สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 903 อิสตรีผู้กล้าหาญ
บทที่ 903 อิสตรีผู้กล้าหาญ
……….
เหลี่ยวเฉินมองเขาด้วยสายตาหยอกล้อ “เจ้าพูดแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร ในเมื่อข้ากับเจ้าไม่ได้เดินทางสายเดียวกันแต่แรก หรือเป็นเพราะอยู่กับข้านานเกินจนเริ่มมีความรู้สึกต่อข้าแล้ว”
นักพรตชิงเฟิงหรี่ตาทันที “ข้ากลัวว่าเจ้าจะกลัวจนหนีไปต่างหาก เกิดวันไหนอยากกำจัดเจ้าขึ้นมา ข้าไม่รู้จะไปตามหาเจ้าได้ที่ไหนอีกต่างหากล่ะ”
เหลี่ยวเฉินยกยิ้มมุมปากพร้อมกับเหล่มองอีกฝ่าย จากนั้นกระโดดลงมาจากต้นไม้ “ข้าจะรอเจ้าที่เซิ่งตู ข้าสัญญา”
…
เดือนสี่ ทหารอัศวินดำและทหารเงามืดก็เข้าล้อมพระราชวังแคว้นเยี่ยน
ณ ตำหนักฮ่องเต้ คนที่อยู่ในนั้นหาใช่กู้เฉิงเฟิงที่ปลอมตัวเป็นจักรพรรดิไม่ แต่เป็นตัวจริงที่กำลังบรรทมอยู่บนพระแท่นบรรทม
อาการหลอดเลือดสมองของพระองค์ดีขึ้นมาก และเริ่มเดินได้แล้ว
เมื่อเขาได้ข่าวเรื่องที่ไท่หนี่ว์และกองทัพเซวียนหยวนได้รับชัยชนะก็ทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก ซ้ำยังวางแผนจะออกวังไปรับพวกเขาด้วยตัวพระองค์เองอีกด้วย
แต่กลายเป็นว่าพวกเขามาเยี่ยมพระองค์เร็วกว่าที่คิด
แม้ว่ารายงานการต่อสู้จากแนวหน้าได้เอ่ยถึงข่าวที่ว่าเซวียนหยวนฉียังมีชีวิตอยู่ แต่ฮ่องเต้ก็ยังคงไม่อยากจะเชื่อ จนกระทั่งได้เห็นกับตาตัวเอง
เซวียนหยวนฉีไม่ได้ถวายบังคมให้ฮ่องเต้ และไม่ได้ทักทายใดๆ แม้แต่นิด เขาแค่ยืนอยู่ข้างซ่างกวานเยี่ยนด้วยสีหน้าเย็นชา
“จัดการหมดแล้ว”
เซวียนหยวนฉีเอ่ยกับนาง
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วทันที จัดการอะไรกัน อย่าบอกนะว่าจะ…
“ไปตามคนมาเดี๋ยวนี้!”
ฮ่องเต้ตะโกน
แต่ไม่มีมือสังหารคนเข้ามา
ฮ่องเต้ก็เข้าใจในทันทีว่าอีกฝ่ายหมายความอย่างไร
“เจ้าจะทำอะไรกันแน่” เขาหันไปทางซ่างกวานเยี่ยน
ทันทีที่ซ่างกวานเยี่ยนตบมือ ก็ปรากฏขันทีหนุ่มก็เดินเข้ามาข้างหน้าพร้อมกับถาดที่บรรจุแปรง หินหมึก และพระราชโองการที่ว่างเปล่า
ฮ่องเต้เริ่มรู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดี “เจ้าคิดจะยึดบัลลังก์ของข้าเรอะ!”
ตั้งแต่ที่เขาให้นางไปอยู่สุสาน ความรู้สึกฉันท์พ่อลูกก็เป็นอันสิ้นสุดลง เสด็จพ่อคนที่นางเคยชื่นชมในอดีตได้ตายจากไปแล้ว “เสด็จพ่อกล้าตรัสออกมาได้อย่างไร ข้าคือบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของท่าน แล้วข้าจะแย่งชิงบัลลังก์ได้อย่างไรในเมื่อมันต้องเป็นของข้าอยู่ดี นอกจากนี้ เสด็จพ่อมีพระชนมายุมากแล้ว ทั้งยังไม่หายจากโรคหลอดเลือดสมอง เพื่อเห็นแก่ประโยชน์สุขของแคว้น โปรดแต่งตั้งให้ข้าขึ้นเป็นจักรพรรดิ เสด็จพ่อจะได้พักและทำตัวให้ว่าง”
ฮ่องเต้โกรธมากจนตัวสั่นไปทั้งตัว “เจ้ากล้าดียังไง! ข้าเป็นพ่อของเจ้า! เจ้าไม่กลัวถูกสวรรค์ลงโทษหรืออย่างไร!”
