สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 902 ชัยชนะ
บทที่ 902 ชัยชนะ
……….
เช้ามืดก่อนตะวันจะฉาย
เมืองหลวงแคว้นเจาถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ
เซียวเหิงใช้เวลาทั้งคืนเพื่อนำข่าวไปบอกทุกคน อันดับแรกเขาเข้าวังเพื่อไปหาจวงไทเฮา ท่านลุงและท่านอาของเขา ท่านอาถึงกับกอดคอเขาและร้องไห้ฟูมฟายอยู่เป็นเวลานาน เสร็จก็เดินทางไปที่ตรอกปี้สุ่ยเพื่อแจ้งข่าวให้ลุงเขยและแม่นางเหยา
แล้วก็ไปจัดการเรื่องสถานที่ไว้ทุกข์
แม้ว่าจะยังหาศพไม่พบ แต่ก็ต้องเตรียมโลงไว้อยู่ดี รวมถึงศาลาไว้ทุกข์ และข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับพิธีต่างๆ
เขาจึงไปที่ร้านโลงศพและเลือกซื้อโลงที่มีคุณภาพสูง
ความเศร้าโศกอันใหญ่หลวงไหลผ่านเขา ทำให้เขาเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ
ดูเหมือนว่าท่านน้าอวี้จิ่นเองก็กำลังยุ่งอยู่เช่นกัน
ตัดภาพมาที่ท่านโหวแคว้นเจาผู้หนึ่งกำลังอุ้มทารกน้อยด้วยความปลื้มปีติ แล้วรอจนกระทั่งองค์หญิงซิ่นหยางกับลูกน้อยกลับไปพักผ่อนที่ห้องแล้วค่อยออกมา
เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกแล้ว
ไม่เหลือแม้แต่จะก้าวเดินแม้เพียงก้าวเดียว
และแล้ว พ่อและลูกชายพบกันโดยไม่คาดคิด คนหนึ่งยืนอยู่บนโถงทางเดิน และอีกคนยืนอยู่ที่ลาน
ด้วยความที่ฟ้ายังมืด อีกทั้งโคมไฟขาวที่โถงทางเดินยังไม่ดับลง
เซวียนผิงโหวยืนใต้โคมไฟในสภาพซีดเซียวและเนื้อตัวที่เปรอะไปด้วยคราบเลือด
เซียวเหิงสะดุ้งจนเอ่ยขึ้น “…ยังไม่ครบเจ็ดวันเลย ตามมาหลอนกันแล้วรึ”
เซวียนผิงโหว “…!”
ข้ายังไม่ตายโว้ย!
จากนั้นเขาสลบลงไปบนกองหิมะทันที
ในที่สุด เขาก็ได้พักเสียที ไม่รู้ว่าเขาสลบไปเพราะเหนื่อยเกิน หรือเป็นเพราะถูกลูกชายทำให้โมโหจนเป็นลม
…
ภายหลังเซียวเหิงถึงได้รู้ว่าที่เขาเจอเมื่อครู่นี้หาใช่วิญญาณ แต่เป็นพ่อของเขาจริงๆ เพราะเขาคิดว่า หนึ่ง ผีไม่น่าจะดูอิดโรยขนาดนี้ และสอง ถ้าเป็นผีเซวียนผิงโหวจริงเขาจะต้องมาด้วยความหล่อคมคายให้สมฐานะคนรูปงามมากกว่านี้
ไม่โผล่มาในสภาพสยองแบบนี้หรอก
เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการปรากฏตัวอันแสนกะทันหันของเซวียนผิงโหว
