สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 901 ชีวิตตัวน้อยที่เกิดใหม่
บทที่ 901 ชีวิตตัวน้อยที่เกิดใหม่
……….
เวลาอื่นมีตั้งเยอะแยะ เหตุใดต้องตอนนี้ด้วย…
องค์หญิงบ่นในใจ เจ้าเด็กคนนี้…รู้เวลาดีจริงๆ …
ความเจ็บปวดเข้าครอบงำมากเสียจนนางแทบจะลืมอาการป่วยของตัวเอง
เซวียนผิงโหวมองดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของนาง เขาพยายามบังคับให้ตัวเองมีแรงฮึดและสติเข้าไว้ ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ เขาล้มไม่ได้เป็นอันขาด
ที่ผ่านมาเวลานางคลอดลูก เขามักจะประจำอยู่ที่ค่ายทหาร กว่าจะทราบข่าวก็วันถัดมา
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้อยู่ในช่วงเวลาที่นางคลอดลูกแบบจริงจัง
จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่เขากลับมา ก็เจอเรื่องให้ประหลาดใจตลอด ทั้งงานศพตัวเอง ทั้งซิ่นหยางที่กำลังท้องและกำลังจะคลอดในเร็วๆ นี้แล้ว
“ที่ทุ่งน้ำแข็งยังไม่ตื่นเต้นเท่านี้เลย…” เขาพึมพำ
“เจ้าว่าอะไรนะ” องค์หญิงซิ่นหยางเจ็บมากจนสติกระเจิง และฟังไม่รู้เรื่องว่าเขากำลังพูดอะไร
“เอ่อ ไม่มีอะไร” เขาตอบ
ปกติแล้วต้องทำคลอดยังไงล่ะเนี่ย
“อวี้จิ่นไปไหน” เขาถาม
“ไม่อยู่…”
นางไปจัดการเรื่องงานศพของเจ้าไง
“อาเหิงล่ะ”
“ก็ไม่อยู่เช่นกัน…”
เขาก็ไปจัดการเรื่องงานศพของเจ้าเหมือนกัน
ส่วนแม่นมและบ่าวคนอื่นๆ ที่มีประสบการณ์ก็ดันไม่อยู่ที่นี่เช่นกัน ต่างก็ออกไปช่วยกันเตรียมข้าวของสำหรับงานศพของเขา ตอนนี้จะเหลือก็แค่บ่าวที่เข้ามาใหม่ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงจะไม่ตกใจและหนีไปเมื่อเห็น ‘ผีเซวียนผิงโหว’
“ข้าไม่เป็นไรน่า” องค์หญิงเอ่ยพร้อมกับเป่าปาก
“หืม ไม่คลอดละรึ” เซวียนผิงโหวถาม
นางถลึงตาใส่เขาทันที
หมายความว่าไง
แค่ตอนนี้มดลูกไม่หดตัวแล้วก็เท่านั้นเอง
อาการเช่นนี้มักมาเป็นระยะ ไม่ได้ปวดตลอด
“ข้าขอตัวกลับห้องก่อน” องค์หญิงตรัสไปพลางปล่อยแขนเขาลง “ข้าเดินเองได้ เจ้าไม่ต้องช่วยข้าหรอก”
“อ้อ” แล้วเขาก็เก็บมือลง
“เจ้าดูผิดหวังมากเลยนะ” องค์หญิงเอ่ยขณะหันมามองหน้าเขา
เซวียนผิงโหว ปกติคนท้องบ้านอื่นเขาต้องให้คนมาช่วยหามหรือไม่ก็ช่วยพยุงเข้าห้อง ส่วนภรรยาข้าไม่เหมือนใคร เดินเองได้สบายๆ
องค์หญิงซิ่นหยางสูดปาก จากนั้นเดินมุ่งหน้าไปยังห้องทิศเหนือที่เตรียมไว้เป็นห้องทำคลอด
ทว่าตอนที่ก้าวบันไดขั้นแรก นางก็ชะงักทันที
เซวียนผิงโหวหันมามอง
องค์หญิงซิ่นหยางกำหมัดจนแน่น พร้อมกับสั่งเขา “…มานี่เร็ว!”
“เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ” เซวียนผิงโหวถาม
ไหนว่าจะเดินเองไม่ใช่รึ ไม่อยากให้ข้าพยุงไม่ใช่รึ
ต่อให้ใช้นิ้วหัวแม่เท้าคิดนางก็เดาออกว่าเขาต้องการจะพูดอะไร ขืนพูดออกมาคำเดียวละก็เจอดีแน่!
แต่ตอนนี้ ไม่มีใครสามารถช่วยนางได้ องค์หญิงยืนตัวแข็งทื่อบนบันไดไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าหรือถอยได้
“น้ำคร่ำแตกแล้ว…” นางเอ่ย
หมอตำแยเคยเตือนไว้ว่าห้ามขยับตัวหลังจากที่น้ำคร่ำแตก นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวเป็นเจ้าหญิง หมอตำแยจึงระมัดระวังเป็นพิเศษ หรือว่าคนท้องทุกคนต้องปฏิบัติตามนี้
“ข้า ขยับ ตัว ไม่ได้ เจ้า ไป ตามคนมา…”
องค์หญิงยังไม่ทันได้ตรัสจบ แขนที่แข็งแรงคู่หนึ่งเข้ามาโอบรอบหลังและใต้หัวเข่าของนางทันที
องค์หญิงตั้งรับไม่ทัน ทำให้ศีรษะเกิดกระแทกเข้ากับแผ่นอกอันแข็งแกร่งของเขา
นางตกใจเล็กน้อย
ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหิมะและค่ำคืนอันยาวนาน ความรู้สึกที่ได้รับการปกป้องเป็นเช่นนี้เองหรือ
“ฉินเฟิงหว่าน”
“เจ้าอ้วนขึ้นนะ”
องค์หญิงหน้าบูดทันที
…จบกัน ตอนนี้รู้สึกอยากฆ่าเขาใจจะขาดแล้วสิ!
มดลูกเริ่มหดตัวอีกครั้ง แต่คราวนี้อาการรุนแรงกว่ารอบแรก นางเจ็บเสียจนต้องกำคอเสื้อของเขาจนยับยู่ยี่
เซวียนผิงโหวสูดปาก
คราวนี้เกิดอยากแตะตัวเขาแล้วสินะ
แต่ว่า ฉินเฟิงหว่าน ช่วยเบามือหน่อยได้ไหม!
แม้ว่าข้าไม่ต้องให้นมลูก แต่เจ้าจะบีบตรงนี้ไม่ได้นะ
“ซื้ด…”
แล้วนางก็ทำมันอีกครั้ง เขาเจ็บจนแทบอยากทรุดลงไปที่พื้นแล้ว!
องค์หญิงซินหยางไม่รู้ว่าตัวกำลังคว้าผิดที่ นางทั้งเจ็บท้อง หลัง กระดูกสันหลัง รวมถึงเอว
นางไม่เด็กแล้วสินะ ถึงได้รู้สึกทรมานกว่าเมื่อก่อน
เซวียนผิงโหวไม่รู้ว่ามีห้องสำหรับทำคลอดด้วย ก็เลยพานางกลับไปที่ห้องของนาง องค์หญิงรีบแย้งทันที “…ไม่ใช่ห้องนี้ ไปห้องที่อยู่ปีกเหนือ!”
เซวียนผิงโฆวหัวเราะเจื่อน “แล้วก็ไม่รีบบอกแต่แรก ข้าก็นึกว่าเจ้าจะ…”
องค์หญิงตะคอกอย่างดุเดือดทันที “หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้!”
