไม่ได้เอ่ยเพราะอารมณ์โกรธเหมือนครั้งก่อน เพราะคราวนี้ เขาสูญเสียพ่อของเขาไปแล้วจริงๆ
…
ขณะที่อวี้จิ่นเชิญหมอหลวงเข้ามา ก็เห็นเกาเฉียงกำลังช่วยช่างซ่อมประตูบ้านที่เขาเตะมันจนพังลงมา และเห็นว่าเซียวเหิงไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว
อวี้จิ่นสัมผัสได้ในทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ ครั้นจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่บ่าวทุกคนกลับเบือนหน้าหนีนาง
พอหันไปถามเกาเฉียงผู้ซึ่งไม่กล้าเอ่ยอะไรออกไปมั่วซั่วอีก เขาพยายามหลบสายตาและโบกมือ “อย่าถามข้า ข้าไม่รู้! ข้าไม่รู้อะไรเลย!”
“เกิดอะไรขึ้นกับท่านชายรึ” อวี้จิ่นสงสัยว่าเป็นเรื่องนี้
ความคิดที่เข้ามาในหัวอวี้จิ่นแวบแรกคือเรื่องอาการของท่านชาย เพราะนอกจากเรื่องนี้แล้ว อวี้จิ่นไม่อาจนึกถึงสิ่งอื่นใดที่จะทำให้ทุกคนตื่นตระหนกเช่นนี้
นางจึงรีบพาหมอหลวงไปที่ห้องนอนของซ่างกวานชิ่ง
แม้ข้าวของทุกอย่างในห้องไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรือถูกเคลื่อนย้ายเลยแม้แต่นิด ทว่าแต่ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปข้างใน บรรยากาศภายในกลับให้ความรู้สึกที่หนักหน่วงจนหายใจไม่ออก
อวี้จิ่นขมวดคิ้วและบีบผ้าเช็ดหน้าแน่นโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นข้ามธรณีประตูและเดินไปที่เตียงของซ่างกวานชิ่ง “องค์หญิงเพคะ!”
องค์หญิงซิ่นหยางนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้ที่อยู่ด้านหน้าเตียงตามเคยโดยนั่งหันหลังให้กับประตู
ทว่าไม่รู้เพราะอะไร องค์หญิงถึงได้ดูเศร้าเหลือเกิน
อย่าบอกนะว่า เกิดเรื่องกับท่านชายแล้วจริงๆ
“หมอหลวง!” อวี้จิ่นรบเร้าหมอหลวง
หมอหลวงจึงรีบก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเข้าไปในห้องพร้อมกับกล่องยา
“กระหม่อม ถวายบังคมองค์หญิงขอรับ”
“ตรวจชีพจรชิ่งเอ๋อร์ที” องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยเบาๆ
อวิ้จิ่นมององค์หญิงด้วยความกังวล จากนั้นหลีกไปด้านข้างเพื่อให้หมอหลวงวัดชีพจรท่านชาย
หมอหลวงตรวจร่างกายของช่างกวานชิ่งอย่างระมัดระวัง ก่อนจะโค้งคำนับให้องค์หญิง แล้วรายงานว่า “ทูลองค์หญิง ดูเหมือนท่านชายจะถูกวางยาพิษ แต่เมื่อพิจารณาจากชีพจรแล้ว ยังไม่มีอะไรน่ากังวลขอรับ”
นั่นหมายความว่ายาถอนพิษได้ผล
แต่ว่า ไยองค์หญิงถึงยังดูเศร้าหมองอยู่ล่ะ
หมอหลวงไม่กล้าถามว่าชายหนุ่มผู้นี้คือใคร เขาแค่รู้สึกว่ารูปร่างหน้าตาของเขาดูคุ้นเคยยิ่งนัก
จากนั้นหมอหลวงก็อธิบายต่อ “ให้ท่านชายรับประทานยาถอนพิษต่อไปได้ขอรับ กระหม่อมจะจ่ายตำรับยาสำหรับฟื้นฟูร่างกายให้ขอรับ”
