สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 904 เตรียมงานมงคล
บทที่ 904 เตรียมงานมงคล
……….
ยามเย็น ดวงตะวันอัสดง
ณ เรือนเล็กๆ ที่ทรุดโทรมในตรอกเก่าเมืองชิวซานนอกเมืองเซิ่งตู หลี่หมู่ผู้เฒ่านั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กหน้าประตู ในมือกอดไม้เท้าเอาไว้
นางตาบอดแล้ว มองไม่เห็นคนที่เดินผ่านไปมา
ทว่านางก็ยังคงนั่งอยู่ที่นี่ทุกวัน
ไม่ได้ยินข่าวหนึ่งวัน ก็นั่งต่อวันที่สอง สองวันไม่มีข่าว ก็สามวัน
นางทั้งเฝ้าคอยให้มีข่าวคราวมา และกลัวว่าสิ่งที่มาจะเป็นข่าวร้าย
นางไม่รู้ว่าศึกนี้จะยาวนานเพียงใด ร่างกายตัวเองจะฝืนไหวจนถึงตอนนั้นหรือไม่
“ฟ้ามืดแล้ว หลี่ต้าเหนียงควรเข้าห้องได้แล้ว”
เจิ้งซื่อที่อยู่เรือนข้างๆ เอ่ยเตือนด้วยความหวังดี
หลี่หมู่ถือไม้เท้า ลากสังขารแก่ชราลุกขึ้นอย่างตัวสั่นงันงก
นางใช้มือคลำหาม้านั่ง ก่อนจะเอามันเข้าเรือนไปด้วย
เพิ่งจะก้าวข้ามธรณีประตูมา เสียงคุ้นหูเจือสะอื้นก็ดังขึ้นด้านหลัง “ท่านแม่!”
หลี่หมู่ขอบตาร้อนผ่าว น้ำตาอุ่นร้อนร่วงรินลงมา
…
แคว้นเจาประสบกับฤดูหนาวที่หนาวเย็นซึ่งหาได้ยากในรอบสิบปี หลายพื้นที่เจอกับภัยหนาว โชคดีที่ราชสำนักรับมือได้ทันกาล จัดสรรเงินบรรเทาสาธารณภัยจากท้องพระคลัง พร้อมกับติดต่อคูเมืองโดยรอบเพื่อจัดส่งสิ่งของไปยังเมืองที่ได้รับผลกระทบร้ายแรง
ราชเลขาหยวนในฐานะที่เป็นขุนนางทูตบรรเทาทุกข์ พาขุนนางเน่ยเก๋อจำนวนหนึ่งติดตามไปด้วย เซียวเหิงก็อยู่ในรายชื่อเช่นกัน
เนื่องจากไปบรรเทาทุกข์ เขาจึงไม่รู้เรื่องที่บิดาตัวเองส่งทูตไปสู่ขอที่แคว้นเยี่ยน โดยเฉพาะสู่ขอกับนายน้อยแห่งจวนกั๋วกง
และไม่รู้ด้วยว่าบิดาเขาเที่ยวอวดลูกไปทั่ว อวดไปถึงแคว้นเยี่ยนแล้ว
ทางเขากลับได้รับ…จดหมายที่จวนโหวส่งมาไม่น้อย
“ฉบับนี้ของเจ้า ฉบับนี้…ของราชเลขาหยวน” ภายในห้องหนังสือของนายอำเภอ เซียวเหิงยื่นจดหมายในมือให้ราชเลขาหยวน “จดหมายของบ้านท่านพ่อ”
ราชเลขาหยวนรู้แล้วว่าความจริงแล้วเขาคือท่านโหวน้อยเจาตู
ครั้นราชเลขาหยวนได้ยินว่าเป็นของเซวียนผิงโหว ก็นึกว่าเกิดเรื่องสำคัญในราชสำนักขึ้น เขารีบรับจดหมายมา เปิดออกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
สุดท้ายเขาเห็นตัวหนังสือมีชีวิตชีวาและกระฉับกระเฉงมีพลังแถวหนึ่ง เขียนว่า
ท่านปู่ของพี่ใหญ่ว่าที่ลูกสะใภ้ข้า ลูกสาวข้าอายุเต็มเดือนแล้ว ราชเลขาหยวนวิชาความรู้กว้างขวาง โปรดตั้งชื่อไพเราะๆ ให้แก่นางด้วย
แนบภาพเหมือนของลูกสาวข้าไว้ให้แล้ว
ราชเลขาหยวน “…”
เซียวเหิงไม่ได้ตั้งใจแอบมอง เพียงแต่ลายมือของบิดาเขาตัวโตเสียยิ่งกว่าตะกร้า ไม่อยากเห็นก็คงยาก
ไม่ต่างจากที่คิดไว้ เขาแนบภาพเหมือนน้องสาวมาด้วย
เขาจำไม่ได้แล้วว่านี่เป็น ‘จดหมายขอการตั้งชื่อ’ ฉบับที่เท่าใดที่ท่านพ่อเขาส่งออกไป
ทางท่านย่าก็ได้รับด้วยเช่นกัน
แล้วก็ ชื่อของน้องสาวเขาตั้งได้เรียบร้อยแล้วมิใช่หรือ
อ้างว่าเรื่องการตั้งชื่อเพื่ออวดลูกสาว ช่างเหลือเกินจริงๆ !
