สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 905 ชาติกำเนิดถูกเปิดเผย
บทที่ 905 ชาติกำเนิดถูกเปิดเผย
……….
กู้ฉังชิงไม่มีทางสังหารท่านหญิงน้อยหรอก เพราะเยี่ยนซานจวินไม่มีทางไม่ยอมตกลง
เยี่ยนซานจวินเดิมก็ไม่อยากยกทัพมาอยู่แล้ว เพียงแต่ติดที่คุณธรรมในใจ เขาใช้ท่านหญิงน้อยข่มขู่เยี่ยนซานจวิน ซึ่งสามารถมอบทางลงให้แก่คนหลอกตัวเองได้
การรัฐประหารในวังที่ดำเนินการโดยกองทัพเซวียนหยวนเมื่อสิบหกปีก่อน ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ที่ต่างออกไปก็คือ ครานี้กองทัพเซวียนหยวนชนะแล้ว
ฮ่องเต้กำลังถือพู่กันภายใต้การรับใช้ของขันทีและหัวหน้าขันที พระพักตร์ทะมึนเขียนราชโองการสละราชสมบัติและแต่งตั้งกษัตริย์องค์ใหม่
ต้าเยี่ยนได้ถือกำเนิดราชินีองค์แรกขึ้นแล้ว ชื่อรัชศกว่าหย่งอัน
หย่งอันตี้ขึ้นครองราชย์สิ่งแรกที่ทำคือคืนความเป็นธรรมให้แก่ตระกูลเซวียนหยวน ตระกูลเซวียนหยวนถูกใส่ร้ายสารพัดมาสามสิบกว่าปี หลักฐานครบครันนานแล้ว
เพียงแต่ว่า ตอนนั้นตระกูลเซวียนหยวนก่อกบฏคือเรื่องจริง ในฐานะขุนนาง การกระทำเช่นนี้มิบังควรอย่างยิ่ง แต่ดวงใจปวงชนหาใช่สิ่งที่จะมีเหตุผลอยู่ตลอดเวลา เมื่อซ่างกวานเยี่ยนประกาศคำทำนายของตำหนักกั๋วซือออกไป รวมถึงการแอบสมคบคิดกันระหว่างแคว้นจิ้นและแคว้นเหลียง ความหวาดกลัวและการประหัตประหารของไท่ซ่างหวง เหล่าปวงชนก็ก่นด่าไท่ซ่างหวงว่าเสร็จศึกฆ่าขุนพล อาศัยตระกูลเซวียนหยวนออกรบทั้งนอกทั้งในให้บ้านเมืองสงบสุข พลางสมคบคิดกับแคว้นจิ้นและแคว้นเหลียงทำร้ายทารุณขุนนางน้ำดี
นี่จะให้ผู้ใดทนได้
ในด้านทักษะการฉีกหน้ากากของราชวงศ์ออก ซ่างกวานเยี่ยนเรียกได้ว่าสืบทอดไท่ซ่างหวงมาอย่างสมบูรณ์ ถึงขั้นเหนือชั้นกว่าด้วยซ้ำ
มีแต่สิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำเท่านั้น ไม่มีสิ่งที่นางไม่กล้าประกาศ
ด้วยเหตุนี้ผู้คนก็ได้ประจักษ์ในแผนการและความกล้าหาญของกษัตรีนางนี้แล้ว
เรื่องที่สองที่นางทำหลังสืบทอดบัลลังก์ก็คือให้ไท่ซ่างหวงออกราชโองการลงโทษตัวเอง นับความผิดของตัวเองมาอย่างละเอียด และพิจารณาตัวเองสำนึกผิดอย่างเศร้าโศก
ไท่ซ่างหวงย่อมไม่ยอมเขียนอยู่แล้ว แต่พระองค์จะยอมหรือไม่มันสำคัญหรือ
ซ่างกวานเยี่ยนมีเป็นร้อยวิธีที่จะได้ราชโองการลงโทษตัวเองฉบับนี้มา
เรื่องที่สามที่นางทำคือประหารอดีตไท่จื่อด้วยโทษฐานทำร้ายองและพระนัดดาในอดีต
เมื่ออดีตไท่จื่อถูกออกราชโองการ ตะโกนว่าพระนัดดาเป็นตัวปลอม ทุกคนอย่าได้หลงเชื่อนาง นางทำสายเลือดราชวงศ์แปดเปื้อน นางเป็นนักโทษของราชวงศ์!