“ลำบากท่านเลย” องค์หญิงเอ่ยกับเขา
จากนั้นหมอหลวงก็เก็บกล่องยาแล้วเดินออกไป
อวี้จิ่นเดินไปปิดประตูห้อง ก่อนจะเข้ามาอยู่ข้างๆ องค์หญิง พร้อมกับถามด้วยความสงสัย “องค์หญิง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเพคะ ไยพระองค์ถึงได้ดูแปลกไป”
“เซียวจี่ตายแล้ว” องค์หญิงซิ่นหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย ราวกับว่าไม่ใช่ธุระของนาง
แต่ไม่ว่านางจะแสดงออกอย่างไร มีเพียงนางผู้เดียวเท่านั้นทีรู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร
อวี้จิ่นสะดุ้งทันทีที่ได้ยิน “องค์หญิง ท่านฟังใครมา ต้องมีอะไรเข้าใจผิดแน่ๆ ท่านโหวออกเดินทางไปหายาให้ท่านชายมิใช่หรือ แล้วยาทั้งหมด เราก็ได้มันมาแล้ว…”
“เขาจะไม่กลับมาอีกแล้ว” องค์หญิงยังคงยืนยันในสิ่งที่เอ่ยเมื่อครู่
นางได้เห็นภาพวาดของหลงอีแล้ว นางคุ้นเคยกับบันทึกทางภูมิศาสตร์ของประเทศต่างๆ และแน่นอนว่านางเข้าใจดีว่าทุ่งน้ำแข็งเป็นสถานที่ประเภทใดในฤดูหนาว ไม่ต่างอะไรกันกับนรก
นางจินตนาการไม่ออกเลยว่าเขาต้องมีจิตที่แข็งแกร่งขนาดไหน ถึงได้ฝ่าพายุหิมะเพื่อนำยามาส่ง
อวี้จิ่นคุกเข่าลง จับมือขององค์หญิงซิ่นหยาง แล้วเงยหน้าขึ้น “องค์หญิง…”
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยเบาๆ “ข้าเคยคิดมานานแล้วว่าจะกำจัดผู้ชายคนนี้ออกไปจากชีวิตอย่างไรดี แต่ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเป็นแบบนี้”
“องค์หญิง…” อวี้จิ่นเริ่มแสบจมูก
องค์หญิงยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง “คนเราเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา น่าเสียดายที่เขาด่วนจากไปแบบนี้”
อวี้จิ่นบีบมือของนายตัวเองจนแน่น “องค์หญิง หากเศร้าก็ร่ำไห้เถิด แล้วพระองค์จะรู้สึกดีขึ้น”
องค์หญิงซิ่นหยางตรัส “ข้าไม่ได้เศร้าโศกเพราะตัวข้าเอง แต่ข้ารู้สึกเศร้าแทนลูกทั้งสามคนของข้า ตอนที่ข้าเลี้ยงดูอาเหิง มักข้าจะรู้สึกเสมอว่าการที่อาเหิงมีพ่อหรือไม่มีนั้นก็ไม่ต่างกัน เพราะไม่ว่าอย่างไร เขาก็อาศัยอยู่ในค่ายทหารตลอดทั้งปีอยู่แล้ว”
“นั่นไม่ใช่เพราะว่าพระองค์ไม่ยอมให้ท่านโหวเข้ามาในจวนองค์หญิงมิใช่หรือเพคะ” อวี้จิ่นสะอื้นเอ่ยต่อ “ข้าเห็นท่านโหวขี่ม้าของเขาและเดินผ่านจวนตั้งหลายครั้ง…”
องค์หญิงซิ่นหยางไม่ปฏิเสธว่าตัวเองไม่ต้องการเห็นหน้าเซวียนผิงโหว แต่นางก็มีเหตุผลของนางเหมือนกัน “เขามักจะทำให้อาเหิงร้องไห้…ทุกเดือน อาเหิงได้เจอหน้าเขาแทบจะนับครั้งได้ ข้ามักจะรู้สึกเสมอว่าคนๆ นี้จะอยู่หรือจะไปก็คงไม่มีอะไรต่าง แต่พอมาเจอกับตัวแบบนี้ ข้าถึงเข้าใจว่า…มันต่างมากจริงๆ ”
……….