ใบหน้าของซ่างกวานเยี่ยนนิ่งลงทันที “ข้าไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เสด็จแม่สิ้นพระชนม์ ตระกูลเซวียนหยวนถูกกวาดล้าง ข้าถูกเฆี่ยนตีต่อหน้าสาธารณชน กลายเป็นคนไร้วรยุทธ์ แม้แต่ลูกชายสองคนของข้าก็เกือบประสบกับความตายหลายครั้ง! ข้าน่ะ ถูกสวรรค์ลงโทษมาพอแล้ว! มีอะไรที่ข้าต้องกลัวอีก!”
นี่เป็นครั้งแรกที่ซ่างกวานเยี่ยนแสดงความโกรธต่อหน้าฮ่องเต้ได้มากมายขนาดนี้
เหตุการณ์เมื่อหลายสิบปีก่อน ตอนที่ตระกูลเซวียนหยวนถูกกวาดล้าง ตอนนั้นนางยังเด็กอยู่
ตอนนี้เขาตระหนักแล้วว่าพระธิดาของเขาโตแล้ว
นางเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่เหมือนกับในความทรงจำ
“มันช่างเปล่าประโยชน์เสียเหลือเกิน ข้าอุตส่าห์เอ็นดูเจ้ามาก…ทั้งรักทั้งเอ็นดูเจ้า!” ในบรรดารัชทายาทมากมาย ฝ่าบาททรงเอ็นดูซ่างกวานเยียนมากที่สุด!
อารมณ์ของซ่างกวานเยี่ยนค่อยๆ สงบลงทีละน้อย ก่อนจะหยุดโต้เถียงกับเขาและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คนที่ท่านรักมากที่สุดก็คือตัวท่านเอง…ท่านลงจากบัลลังก์เถิด ผืนน้ำแผ่นแดนแคว้นเยี่ยนไม่ใช่ของท่านอีกต่อไป!”
ฮ่องเต้แสยะยิ้ม “ถ้าข้าไม่เขียนล่ะ”
ซางกวานหยานเยาะเย้ย “ถ้าท่านตาย มันก็เป็นเรื่องปกติไหมที่ข้าจะสืบทอดบัลลังก์!”
“เจ้า… วางแผนทั้งหมดนี้ตั้งแต่ต้นใช่ไหม เจ้าบอกว่ายินดีที่จะกลับคืนสถานะเป็นไท่หนี่ว์ และออกไปรบในนามข้า ก็เพื่อวันนี้ใช่หรือไม่!”
“ใช่” ซ่างกวานเยี่ยนไม่ปฏิเสธ
ฮ่องเต้กำหมัด “ข้าไม่เคยพูดเลยว่าจะไม่ยกบัลลังก์ให้เจ้า แต่ทำไมเจ้าถึงใจร้อนขนาดนี้!”
“ข้าต้องฝากความเป็นความของทุกคนไว้ในพระหัตถ์ของท่านหรือย่างไร ใครกันล่ะ ที่เป็นผู้สร้างข้าและทำลายข้า! ตราบใดที่ท่านอยู่ในอำนาจ ตระกูลเซวียนหยวนจะไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ ลูกชายของข้าไม่สามารถเดินอย่างเปิดเผยต่อหน้าคนอื่นได้ ทั้งชิ่งเอ่อร์ด้วย และอาหังด้วย!”