เซวียนผิงโหวมองหน้าท้องของนาง แล้วยอมเงียบปากแต่โดยดี
พอเข้ามาในห้อง เซวียนผิงโหวก็วางร่างของนางไว้บนเตียง “ข้าจะไปตามหมอตำแยกับหมอหลวงมานะ”
มือขององค์หญิงกำผ้าปูที่นอนไว้แน่น แล้วเอ่ยกับเขา “บ้านของหมอตำแยกับแม่นมอยู่บนถนนเส้นนี้…ออกไปแล้วเดินไปทางทิศตะวันออก บ้านหลังที่ข้างหน้าปลูกต้นแปะก๊วยไว้ หลังนั้นแหละ”
ตอนที่นางท้องได้แปดเดือน อวี้จิ่นก็นัดหมอตำแยกับแม่นมไว้ล่วงหน้าแล้ว และเป็นคนที่อยู่ในละแวกเดียวกัน
“เข้าใจแล้ว!” เซวียนผิงโหวตอบ
“เจ้า…” เมื่อเห็นสภาพที่เปรอะเลือดของเขา องค์หญิงซิ่นหยางก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นอยากเรียกคนอื่นมาช่วย แต่นางดันสั่งให้บ่าวที่มีความสามารถทั้งหมดไปจัดการเตรียมงานศพของเขาแล้ว นางกลัวว่าบ่าวคนอื่นจะกลัวและวิ่งหนีไปอีกเหมือนกับคนก่อนหน้า
เขาจ้องใบหน้าของนางนิ่งๆ
“อย่าอู้จนเสียงานล่ะ” องค์หญิงเอ่ยพร้อมกับรีบเบือนหน้าหนี
“ข้าไม่ได้เป็นพ่อครั้งแรกซักหน่อย! คิดว่าข้าจะลุกลี้ลุกลนรึ แถมมากล่าวหาว่ากลัวข้าอู้อีก เฮอะ!”
หลังจากที่เขาเอ่ยจบ ก็แสยะยิ้มหนึ่งทีก่อนเดินออกไป ขณะที่กำลังข้ามธรณีประตู เขาก็สะดุดล้มลงทันที!
องค์หญิง “…”
แต่ท้ายที่สุด เขาก็ไปตามหมอตำแยกับแม่นมมาได้สำเร็จ
ส่วนแม่นมจางและชุ่ยเอ๋อร์ก็รีบตามเข้ามาทีหลังหลังจากที่ได้สติ
พวกเขาเริ่มแบ่งหน้าที่กัน ทั้งต้มน้ำ ต้มยา และทำคลอด
แรงของเซวียนผิงโหวหมดไปตั้งแต่ตอนที่แกล้งทำเป็นยืนเท่รอเจอฉินเฟิงหวั่นท่ามกลางหิมะอันหนาวเหน็บ
ตอนที่องค์หญิงได้ยินเสียงดังที่ประตูครั้งแรก มันคือเสียงตอนที่เขาพิงร่างของตัวเองเข้ากับประตู
แต่แล้วเขาก็บังคับตัวเองลุกขึ้นยืนพิงกำแพงราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตอนแรกเขาคิดแค่ว่า ขอให้ได้เจอหน้านางกับลูกชายก่อนค่อยทิ้งตัวลงนอน
แต่ในเวลานี้ ในนาทีนี้ สมาชิกคนใหม่กำลังมา
เขายืนอยู่บนหิมะที่หนาวเย็น และหิมะที่เหมือนขนห่านก็ตกลงมาบนไหล่ของเขาอย่างไร้สุ้มเสียง
เขาได้ยินเสียงร้องโหยหวนของนางมาจากห้องคลอด
นางเป็นสตรีที่เข้มแข็งและอดทนต่อความเจ็บปวดได้เก่งมาก คิดดูว่านางต้องเจ็บปวดแค่ไหนถึงได้ร้องเช่นนี้
องค์หญิงอยู่ในห้องคลอดทั้งคืน
ส่วนเขา ก็เฝ้านางทั้งคืนเช่นกัน
ราวตีสาม เสียงร้องของเด็กทารกดังมาจากห้องคลอดท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงบและมีหิมะโปรย
เซวียนผิงโหวที่ตากหิมะทั้งคืนจนแข็งทื่อก็ค่อยๆ ก้าวเท้าขึ้นบันได
เมื่อทารกออกมาจากท้องแม้ จะต้องทำการตัดสายสะดือ ชั่งน้ำหนัก ห่อด้วยผ้า จึงจะอุ้มออกมาได้
เซวียนผิงโหวผู้ใจร้อนจึงพรวดพราดเข้าไปและทำเอาหมอตำแยที่กำลังชั่งน้ำหนักให้ทารกอยู่ใจวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม!
“ไอ้หยา! ท่านโหวข้ามาได้อย่างไร!”
ห้องคลอดถือว่าเป็นห้องที่มีพลังงานรุนแรง ไม่ใช่ที่ที่เพศชายจะบุกเข้ามาได้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า!