ภายหน้าเขามีลูกสาว จะไม่ทำอย่างท่านพ่อเด็ดขาด!
…
ณ ถนนจูเชวี่ย
หลังจากเข้าวสันตฤดู เมืองหลวงก็อากาศดีขึ้น
ซ่างกวานชิ่งยืนขาม้าอยู่ในลานเรือน
ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไร ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น เขาถูกพิษมายี่สิบปี แม้จะมีผลของจื่อเฉ่า ก็ใช่ว่าจะหายดีได้ภายในวันเดียว
เขาจำเป็นต้องบำรุงรักษาตัวหลายเดือน ในแต่ละวันนอกจากกินผลจื่อเฉ่าแล้ว ยังต้องดื่มยาสมุนไพรที่หมอหลวงเขียนให้ด้วย นอกจากนี้หมอหลวงยังกำชับเขาให้ออกกำลังกายให้มากๆ ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้
เซวียนผิงโหวจะมาที่นี่ทุกวัน ออกกำลังยืดเส้นยืดสายเป็นเพื่อนเขา ตอนแรกทำได้เพียงเดินเล่นนิดหน่อย ก่อนจะค่อยๆ ยืนท่าขาม้าได้นิดๆ หน่อยๆ
สองพ่อลูกพักรักษาตัวด้วยกัน เรียกว่าฟื้นฟูได้ไม่เลว
“เจ้ายืนท่าขาม้าเองไปก่อนนะ” ภายในลานเรือน หลังจากที่เซวียนผิงโหวปรับท่าทางที่ถูกต้องให้บุตรชายเรียบร้อย ก็วางมาดจริงจังเอ่ย “วันนี้อากาศไม่เลว ข้าไปอุ้มน้องสาวเจ้าออกมาตากแดดหน่อย”
ซ่างกวานชิ่งเบ้ปาก “มายืนท่าขาม้ากับข้าคือเรื่องเท็จ อุ้มน้องสาวต่างหากคือจุดประสงค์ที่แท้จริง”
น้องสาวอายุสามเดือนแล้ว นามว่าเซียวอี เห็นว่ามารดาเขาตั้งชื่อนี้ไว้ตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์แรก
ชื่อนี้ฟังดูว่าง่าย ความจริงแล้ว…ก็นับว่าว่าง่ายอยู่ เพียงแต่ไม่ชอบกินนมของแม่นม ต้องให้มารดาอย่างองค์หญิงเป็นคนป้อนนางเอง
ตอนเขาเด็กๆ เสด็จแม่เหมือนจะป้อนเขาด้วยตัวเองเช่นกัน
ออกทะเลแล้ว กลับมาเรื่องน้องสาว
นอกจากทรมานท่านแม่แล้ว น้องสาวยังมีปัญหาอีกเรื่องคือร้องไห้เสียงดังยิ่งนัก ชนิดที่ว่าฟ้าดินสนั่นหวั่นไหว ทั้งผีทั้งเทพอลหม่าน ตอนกลางวันไม่ค่อยมีอะไรหรอก พอตกค่ำเท่านั้นล่ะ เสียงดังจนถนนทั้งเส้นไม่ได้หลับไม่ได้นอน
ไม่มีคนปลอบได้เลย นอกจากบิดาของเขา
บิดาของเขาจะมาหาเขาทุกบ่าย กินข้าวเย็นกัน พอตกค่ำก็จะกล่อมน้องสาวนอนแล้วค่อยกลับ
น้องสาวเขาโตขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งเข้านอนดึกขึ้นเรื่อยๆ บิดาเขาก็กลับดึกขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน…
องค์หญิงซิ่นหยางออกไปแล้ว ภายในห้อง เป็นเซียวอีตัวน้อยที่หลับอุตุโดยมีอวี้จิ่นเฝ้าอยู่ข้างๆ