“ข้า…”
ฮ่องเต้ยังไม่ทันจะตรัส ซ่างกวานเยี่ยนก็ขัดคอทันที “จะพูดว่าท่านเปลี่ยนไปแล้วรึ ข้าไม่เชื่อหรอก”
“เยี่ยนเอ่อร์ มาหาเสด็จพ่อเร็วเข้า”
“เสด็จพ่อ!” เด็กหญิงตัวเล็กๆ วัยสามขวบกระโดดเข้ามาหาเขา
“ไปปีนต้นไม้มาอีกแล้วรึ ถึงได้สะบักสะบอมเช่นนี้”
“มีนกน้อยตัวหนึ่งหลุดออกจากรัง ข้าอยากเลี้ยงไว้”
“เยี่ยนเอ่อร์ของพ่อเป็นเด็กที่มีจิตใจดีจริงๆ ”
“ใช่แล้ว นั่นแหละตัวข้า!” ไท่หนี่ว์ตัวน้อยพยักหน้าอย่างจริงจัง
“เสด็จพ่อ ท่านได้รับบาดเจ็บ นิ้วของท่านเจ็บหรือเปล่า ให้ข้าเป่านะ ฟู่ว์ๆๆ ”
เด็กหญิงตัวเล็กๆ แสนใจดีคนนั้นที่อ่อนไหวแม้กระทั่งกับนกน้อยที่บาดเจ็บ หรือคนที่เคยเป็นห่วงอาการบาดเจ็บนิ้วของเขาแม้มันจะเป็นแค่เพียงแผลเล็กๆ วันนี้กลับกลายเป็นคนจิตใจที่ชั่วร้ายที่ต้องการฆ่าพ่อของตัวเอง
ฮ่องเต้จ้องแผ่นหลังของซ่างกวานเยี่ยนที่กำลังเดินออกไปอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
นางหยุดยืนอยู่หน้าธรณีประตู หันศีรษะเล็กน้อย มองไปยังพื้นมันวาวด้านข้าง แล้วเอ่ยอย่างใจเย็น “ท่านนั่นแหละ ที่ทำให้ข้าเป็นเช่นนี้”
…
หลังจากที่กู้เจียวกลับมายังเมืองเซิ่งตู ก็ให้เหลี่ยวเฉินรับมือกับฝูงชนที่เข้ามาแสดงความยินดีแทน
ส่วนนางขอตัวกลับไปที่จวนกั๋วกงก่อน
ผู้ดูแลเจิ้งที่เจอกับกู้เจียวคนแรกก็ตื้นตันจนน้ำตาไหล “ในที่สุดท่านชายน้อยก็กลับมาเสียทีนะขอรับ!”
กู้เจียวลงจากม้า ยื่นทวนพู่แดงให้เขา
ผู้ดูแลเจิ้งที่รับมันไว้เกือบจะหน้าทิ่มลงกับพื้น
…เอ่อ ท่านชายน้อย ทวนนี่หนักใช่เล่นเลยนะขอรับ
“พ่อบุญธรรมข้าล่ะ” กู้เจียวถาม
ผู้ดูแลเจิ้งโบกมือเรียกบ่าวมาช่วยยกทวนพู่แดงไปเก็บ ก่อนจะหันมาตอบ “ท่านกั๋วกงไปที่ตำหนักกั๋วซือแล้วขอรับ!”
หลังจากอันกั๋วกงพายายเฒ่าและคนอื่นๆ เดินทางไปส่งที่ชายเขตแคว้นเจาอย่างปลอดภัย ก็เดินทางกลับมาด้วยกันกับหวังซวี่
จากนั้นหวังซวี่ก็เดินทางไปชายแดนต่อ ส่วนกั๋วกงอยู่ที่นี่
“อ้อ” กู้เจียวพยักหน้า “ข้าจะไปที่นั่นอยู่พอดี”
ในป่าไผ่ม่วง อันกั๋วกงกำลังนั่งอยู่บนรถเข็น และเล่นหมากรุกกับกั๋วซือ
ส่วนอวี้เหอกำลังช่วยกวาดกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่นในสวน เมื่อเขาเห็นกู้เจียว ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นทันที “ลิ่วหลัง! เจ้ากลับมาแล้ว!”
