สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 899-2 ปาฏิหาริย์ของเขา (2)
บทที่ 899 ปาฏิหาริย์ของเขา (2)
……….
“ที่ผ่านมาท่านโหวแทบไม่โผล่หน้ามาให้ท่านเห็นเลยก็จริง แต่ท่านโหวก็ไม่ได้ไปไหนไกล ยังคอยปกป้องพระองค์และท่านโหวน้อยอย่างลับๆ ขอเพียงแค่องค์หญิงและท่านโหวน้อยสังเกตดีๆ ก็จะรู้ว่า…ท่านโหวรอคอยพวกท่านมาตลอด…” อวี้จิ่นเล่าไปก็สะอื้นไป
“ทว่าครั้งนี้ เขาไม่อยู่แล้วจริงๆ ”
ไม่ว่านางจะมองหาเขาอีกกี่ครั้ง ทว่าเขาไม่อยู่ตรงนั้นอีกต่อไปแล้ว
“ตอนที่ฝ่าบาทตรัสว่าข้าจะได้อภิเษกกับเขา ข้าคิดเพียงอย่างเดียวเลยว่ามันคือฝันร้าย เพราะชื่อเสียงของเขาแย่มาก ทั้งอารมณ์รุนแรง ทั้งชอบใช้กำลัง ที่จริงข้าไม่สนใจชื่อเสียงของเขาเลยด้วยซ้ำ ข้ารู้ดีว่า…ตัวข้านั้นก็เป็นได้แค่หมากตัวหนึ่ง ข้าจะแต่งงานกับใครก็ได้ แต่ข้าไม่สามารถเข้าใกล้ผู้ชายได้ ถ้าเป็นคนอื่น ทุกอย่างคงจะง่ายดายกว่านี้”
ทว่าเซวียนผิงโหว ชายหนุ่มรูปงามที่แต่งตัวสีสันสดใสพร้อมกับขี่ม้าพยศ ก็เริ่มแสวงหาประโยชน์ทางทหารอย่างยิ่งใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อย และทรงอำนาจมากจนราชวงศ์ทั้งหมดต่างก็เกรงกลัวเขา
“แม้ว่าข้าจะเป็นองค์หญิง แต่จะให้สามีภรรยาไม่แตะต้องตัวกันเลยในคืนวันวิวาห์ได้อย่างไร ข้าน่ะทำใจมาก่อนแล้ว… ตอนนั้นข้ายังเด็ก อารมณ์ของข้าไม่นิ่งเหมือนตอนปัจจุบัน จิตใจของข้าในตอนนั้นไม่ต่างอะไรกับสตรีในวัยสะพรั่ง ข้ามีความคิดที่รุนแรงมาก ตอนนั้นข้าก็คิดว่า หากทนไม่ไหวจริงๆ แค่ฆ่าตัวตายไปเสียก็คงหมดปัญหา”
กริชที่นางเตรียมไว้ตอนนั้น นางเตรียมไว้ให้ตัวเองด้วยซ้ำ
ไม่คาดคิดว่าคนอย่างเขาจะประนีประนอมได้
วันนั้น เขาเข้ามาในห้องหอพร้อมกลิ่นเหล้าที่คละคลุ้ง เดินโซเซไปรอบๆ แต่ทันทีที่ประตูปิดลง เขาก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนทันที
“ข้าไม่ได้เมา เจ้าไม่ต้องกลัว” เซวียนผิงโหวกล่าว
องค์หญิงกำด้ามกริชที่ซ่อนไว้จนแน่น
เขาหยิบคทาหยกหรูอี้ขึ้นมา จากนั้นก็ถอดเครื่องหัวออกให้นาง
ดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธ์และเปี่ยมไปด้วยพลังของเขาคู่นั้น นางยังจำมันได้อย่างชัดเจน ต่างกับข่าวลือที่เคยได้ยินอย่างสิ้นเชิง
เขาสวมชุดพิธีสีแดงสด ใบหน้าของเขางดงามดุจหยก ประดับความเขินอายแกมยินดีอยู่บนใบหน้า โน้มตัวมองนางด้วยรอยยิ้ม
ทว่า สิ่งที่ทักทายเขากลับเป็นกริชคมอันเย็นเฉียบที่กำลังจ่อเข้ามาตรงหน้าอกของเขา
“อย่าแตะต้องข้าเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นข้าจะเฉือนไอ้นั่นเจ้าทิ้งซะ!”
“ข้าไม่เคยคิดอยากแต่งงานกับท่าน เพียงแต่ข้าขัดคำสั่งพระองค์มิได้”
“พวกเราครองคู่กันแค่ในนามก็พอ ไม่ต้องเป็นสามีภรรยากันจริงๆ หรอก เจ้าจะมีอนุกี่คนก็ได้ ข้าจะไม่ยุ่ง”
“แต่เจ้าก็ห้ามยุ่งกับข้าเช่นกัน”
“อย่าคิดแม้แต่จะย่างเท้าเข้ามาในจวนองค์หญิงแม้แต่ครึ่งก้าว หากข้าไม่อนุญาต!”