ด้วยความที่แม่ของเขาหลับอยู่ ส่วนพี่ชายของเขายังคงสลบอยู่ คงไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน ครั้งจะถามแม่นมจางและคนอื่นๆ ก็พบว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยยิ่งกว่า พวกเขารู้เพียงว่าท่านโหวกลับมาช่วงหัวค่ำของเมื่อคืน
พอกลับมาก็เจอจังหวะที่องค์หญิงคลอดพอดี
แม่นมจางยังเอ่ยเสริม “ที่แท้ คุณหนูน้อยก็รอพ่อของเขานี่เอง ถึงไม่ยอมออกมาซักที”
เซียวเหิง “…”
เซียวเหิงแบกร่างที่สลบไสลของบิดาไปที่ห้อง เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา จากนั้นก็ไปเยี่ยมซ่างกวานชิ่ง องค์หญิงซิ่นหยาง… และน้องสาวคนเล็กของเขา
ทุกอย่างถาโถมเข้ามาหาเขามากมายเหลือเกิน
เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่เขากลับต้องเผชิญหน้ากับปัญหาร้อยแปดพันเก้า รวมถึงความรู้สึกที่ซับซ้อนและยากจะบรรยาย ทั้งความเจ็บปวดจากการสูญเสีย ความปีติของการหวนคืนชีพ อารมณ์ของเขาผันผวนมากเสียจนเกิดความเหนื่อยล้า
และที่สำคัญ มารดาของเขาได้คลอดน้องสาวตัวน้อยออกมาแล้ว
ซึ่งเป็นตอนที่เขากำลังวิ่งวุ่นกับการเตรียมงานศพให้เซวียนผิงโหว
พอเสร็จกลับมา ก็พบว่าพ่อกลับมาแล้ว น้องสาวมาเกิดแล้ว
“มีเรื่องราวเกิดขึ้นตั้งมากมายขนาดนี้เชียวหรือ”
เขามองดูทารกตัวน้อยที่หลับสบายในชุดผ้าห่อตัว พร้อมกับรู้สึกสงสัยถึงการมีอยู่ของชีวิต
…
สถานการณ์การต่อสู้ที่ชายแดนในช่วงเดือนสิบสองเริ่มดุเดือดมากขึ้น…แม้แต่แคว้นเหลียงเองก็ยังถูกบังคับให้เข้าร่วม เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้น แคว้นเหลียงก็จะถูกอีกสี่แคว้นที่เหลือโจมตีเสียเอง
หลังจากที่แคว้นเหลียงสูญเสียหัวไหล่สำคัญอย่างฉู่เฟยเผิงไป จึงต้องยอมร่วมมือกับแคว้นที่เหลือ
แคว้นจิ้นในฐานะเจ้าเหนือหัวแห่งสงคราม มีทั้งอำนาจและความแข็งแกร่งทางการทหาร ไม่แปลกที่จะทำตัวหยิ่งผยอง นอกเหนือจากการชักชวนให้แคว้นเหลียงเป็นสมุนแล้ว ยังสร้างอุปสรรคมากมายเพื่อก่อกวนแคว้นอื่นๆ อีกด้วย
ซ้ำแคว้นจิ้นยังคงไม่ยอมรับชาวเติร์ก และมองว่าเป็นชนกลุ่มน้อยเท่านั้น
แต่อย่างที่ทราบกันดี ชาวเติร์กไม่สนใจสถานะไร้สาระของพวกเขาเลย พวกเขาโจมตีแคว้นจินเพียงเพราะความไม่ชอบล้วนๆ นอกจากนี้ พวกเขาขาดแคลนเสบียงในฤดูหนาว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องคอยแสวงหาผลประโยชน์จากแคว้นจิ้น