เซียวอีน้อยคลอดออกมาก็งดงามกว่าเด็กแรกเกิดทั่วไป หลังออกเดือนแล้วก็จ้ำม่ำขึ้นไม่น้อย และยิ่งน่ารักไร้เดียงสาขึ้นด้วย
“ท่านโหว” อวี้จิ่นคำนับให้เซวียนผิงโหว
เซวียนผิงโหวพยักหน้าให้ พร้อมกับขานรับ ก่อนมาหยุดข้างเปล มองเจ้าหนูน้อยที่หลับปุ๋ยด้านใน มุมปากอดหยักยกขึ้นนิดๆ ไม่ได้
อวี้จิ่นมองเขาแวบหนึ่งโดยไม่เป็นที่สังเกตเห็น คิดในใจว่า ท่านโหวไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
เซวียนผิงโหวเลิกคิ้ว “หน้าตาน่ามองเพียงนี้ แค่ดูก็รู้แล้วว่าได้ข้ามา”
อวี้จิ่นหน้าทะมึน นางขอถอนคำพูดเมื่อครู่นี้ ท่านโหวยังคงเป็นท่านโหว!
เพียงไม่นาน เสียงเกือกม้าก็ดังขึ้นหน้าประตู เป็นรถม้าขององค์หญิงซิ่นหยางกลับมาแล้ว
เมื่อครู่นี้นางเข้าวังมา หารือกับจวงไทเฮาและเซียวฮองเฮาเรื่องงานมงคลของเซียวเหิงกับกู้เจียว
สตรีสูงศักดิ์ผู้มีอำนาจมากทั้งสองท่านต่างไม่คัดค้านเรื่องงานมงคล ถึงขั้นเห็นด้วยอย่างยิ่งด้วยซ้ำ
ในพระทัยจวงไทเฮานั้น อาเหิงเจ้าเด็กหน้าเหม็นนั่นติดค้างพิธีแต่งงงานอันยิ่งใหญ่ต่อเจียวเจียวอยู่
องค์หญิงซิ่นหยางก็ทรงคิดเช่นนี้เหมือนกัน ตอนที่อยู่ในชนบท ทั้งสองไม่เคยได้จัดงานมงคลกันอย่างเป็นจริงเป็นจังเลย บุตรชายของนางหมดสติ ลืมตาขึ้นมาก็กลายเป็นสามีคนแล้ว
ไม่ได้กราบไหว้ฟ้าดิน และไม่ได้เข้าหอด้วย
นี่นับว่าเป็นการแต่งงานได้ที่ไหน
กอปรกับครานั้นเขาอยู่ในตัวตนของคนอื่น ยามนี้เขากลับคืนสู่ตัวตนเซียวเหิงแล้ว การแต่งงานช่วงเวลานั้นของเซียวลิ่วหลังกับกู้เจียวความจริงถือเป็นโมฆะด้วยซ้ำ
แน่นอนว่า นางก็มีความเห็นแก่ตัวเช่นกัน
นางอยากได้เห็นงานมงคลของบุตรชายเขาด้วยตัวเอง
เทียบหมั้นส่งไปที่ตรอกปี้สุ่ยแล้ว วันนี้นางหลักๆ คือกำหนดของหมั้นและรายละเอียดวันแต่งงานกับจวงไทเฮาและเซียวฮองเฮา
“องค์หญิง ท่านกลับมาแล้ว” อวี้จิ่นยิ้มพลางเดินไปต้อนรับ นางยกมือแกะชุดคลุมกันลมบนร่างองค์หญิงออกไปแขวนไว้ให้เรียบร้อย “หารือกันราบรื่นหรือไม่เพคะ”
“ราบรื่นดี” องค์หญิงซิ่นหยางตรัส
“ท่านโหวมาแหน่ะเพคะ” อวี้จิ่นเอ่ยเสียงเบา
องค์หญิงซิ่นหยางหันไปมอง เห็นคนบางคนกำลังนั่งอยู่ข้างเปลจริงๆ ทอดมองเจ้าตัวน้อยในเปลด้วยรอยยิ้มโง่งม
แสงตะวันส่งลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามา ตกกระทบดวงหน้าด้านข้างหล่อเหลาที่เป็นผู้ใหญ่ของเขา
แววตาเขาคล้ายรวมแสงดาราไว้