โชคดีที่หมอตำแยเป็นคนว่องไว หลังจากชั่งน้ำหนักเสร็จ ก็รีบใช้ผ้าห่อเด็กแล้วเดินออกมาจากฉากกั้น
แม้หมอตำแยจะยังไม่ได้ยินข่าวปลอมการตายของเขา แต่ก็รู้สึกได้ว่าสภาพของเซวียนผิงโหวในตอนนี้น่าขนหัวลุกใช่ย่อย แต่หลังจากที่นึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นนายทหารที่ชำนาญในการทำศึก ก็ไม่ติดใจอะไรอีก
“องค์หญิงปลอดภัยหรือไม่” เซวียนผิงโหวถาม
หมอตำแยตะลึงเล็กน้อยที่เขาให้ความสำคัญกับแม่เด็กก่อน และตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “โปรดท่านโหววางใจได้เลย การคลอดเป็นไปด้วยดี องค์หญิงปลอดภัยดี เพียงแต่พระองค์มีอาการเหนื่อยล้าจากการคลอดเท่านั้น”
เอ่ยจบ หมอตำแยก็ยื่นเด็กน้อยในห่อผ้าให้เขาดู “ยินดีด้วยเจ้าค่ะท่านโหว ท่านได้ลูกสาว”
ละ ลูก ลูกสาวรึ
เซวียนผิงโหวทำหน้าเหวอทันที!
ที่ผ่านมาเขามีแต่ลูกชาย จึงคิดว่าคนนี้ก็น่าจะเป็นลูกชายเหมือนกัน
จู่ๆ มือไม้ของเขาก็อ่อนยวบทันที เขารู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนที่ได้เจอซ่างกวานชิ่งครั้งแรกอีก “ร้อง ร้องดังขนาดนี้เชียว”
หมอตำแยยิ้มอย่างปีติ
ใช่แล้ว นางร้องดังมาก
เป็นหมอตำแยมาหลายปี ไม่เคยเจอทารกคนไหนร้องได้ดังกังวาลเท่านี้เลย
เซวียนผิงโหวอุ้มทารกน้อยอย่างเบามือและระมัดระวัง
เจ้าตัวเล็กหยุดร้องไห้ทันทีที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา เบิกตากว้างและจ้องเขานิ่งๆ
เด็กแรกเกิดไม่ค่อยรู้เรื่องการมองเห็นมากนัก แต่หมอตำแยรู้สึกว่าเด็กคนนี้กำลังมองพ่อของตัวเองอย่างจริงจัง
เด็กคนนี้มีรูปร่างหน้าตาที่งดงามที่สุดตั้งแต่ที่นางเคยทำคลอดมา
เขามองร่างเล็กในอ้อมแขนของเขา ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจเขามันช่างล้นเอ่อและยากจะอธิบาย
หลังจากต่อสู้ในสนามรบมานานหลายปี หรือแม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้ออกรบแล้ว แต่เขาก็มักจะมีรังสีอำมหิตโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว
เขายื่นนิ้วไปแตะทีอุ้งมือของทารกน้อย และทารกน้อยก็บีบนิ้วของเขา
มันเป็นความอ่อนโยนเดียวที่เขาสัมผัสได้ ทั้งที่เขาอยู่ในสภาพสะบักสะบอมขนาดนี้
ช่างเป็นความรู้สึกที่ต่างกับตอนที่กอดลูกชายโดยสิ้นเชิง…
จากนั้นเขาก็อุ้มทารกน้อยไปที่เตียง มองดูร่างที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อขององค์หญิงซิ่นหยาง
นางเองก็กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน
ไม่รู้เป็นเพราะเหนื่อยเกินหรือไม่ จู่ๆ นางก็รู้สึกเหมือนกับเห็นภาพลวงตา เพราะบุรุษที่อยู่ตรงหน้านี้ หาใช่เซวียนผิงโหวผู้เกเรโผงผางและเลือดเย็นไม่ แต่เป็นหนุ่มน้อยเซียวจี่ผู้อ่อนโยนและใสซื่อคนนั้นที่นางเห็นในวันที่เข้าห้องหอ
เขาอุ้มทารกน้อยไว้ในอ้อมอก โน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหูนาง “เหนื่อยแย่เลยนะ ฉินเฟิงหว่าน”
……….