แม้จะไม่มีกงซุนอวี๋ ทว่าชาวจิ้นก็สามารถต้านทานสงครามมาได้จนถึงตอนนี้ ต้องยอมรับว่าพวกเขาแข็งแกร่งกันมาก
แต่ถึงอย่างไร ก็ไม่สามารถต้านทานต่อความแข็งแกร่งของทั้งห้าแคว้นรวมกันได้
ที่น่าขันคือ มีกองทัพแคว้นเหลียงเป็นกองกำลังแนวหน้านำบุกพื้นที่ท่าเรือของแคว้นจิ้น
เมื่อเห็นพันธมิตรเก่าเป็นฝ่ายบุกโจมตีเสียเอง ทหารแคว้นจิ้นก็หน้าเสียทันที
ที่ตั้งของทั้งสามแคว้น จิ้น เยี่ยน และเหลียง เป็นรูปสามเหลี่ยม หากแคว้นใดแคว้นหนึ่งเลือกที่จะจับมือกับอีกแคว้น อาจทำให้แคว้นที่เป็นเศษจะได้รับผลกระทบอย่างมาก
ที่แคว้นจิ้นเลือกแคว้นเหลียงเป็นพันธมิตร นั่นก็เพราะแคว้นจิ้นรู้สึกไม่ถูกชะตากับแคว้นเยี่ยนเอามากๆ ส่วนเหตุผลที่ว่านั้น ก็มาจากความหวาดกลัวนั่นเอง
แคว้นจิ้นพยายามอย่างเต็มที่ในการปราบปรามแคว้นเยี่ยน แต่ท้ายที่สุด ฝันร้ายก็ยังคงเกิดขึ้น
จิ้นพยายามโน้มน้าวเหลียงโดยเป่าหูว่าหากพวกเขาร่วมมือกัน กองกำลังทหารของพวกเขาจะแข็งแกร่งที่สุดและไม่มีใครยิ่งใหญ่ไปกว่าพวกเขา
ด้วยความที่แคว้นเหลียงหวาดกลัวทหารม้าเฮยเฟิงมานานแล้ว มีหรือจะกล้าเล่นกลสกปรกลับหลัง
และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ฉลองปีใหม่กันที่ชายแดน
เหล่าทหารช่วยกันล้มหมู ล้มแกะ ปั้นเกี๊ยว ทั้งซ่างกวานเยี่ยน กู้เจียว และทหารคนอื่นๆ ร่วมฉลองวันตรุษจีนไปด้วยกัน
“อีกสามวันต่อจากนี้ พวกเราต้องออกเดินทางกันแล้ว”
ซ่างกวานเยี่ยนกระดกสุราท่ามกลางลมหนาว ยิ่งทำให้เลือดฝาดบนหน้าชัดขึ้น
กระนั้น นางยังคงมีสติ ตอนที่นางเอ่ยประโยคเมื่อครู่ สายตาของนางก็กำลังจ้องมองไปที่เหล่าทหารที่กำลังรื่นเริงกันอยู่ที่รอบกองไฟ
กู้เจียวเดินเข้ามาใกล้นาง แล้วเอ่ย “ท่านอยากไปด้วยตัวเองจริงๆ หรือ”
“ข้าต้องการล้างแค้นให้ตระกูลเซวียนหยวนด้วยมือข้าเอง! ข้าจะบุกเข้าไปในวังแคว้นจิ้น และกระชากฮ่องเต้แคว้นจิ้นลงจากบัลลังก์ให้ได้!” ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยด้วยสายตาที่เย็นชา
กงซุนอวี่เคยสังหารทหารของตระกูลซวนหยวนไปหลายคนเพราะความกระหายสงครามของเขาเอง แต่แรงขับเคลื่อนอีกอย่างก็มาจากความทะเยอทะยานของราชวงศ์จิ้นด้วย
ไม่มีใครเป็นผู้บริสุทธิ์
ต้องกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก ไม่เหลือทิ้งไว้แม้แต่คนเดียว!