นางหันหน้าหนี พึมพำนิ่งๆ “เขามาได้อย่างไรอีกเล่า”
อวี้จิ่นยิ้มเอ่ย “เช่นนั้น บ่าวไล่ท่านโหวออกไปดีหรือไม่เพคะ”
องค์หญิงซิ่นหยางสะอึก ถลึงตาใส่นาง “ไล่ออกไปแล้ว เจ้าตัวเล็กร้องขึ้นมา เจ้าจะกล่อมรึ”
อวี้จิ่นปิดหน้า กลั้นขำสุดความสามารถ
“เฮ้อ” องค์หญิงซิ่นหยางถอนพระทัย
อวี้จิ่นสังเกตเห็นความผิดปกติขององค์หญิงซิ่นหยางได้อย่างเฉียบแหลม ถาม “เป็นอะไรไปหรือเพคะ องค์หญิง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
องค์หญิงซิ่นหยางขมวดคิ้ว ถามอย่างประหลาดพระทัย “ข้าออกมาจากวังหลวง บังเอิญเจอขุนนางเลิกประชุมพอดี พวกเขามาหยุดตรงหน้าข้าทีละคน ไล่ตั้งชื่อให้อีอี…ข้าได้ขอให้พวกเขาตั้งชื่อให้แล้วหรือ ไยจู่ๆ คนมากมายจึงได้ตั้งชื่อให้นางอย่างกระตือรือร้นเช่นนี้”
เซวียนผิงโหวไกวเปลไปมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สีหน้าสงบนิ่งมาก
…
อีกด้านหนึ่ง ซ่างกวานเยี่ยนทิ้งราชโองการเปล่าให้ฮ่องเต้สละราชสมบัติ ฮ่องเต้เพลิงโทสะสุมทรวง ย่อมไม่ยอมยอมจำนนง่ายๆ
ยอดฝีมือของวังหลวงข้างกายพระองค์ถูกเซวียนหยวนฉีจัดการแล้ว แต่พระองค์มีกองทัพรักษาพระองค์จำนวนมหาศาลและกำลังทหารของจวนตูเว่ยอยู่
พระองค์แสร้งคล้อยตามแต่ในพระทัยไม่เห็นด้วย อาศัยจังหวะกดกลไกข้างโต๊ะทรงอักษร พระองค์ร่วงลงสู่ทางลับ และในขณะเดียวกัน บนหลังคาก็มีสัญญาณดอกไม้ไฟพุ่งขึ้นสู่นภา
ทหารรักษาพระองค์และกองกำลังทหารของจวนตูเว่ยเร่งรุดมายังวังหลังอย่างรวดเร็ว เซวียนหยวนฉีเตรียมตัวไว้แต่แรกแล้ว ประสานทั้งนอกในกับบุตรชาย เปิดประตูวังออกกว้าง ทหารม้าวายุทมิฬสามหมื่นนายและองครักษ์เงาสองหมื่นนายไล่เข่นฆ่าเข้ามาในวังหลวง
พวกเขาเป็นกองกำลังทหารที่เพิ่งจะกลับมาจากสมรภูมินองเลือด บนตัวพวกเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายของสงคราม นี่เป็นสิ่งที่กองทัพใหญ่ที่ชีวิตอยู่ดีกินดีอยู่ในเขตพระราชฐานไม่อาจเทียบเคียงได้
หากกองกำลังของหวังหม่านและหวังซวี่อยู่ที่นี่ด้วย อาจจะยังพอพลิกสถานกาณ์คืนมาได้
แต่พวกเขาล้วนถูกซ่างกวานเยี่ยนจงใจทิ้งไว้ระหว่างทาง
กองทัพรักษาพระองค์ค่อยๆ ถดถอย ฮ่องเต้กดปุ่มกลไกที่สองที่อยู่ในทางลับ ดอกไม้ไฟดอกที่สองทะยานขึ้นฟ้าอีกครา
ซึ่งนี่หมายความว่ากำลังติดต่อกับเยี่ยนซานจวินนอกเมือง