“อวี้เหอ” กู้เจียวทักเขา
จากนั้นอวี้เหอก็ชะเง้อมองไปทางด้านหลังกู้เจียว “เอ๋ แล้วศิษย์พี่ล่ะ เขาก็ไปด้วยกันกับเจ้ามิใช่รึ ไยถึงไม่ได้กลับมาด้วยกันล่ะ”
กู้เจียวได้รับจดหมายจากแคว้นเจาเรื่องสถานการณ์ปัจจุบันของตรอกปี้สุ่ย และถนนจูเชวี่ย และยังเอ่ยถึงตอนที่เซวียนผิงโหวไปที่เกาะอั้นเย่อีกด้วย
กู้เจียวลังเลอยู่พักหนึ่ง เริ่มครุ่นคิดว่าควรจะบอกเรื่องที่เย่ชิงกินยาพิษเข้าไปดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็เลือกบอกไป “ศิษย์พี่ของเจ้าไปเป็นแขกที่เกาะอั้นเย่น่ะ”
แต่ว่า มันก็แปลกอยู่ดี เกาะอั้นเย่จะหนาวแค่ช่วงถึงเดือนสองเท่านั้น แล้วทำไมเย่ชิงยังไม่กลับมาอีก
อย่าบอกนะว่า ถูกคนบนเกาะจับไปทำสามีเข้าแล้วนะ
“เกาะอั้นเย่อันเดียวกับสำนักอั้นเย่รึ ศิษย์พี่ข้าไปที่นั่นจริงๆ หรือนี่!” อวี้เหอตกตะลึง
กู้เจียวเปิดม่านออก แล้วเดินเข้าไป
สองคนที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงของนางมาแต่ไกล และกำลังรอให้นางเข้ามาด้านใน
กู้เจียวออกไปตั้งแต่เดือนแปด เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงเดือนสี่แล้ว พวกเขาไม่ได้เจอนางมากว่าครึ่งปีแล้ว และนางก็เปลี่ยนไปมาก
นางตัวสูงขึ้น ใบหน้าเริ่มชัดขึ้น ด้วยความที่ต้องต่อสู้ทั้งวัน ต้องเผชิญกับแสงแดด ฝน ลม และทราย และผิวที่ขาวแต่เดิมของนางกลับกลายเป็นสีข้าวสาลีอ่อนๆ ซึ่งทำให้นางดูกล้าหาญมากยิ่งขึ้น
แอบมีสาวๆ ที่ชายแดนมาหว่านเสน่ห์ให้แม่ทัพน้อยคนนี้บ้างไหมนะ
“พ่อบุญธรรม ท่านกั๋วซือ!”
กู้เจียวทักทายพวกเขาด้วยความดีใจ
กั๋วกงมองไปที่กู้เจียวอย่างไม่สามารถละสายตาออกไปได้
แม้ว่านางจะกลับมาอย่างปลอดภัย แต่เขาก็รู้สึกใจสลายเมื่อคิดถึงสิ่งที่นางต้องเผชิญที่ชายแดน
“เข้ามาใกล้ๆ สิ” กั๋วกงเอ่ยกับนาง
“หืม” กู้เจียวทำหน้าเหวอ
อันกั๋วกงหัวเราะ “ข้ากลับมาพูดได้แล้ว แขนก็ยกขึ้นได้แล้ว ร่างกายของข้าฟื้นฟูดีขึ้นมาก”
เขาพูดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าในช่วงแปดเดือนที่ผ่านมา เขาพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะฟื้นตัวให้ได้ เพียงเพื่อทำให้กู้เจียวประหลาดใจ
แม้จะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดและทรมาน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่นางต้องเผชิญแล้ว ความเจ็บปวดของเขาเทียบอะไรไม่ได้เลย
กู้เจียวเข้ามาหาเขา นั่งยองๆ และเงยหน้าขึ้นมองเขา “ท่านดูดีขึ้นนะ” จากนั้นก็ตรวจชีพจรของเขาและตรวจดูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อของเขา “โห น่าอัศจรรย์จริงๆ ”
ดีกว่าที่คิดไว้เยอะมาก
ไม่นานคงกลับมาเดินได้แล้ว
“ท่านเก่งและขยันมาก ข้าขอชื่นชม”
แม้กู้เจียวจะพูดจากใจจริง ทว่าในสายตาของเขานั้นเหมือนกับกำลังมองเด็กน้อยที่พูดจาเหมือนผู้ใหญ่อยู่