สามวันต่อมา ฉางเวยได้รับคำสั่งกลับไปป้องกันเมืองผู่ และกู้เจียวก็ได้แลกเวรกับเขา
จากนั้น กู้เจียวก็นำทหารม้าจำนวนสามหมื่นนายที่ได้รับการพักแรงมาอย่างดีแล้วไปที่แนวหน้าพร้อมกับซ่างกวานเยี่ยนเพื่อบุกแคว้นจิ้น
เป็นที่น่าสังเกตว่าในวันส่งท้ายปีเก่า เกิดการรัฐประหารในพระราชวังขึ้น กองทัพของจักรพรรดิต่อสู้กับกองทัพของเหลียวอ๋อง ซึ่งทำให้สถานการณ์ของราชวงศ์จิ้นแย่ลงอย่างไม่ต้องสงสัย
และเมื่อเหลียวอ๋องได้รับความพ่ายแพ้ เขาได้เปิดด่านทั้งหมดตลอดทางเพื่ออำนวยความสะดวกให้กองทหารจากนานาแคว้นบุกเข้ามา
ช่วงปลายเดือนสอง กองทหารเฮยเฟิงก็ได้บุกโจมตีเมืองซ่างจิง
เจ้าเฮยเฟิงบุกพังประตูวังหลวง ต่อสู้กับทหารของจักรพรรดิจนถนนในวังทั้งสายเต็มไปด้วยรอยเลือด
ซ่างกวานเยี่ยนชักดาบฟันศัตรูอย่างไม่ยั้งมือ
นางฝ่าดงศัตรูมาตลอดทางจนกระทั่งมาถึงที่ท้องพระโรง
พวกเขามาถึงเร็วมาก เร็วขนาดที่ว่าเหล่าขุนนางที่มาประชุมกันตอนเช้ายังไม่แยกย้ายกันไปด้วยซ้ำ
ประตูถูกปิดอย่างแน่นหนา เสียงการต่อสู้ อาวุธ รวมถึงเสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด ซึ่งเสียงร้องโหยหวยส่วนใหญ่เป็นเสียงของทหารแคว้นจิ้น
เหล่าขุนนางเริ่มพาตัวสั่นระริก แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นจิ้นที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรก็เริ่มออกอาการพระพักตร์ถอดสี
สิ้นเสียงดังปัง ประตูท้องพระโรงถูกเปิดออก และกระแทกพื้นอย่างแรง
พวกขุนนางต่างตื่นตระหนก
ซ่างกวานเยี่ยนเดินเข้ามาด้านในพร้อมกับดาบที่เปื้อนโลหิต
ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเย็นชาและความมุ่งมั่นในการแก้แค้น จากนั้นหันไปมองเหล่าขุนนางที่อยู่รอบๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้น “ยอมแพ้เสีย แล้วจะไม่มีใครตาย”
ทันใดนั้น มือสังหารก็ปรากฏออกมาจากด้านหลังฮ่องเต้แคว้นจิ้น เล็งเป้ามาที่ซ่างกวานเยี่ยน!
และในตอนที่เกือบจะสายเกินไป ก็มีเสียงดังฟิ้วมาจากทางด้านหลังซ่างกวานเยี่ยน ทวนพู่แดงที่สะท้อนแสงก็พุ่งตรงเข้าไปที่กลางอกของมือสังหาร จนร่างเขาร่วงลงไปตรงขั้นบันใดที่อยู่ด้านหน้าฮ่องเต้แคว้นจิ้น
กู้เจียวเดินเข้ามาด้านใน ทีละก้าว
สายตาของนางหามีความเย็นชาและรังเกียจไม่ กลับกัน มันดูว่างเปล่ามาก
ราวกับว่าเป็นคนละคนกับคนที่ลงมือเมื่อครู่นี้
คนที่น่ากลัวที่สุดในสงคราม ไม่ใช่คนที่อารมณ์พุ่งพล่าน แต่คนที่สามารถสงบนิ่งได้ต่างหาก
ทันใดนั้นก็มีคนบุกโจมตีซ่างกวานเยี่ยนจากด้านหลัง
กู้เจียวรีบหันหลังกลับแล้วใช้ขาหลังถีบโจมตีกลับอย่างเต็มแรง!
“ใครหน้าไหนบังอาจแตะต้ององค์หญิง ตายสถานเดียว!”