เยี่ยนซานจวินไม่ใช่คนไม่มีประสบการณ์ทางโลกอย่างที่ผู้คนเห็นกัน ในมือเขามีกองกำลังลับของราชวงศ์อยู่กองหนึ่ง เป็นแนวป้องกันสุดท้ายของฮ่องเต้
เพียงแต่ว่าเขายังไม่ทันได้เคลื่อนไหว กระบี่ยาวเล่มหนึ่งก็ยื่นออกมาจากด้านหลังเขา พาดบนลำคอเขานิ่งๆ
“ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า”
กู้ฉังชิงเอ่ย
เยี่ยนซานจวินเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าคิดว่าขู่ข้าไปจะมีประโยชน์รึ”
กู้ฉังชิงเอ่ยนิ่งๆ “ข้ารู้ว่าท่านไม่กลัวตาย เช่นนั้น ชีวิตของลูกสาวท่านท่านก็ไม่จะไม่สนเช่นกันหรือ”
เยี่ยนซานจวินนัยน์เนตรหดเกร็ง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
กู้ฉังชิงเบี่ยงหัวกระบี่ราวกับส่งสัญญาณมือโดยไร้เสียง จากนั้นองครักษ์ลับตระกูลกู้นายหนึ่งก็อุ้มท่านหญิงน้อยที่หลับสนิทเดินเข้ามาจากนอกประตู
เยี่ยนซานจวินสีหน้าพลันเปลี่ยน “เสี่ยวเสวี่ย! เจ้า…เจ้ามันต่ำช้า! แม้แต่เด็กคนหนึ่งก็ยังไม่เว้น! ไท่หนี่ว์กับแม่นางกู้รู้หรือไม่ว่าเจ้าทำเช่นนี้”
เขากับกู้เฉิงเฟิงรั้งเฝ้ารักษาการณ์เขตพระราชฐานมาตลอด ทราบตัวตนที่แท้จริงของกู้เจียวจากปากกู้เฉิงเฟิงแล้ว และฟังออกด้วยว่าคนที่ข่มขู่ตนก็คือพี่ชายคนโตของกู้เจียว
กู้ฉังชิงสีหน้าไร้การเปลี่ยนแปลงใดๆ “พวกนางไม่จำเป็นต้องรู้ เลือกสิ ลูกสาวของท่าน หรือพี่ชายท่าน”
เยี่ยนซานจวินกัดฟันกรอด “เจ้า…”
กู้ฉังชิงเอ่ยเสียงเย็น “ท่านอย่าคิดว่าข้าจะเมตตาใจอ่อน ท่านเหมือนกันกับข้า บนโลกนี้ล้วนมีคนที่ตนต้องการปกป้องอยู่ ซ้ำยังทำทุกวิถีทางเพื่อคนผู้นี้ด้วย แม้ตายตกโลกันตร์ไปแล้ว ก็ไม่เสียดาย”
เยี่ยนซานจวินหลับตาลงอย่างขมขื่น
กู้ฉังชิงพูดถูกต้องแล้ว บนโลกนี้มีคนที่เขาต้องการปกป้องอยู่ เพื่อนางแล้ว เขาไม่เสียดายสิ่งที่ต้องแลกเลยสักอย่าง แม้จะต้องหักหลังความไว้ใจของพี่ชายตัวเองก็ตาม!
เยี่ยนซานจวินมอบตราราชลัญจกรทหารให้
…
ออกจากเรือนของเยี่ยนซานจวินมา องครักษ์ลับตระกูลกู้คนนั้นก็ดึงหน้ากากหนังมนุษย์บนหน้าออก ยิ้มตาหยีเอ่ย “พี่ใหญ่ เมื่อครู่นี้ท่านเล่นได้ยอดเยี่ยมนัก! แม้แต่ข้ายังเกือบจะเชื่อ! ซ้ำยังกลัวว่าเยี่ยนซานจวินไม่ยอมตกลง ท่านก็จะใช้กระบี่ฟันท่านหญิงน้อยจริงๆ ด้วย!”
กู้ฉังชิงสีหน้าจริงจังเอ่ย “ข้าไม่ได้เล่นละคร”
กู้เฉิงเฟิงนิ่งอึ้ง
กู้ฉังชิงมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา “เจ้าเด็กโง่”
……….