รอยยิ้มอันใสซื่อและงดงามของเขาเริ่มแข็งทื่อ ราวกับร่างหยกที่ถูกนางทุบจนแตกกระจาย
นางสัมผัสได้ถึงความเย็นชาของเขา
แวบแรกนางคิดว่าเขาคงจะแย่งกริชไปจากมือ และมุ่งหมายกระทำล่วงเกินกับนางแน่ๆ
แต่เขาไม่ทำเช่นนั้น
เขาเพียงถามนางแค่ประโยคเดียว “ฉินเฟิงหว่าน นี่เจ้าเอาจริงใช่ไหม”
หลังจากได้รับคำยืนยัน เขาแสยะยิ้มหนึ่งที ก่อนจะลุกขึ้นยืน โยนคทาหรูอี้ในมือของเขาออกไป ฉีกด้ายแดงและดอกไม้สีแดงบนตัวของเขาออก เดินออกจากห้องหอโดยไม่หันกลับมามองอีก
และแล้วความสัมพันธ์ของพวกเขาก็จบลงเพียงเท่านี้
นางคิดในใจ เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
คืนหนึ่งในวันฝนตก รถม้าของนางเกิดเสียระหว่างทาง เนื้อตัวและอาภรณ์ของนางเปียกชุ่ม
บังเอิญที่ขบวนทหารของเขาผ่านมาแถวนั้นพอดี
นางพยายามหลบหน้าเขา ไม่อยากให้เขาเห็นสภาพสะบักสะบอมนี้
แต่สุดท้ายเขาก็เห็นอยู่ดี
นางคิดว่าเขาคงจะเยาะเย้ยนางที่ทำลายค่ำคืนแต่งงานของพวกเขาจนพัง
แต่เขากลับไม่ทำเช่นนั้น
นายพลหนุ่มลงจากหลังม้า ถอดเสื้อคลุม แล้วยื่นให้นาง
นางไม่อยากแตะต้องข้าวของเครื่องใช้ของชายใด
ชายหนุ่มเอียงศีรษะ ย่นคิ้ว แล้วมองไปที่นาง จากนั้นก็คลุมเสื้อให้นาง
ตั้งแต่เกิดมา นางไม่เคยเข้าใกล้ชายใดมาก่อน ใบหน้าของนางซีดไปครู่หนึ่ง และเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง
“ออกไปนะ! อย่ามาแตะต้องข้า!” องค์หญิงเบือนหน้าหนี เอ่ยอย่างเย็นชาแล้วโยนเสื้อของเขาทิ้ง
เขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ในไม่ช้า เขาก็ก้มลงหยิบเสื้อที่เปื้อนโคลนขึ้นมา ขึ้นหลังม้าแล้วจากไปโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ
ฝนยังคงโปรยฉ่ำ หลงอีและคนอื่นๆ ไม่ได้อยู่ที่นั่น การซ่อมรถม้ายืดเยื้อกว่าที่คิดไว้ นางได้แต่ยืนตากฝนจนหนาวสะท้านไปทั้งกาย
ทว่าเวลาผ่านไปไม่นาน ก็มีรถม้าคันใหม่โอ่อ่าเข้ามาจอดเทียบตรงหน้า
สารถีลงรถพร้อมกับร่ม “แม่นาง มีท่านชายท่านหนึ่งบอกให้ข้ามารับท่านขอรับ”
นางพยายามหลีกเลี่ยงชายคนนี้มาตลอด แต่สุดท้ายก็มักจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในช่วงที่นางอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนที่เซียวเหิงอายุสี่ขวบ นางพาเซียวเหิงไปซื้อขนม สักพักเซียวเหิงก็ชวนหลงอีหายตัวไปไหนก็ไม่รู้
นางและอวี้จิ่นจึงออกตามหาเขาบนถนนที่เต็มไปด้วยผู้คน
ประจวบกันวันนั้นที่ถนนมีงานเทศกาลโคมที่จัดทุกสามปี คงไม่ต้องบอกว่าจำนวนคนนั้นมหาศาลแค่ไหน
ขณะที่นางกำลังจะพลัดหลงกับอวี้จิ่น ร่างของนางถูกเบียดไปริมถนนจนชนเข้ากับแผงขายของของหญิงชราผู้หนึ่ง หญิงชราร่ำไห้ขอให้นางชดใช้ค่าเสียหาย ทว่าเงินทั้งหมดของนางอยู่กับอวี้จิ่น
หญิงชราร้องไห้กอดเข่านางจนเรียกความสนใจจากผู้คนได้ไม่น้อย
นางได้แต่ยืนทำตัวไม่ถูก อีกทั้งยังไม่รู้ตัวว่าผมเผ้าและเสื้อผ้าของนางเริ่มหลุดรุ่ยไม่เป็นทรงแล้ว
“ใครหรือเจ้าคะท่านชายเซียว”
ณ หอหร่วนเซียง นางโลมคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นขณะที่กำลังโอบกอดเขา พร้อมกับหัวเราะอย่างเพลิดเพลิน
“ภรรยาข้าเอง” เขาตอบ