ณ นอกตำหนัก จำนวนมือสังหารเริ่มเพิ่มมากขึ้น แต่ยังไม่ทันใด เงาประหลาดสี่ร่างจากท้องฟ้าก็ลงมาขัดขวางพวกมือสังหารเสียก่อน
ฝั่งซ้ายประกอบไปด้วย กู้ฉังชิง ท่านเหล่าโหว ส่วนฝั่งขวาคือเหลี่ยวเฉินและนักพรตชิงเฟิง
ถังเย่ว์ซานและหวังซวี่ก็มาถึงแล้วเช่นกัน
อีกทั้งพวกเขาได้นำทัพมือธนูร้อยนายมาล้อมรอบตำหนักหลวงอย่างหนาแน่น
…
ปลายเดือนสอง ฮ่องเต้แคว้นจิ้นได้สวรรคต โดยคนที่ขึ้นมาครองราชย์ต่อคือองค์ชายเจ็ด
กษัตริย์องค์ใหม่ได้ยื่นจดหมายยอมจำนนต่อแคว้นเยี่ยน และมอบเครื่องราชบรรณาการ อันได้แก่ แหล่งเหมืองให้สองแห่ง ผืนแผ่นดินและน่านนำห้าแห่ง ทองคำหนึ่งแสนตำลึง และคนงามยี่สิบคนเพื่อแสดงความจริงใจของเขา
คนงามที่ว่าล้วนเป็นบุรุษที่ส่งมาเพื่อเอาใจซ่างกวานเยี่ยน
แคว้นอื่นเองก็หาได้มือเปล่ากลับไป เพียงแต่อาจไม่มากเท่าแคว้นเยี่ยน เพราะฝ่ายที่หนุนกองกำลังทหารมากที่สุดก็คือแคว้นเยี่ยน
แคว้นเจาเองก็ช่วยเสริมไม่น้อยเช่นกัน และได้เครื่องราชบรรณาการไปเช่นกัน
หลังจากสงครามนี้ เรียกได้ว่าแคว้นจิ้นถูกปล้นจนแทบไม่เหลืออะไรไว้เลย และไม่น่าจะฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิมได้ภายในสิบปีนี้
พอถึงช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ เหล่าทหารก็เดินทางกลับพระราชสำนัก
หลังจากชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ระหว่างทางพวกเขาได้รับการต้อนรับอย่างดีจากราษฎร และพร้อมใจกันตะโกนสดุดีองค์หญิง อายุยืนหมื่นปี
“ทหารเฮยเฟิงและกองทัพทหารเซวียนหยวน ตามข้ากลับมาที่เมืองหลวง” ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยขึ้นเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงเขตชายแดนแคว้นเยี่ยน
กองทัพทหารเซวียนหยวนที่หมายถึงก็คือทหารเงามืดของเหลี่ยวเฉิน
แม้หวังซวี่และหวังหม่านจะไม่รู้ว่าเหตุใดองค์หญิงถึงได้มีรับสั่งเช่นนั้น แต่ในเมื่อเป็นบัญชา พวกเขาไม่อาจขัดได้
นอกจากนี้ ทหารส่วนใหญ่เป็นทหารม้า หากจะให้รีบกลับไปรายงานให้ฮ่องเต้ทราบก็ยังพอเข้าใจได้อยู่
ทว่าซ่างกวานเยี่ยนไม่ได้มีจุดประสงค์เช่นนั้น
“ท่านลุง” ซ่างกวานชิ่งมองเซวียนหยวนฉีที่กำลังถือทวน “ข้าพร้อมแล้ว”
เซวียนหยวนฉีมองหลานสาวด้วยสายตาชื่นชม จากนั้นยื่นมือลูบที่หัวของนางในฐานะลุง ก่อนจะเปลี่ยนสถานะตัวเองให้กลายเป็นข้าบริพารด้วยการคุกเข่าแล้วปักทวนลงบนพื้น!
“กระหม่อมจะติดตามองค์หญิงไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ขอรับ!”
…
ณ ต้นไม้ใหญ่หน้าค่ายทหาร เหลี่ยวเฉินกำลังนอนร่ำสุราอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ เขาหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ย “เจ้าไม่ต้องไปหรอก กลับไปเซิ่งตูกับแม่ทัพหวังก็ได้”
“จะทิ้งกันแล้วรึ” นักพรตชิงเฟิงตอบเขาขณะยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
……….