เขามีความสุขมากจนยกมือขึ้นลูบผมของนางแล้วถาม“เจ็บตรงไหนหรือไม่”
“ไม่เลย!” กู้เจียวส่ายศีรษะ
กั๋วกงเอ่ยต่ออย่างช่วยไม่ได้ “เจ้านี่นะ ทำตัวเหมือนแม่เจ้าไม่มีผิด ชอบรายงานข่าวดีเสมอ แต่ไม่บอกข่าวร้าย”
“หืม” แม่รึ
“อ้อ ข้าหมายถึง แม่บุญธรรมเจ้าไงล่ะ” กั๋วกงหัวเราะแก้เขิน
“อ้อ” นึกว่าความลับที่นางเคยปลอมตัวเป็นอินอินจะแตกเสียอีก
จากนั้นกั๋วซือก็กระแอมชุดใหญ่ ราวกับต้องการความสนใจ
จากนั้นกู้เจียวหันหน้าไปที่กั๋วซืออย่างช้าๆ “หืม ท่านกั๋วซือนี่นา ช่วงนี้งานเยอะหรือ เพราะท่านดู…”
แก่ลงเยอะเลย
ความเข้าใจผิดระหว่างกั๋วกงกับกั๋วซือได้รับการแก้ไขแล้ว เวลาว่างๆ กั๋วกงก็จะชอบมานั่งๆ นอนๆ ที่ตำหนักกั๋วซือ ดูเหมือนว่ากั๋วซือจะดูชราลงไปมาก เส้นผมจากที่เคยเป็นสีขาวแค่หย่อมๆ ตอนนี้แทบจะลามไปครึ่งหัวแล้ว
เฮ้อ ปกติก็ดูแก่อยู่แล้ว มาคราวนี้ ดูแก่หนักกว่าเดิมอีก
กู้เจียวทำท่าถอนหายใจเกินจริง “ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรทิ้งภาระทั้งหมดไว้ให้ท่าน”
“รับผิดเร็วจังนะ ปกติเจ้าไม่ใช่แบบนี้นี่นา” ราขครูหรี่ตามองนางทันที
“ก็วันนี้ข้าอารมณ์ดี!” กู้เจียวตอบ
“พูดเรื่องสำคัญมา” กั๋วซือเอ่ย
กู้เจียวกลอกตาไปมาพร้อมกับเอานิ้วจิ้มเข้าหากัน “คือว่า ข้าได้ยินมาว่าแคว้นจิ้นได้ส่งส่วยมาเป็นอาวุธคุณภาพสูงจำนวนหนึ่ง ตอนนี้ของพวกนั้นน่าจะมาถึงห้องโถงตำหนักแล้ว…”
“ว่าแล้วเชียว…” กั๋วซือบ่นอุบอิบ “ของพวกนั้นยังมาไม่ถึงหรอก ถ้ามาถึงแล้วข้าจะยกให้ครึ่งนึง ไว้เป็นของขวัญแต่งงานให้เจ้า”
จู่ๆ กั๋วกงก็หน้านิ่งทันที “เอาแต่พองาม”
ท่าทีของฝั่งเซวียนผิงโหวนั้นประหลาดอย่างมาก เดือนก่อนเขาส่งทูตแคว้นเจามาที่นี่ในนามโหวเหย่น้อย เพื่อสู่ขอกับอันกั๋วกง
“พ่อบุญธรรมตอบตกลงไปไหม”
กู้เจียวกระพริบตารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
ได้โปรดตอบตกลงเถอะ!
แต่กั๋วกงกลับปฏิเสธจะตอบคำถามนี้
เดิมทีเขาไม่เห็นด้วย แต่กลอุบายของเซวียนผิงโหวครั้งที่สองทำเขาเขวไม่น้อย โดยเซวียนผิงโหวให้ทูตนำภาพวาดของธิดาตัวน้อยมอบให้เขา
เป็นภาพวาดที่บันทึกพัฒนาการตั้งแต่แรกเกิดถึงสามเดือน มีทั้งภาพวาดที่ทารกน้อยกำลังอมมือตัวเอง เกาเท้า เลียริมฝีปาก…ให้ตายเถอะ มันช่างน่ารักเสียเหลือเกิน
ทูตยิ้มและเอ่ย “ท่านโหวมีข้อความถึงท่าน หากพวกเขาแต่งงานกัน พวกเขาสามารถให้กำเนิดเด็กทารกให้ท่านได้ด้วยนะขอรับ”
ให้ตายสิ เซวียนผิงโหวอะไรนั่นไม่ได้มาสู่ขอหรอก แต่จะมาอวดลูกของตัวเองให้ดูต่างหากล่ะ
น่าโมโหนัก!
ถูกเจ้าคนงามติดอันดับอะไรนั่นนั่นยั่วยุให้เกิดกิเลสจนได้!
สุดท้าย เขาจึงตัดสินใจให้พวกเขารีบแต่งงานกันให้เร็วที่สุด เพื่อที่เขาจะได้อุ้มหลานไวๆ !
……….