นางโลมออกอาการตกใจ จากนั้นหยิบพัดขึ้นมาบดบังใบหน้าที่กำลังขบขัน “องค์หญิงคนที่ท่านทิ้งให้นางอยู่คนเดียวในเรือนหอหรือเจ้าคะ ดูๆ แล้วก็ไม่เท่าไหร่นี่นา”
องค์หญิงก้มหน้าสำรวจตัวเอง ถึงได้เห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองหลุดรุ่ยแล้ว
จากนั้นเงยมองดูพวกผู้ชายที่เดินผ่านแล้วมองด้วยที่มุ่งร้าย นางรู้สึกอึดอัดเหลือเกิน
ทันใดนั้น มีเสื้อคลุมปริศนาห่อหุ้มร่างของนาง จากนั้นมือของใครบางคนก็เข้ามาคว้าแล้วพานางออกจากฝูงชนที่พลุกพล่าน
…
เรื่องบางอย่าง หากไม่ได้มีเวลามานั่งทบทวนดีๆ ก็อาจได้มุมมองที่ต่างออกไป ความสัมพันธ์ของพวกเขาอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คนนอกเห็น
นางเคยเห็นเขาฝึกดาบ เห็นรูปลักษณ์ที่กล้าหาญของเขาบนหลังม้า และเขายังเคยเห็นนางตอนอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด
แม้พวกเขาจะเจอหน้ากันในจวน เจอกันบนถนน และพบกันในวัง แต่พวกเขาล้วนเป็นคนแปลกหน้าและเมินเฉยต่อกัน
องค์หญิงซินหยางเอ่ยอย่างใจเย็น “อาการป่วยของข้าเหมือนจะดีขึ้นหลังจากที่เหลียงอ๋องจากไป”
อวี้จิ่นสะอื้น “องค์หญิง…”
นางเอามือกุมท้องแล้วยืนขึ้น “อาเหิงจะไปเตรียมงานศพ เจ้าก็ด้วยนะ”
“เพคะ” อวี้จิ่นปาดน้ำตา ก่อนจะเดินออกไปด้วยความเศร้าโศก พลางคิดในใจ
องค์หญิงของนางช่างน่าสงสารเหลือเกิน อายุยังน้อยนัก ต้องมาเป็นแม่หม้ายเสียแล้ว
แล้วท่านโหวน้อยล่ะ ไหนจะท่านชายอีก
ไหนจะลูกในท้องที่รอวันลืมตาดูโลกอีกล่ะ
อวี้จิ่นเตรียมเดินทางไปที่จวนโหวเพื่อให้พวกเขาเตรียมเรื่องงานศพ
หลังจากซ่อมประตูจนเสร็จ เกาเฉียงก็ขอตัวลา
องค์หญิงพยักหน้าพร้อมกับขอบคุณเขา และขอให้เขาเดินทางปลอดภัย
ในเวลาพลบค่ำ หิมะสะเก็ดขนาดใหญ่ตกลงมาจากท้องฟ้าอย่างเงียบๆ
ในโลกนี้แม้ความโศกเศร้าก็เงียบสงบ
ทั้งจวนเต็มไปด้วยความเงียบ
เสียงแผ่นรองเท้าที่ย่ำลงบนหิมะดังขึ้น
ปัง!
มีอะไรบางอย่างกระแทกเข้าที่ประตู
องค์หญิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พวกบ่าวต่างยุ่งอยู่ที่สวน และไม่มีใครมาเปิดประตู
นางมองไปที่ประตู ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจเดินไปเปิดประตูออก
ขณะที่เปิดประตูบานใหญ่สีชาดออก ทันใดนั้นก็มีลมและหิมะพัดปะทะเข้าที่ใบหน้าของนางจนต้องยกมือขึ้นบังโดยไม่รู้ตัว
เมื่อมองไปทางประตูอีกครั้ง ก็ไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้น
แต่พอตัดสินใจจะปิดประตู จู่ๆ ก็เกิดเปลี่ยนใจ
องค์หญิงเดินข้ามธรณีประตู หันไปทางถนนทิศตะวันตก
ไม่เห็นจะมีคนเลย
และในตอนนั้นเองที่จู่ๆ นางได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังมาจากด้านหลัง
นางหันกลับมาทางต้นเสียงด้วยสีหน้าตะลึง
ชายร่างสูงรูปร่างผอมบางยืนพิงกำแพงเย็นๆ พร้อมกับกอดอกท่ามกลางสายลมและหิมะ
ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยคราบเลือดแห้ง ใบหน้าของเขาซีดผาด ลมหายใจอ่อนแรง
เขาหันมามองนางด้วยใบหน้าที่ซีดเซียวแต่ยังคงแฝงไปด้วยความคมคายพร้อมด้วยรอยยิ้มมุมปาก “ฉินเฟิงหว่าน ยังร้องไห้ได้น่าเกลียดเหมือนเดิมเลยนะ”
……….