น่าเสียดายที่ถ้อยคำของเขาลอยออกไปจากคฤหาสน์ไม่ได้อีกตลอดกาลแล้ว
ซ่างกวานเยี่ยนให้เซวียนหยวนลี่กลับคืนตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ และแต่งตั้งให้เป็นเจิ้นกั๋วอ๋อง
เดิมทีนางกะว่าจะแต่งตั้งเซวียนหยวนฉีเป็นอ๋องไปพร้อมกันเลย แต่โดนเซวียนหยวนฉีปฏิเสธมาเสียก่อน
“อ๋องสองคนอยู่จวนเดียวกัน กษัตรีทรงโปรดเกินไป จะทำให้องค์หญิงเสื่อมเสียชื่อเสียงได้”
“ตระกูลเซวียนหยวนสู้รบเพื่อบ้านเมืองของแคว้นเยี่ยนมาครึ่งชีวิต อ๋องสองคนไยจะไม่เหมาะ ข้ายังอยากแต่งตั้งเจิงเอ๋อร์ให้เป็นโหวอีกด้วยซ้ำ!”
“ไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ” เซวียนหยวนฉีปฏิเสธหนักแน่น
“แต่ว่า…”
“เชื่อลุงเถอะ!” เซวียนหยวนฉีเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
ซ่างกวานเยี่ยนน้อยอกน้อยใจ “อื้อ”
แต่ซ่างกวานเยี่ยนยังคงอยากชดเชยให้ท่านลุงรองกับเจิงเอ๋อร์อยู่ พวกเขาเป็นเงามืดมานานหลายปี ความลำบากที่พบเจอเกินกว่าที่ผู้คนคิดจินตนาการได้ โดยเฉพาะท่านลุงอยู่ภูเขามาหลายปี ทุกคราที่นางนึกถึงขึ้นมา ก็ปวดใจขึ้นเป็นระลอก
นางแต่งตั้งเซวียนหยวนฉีเป็นติ้งกั๋วโหว แต่งตั้งเซวียนหยวนเจิงเป็นซื่อจื่อแห่งติ้งกั๋วโหว
เซวียนหยวนฉีสืบทอดตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่จากเซวียนหยวนลี่ เซวียนหยวนเจิงกลายเป็นแม่ทัพใหญ่คนใหม่ของตระกูลเซวียนหยวน ในขณะเดียวกันเขาก็ยังคงเป็นเจ้าแห่งเงามืดรุ่นที่สามอยู่
เซวียนหยวนเฉิงที่จากโลกไปแล้วก็คืนสู่ตำแหน่งแม่ทัพพยัคฆ์ทมิฬเช่นกัน
อันกั๋วกงรั้งอยู่เฝ้ารักษาการเซิ่งตูมาหลายเดือนไม่มีอะไรทำ เขาวานให้ใต้เท้ากั๋วซือตามหาทำเลทองฮวงจุ้ยดีแห่งหนึ่ง ก่อนย้ายร่างของบุรุษตระกูลเซวียนหยวนและบรรดาสตรีในตระกูลเจ้าสู่สุสานแห่งใหม่
เขาพากู้เจียวไป กู้เจียวสลักนามของทุกคนบนป้ายวิญญาณด้วยมือตัวเอง
…
จันทราแจ่มจำรัส ดวงดาราอับแสง
บนถนนอันเงียบสงัดรกร้างห่างไกลแห่งหนึ่ง
รถม้าสองคันควบวิ่งเข้าสู่ถนนทอดยาวร้างผู้คน กู้เจียวขี่ราชาม้าเฮยเฟิง โดยมีเซวียนหยวนฉีและเหลี่ยวเฉินขี่ม้าเช่นเดียวกันร่วมติดตามขนาบสองข้าง
ทั้งคณะมาถึงคฤหาสน์หลังนั้นที่ชำรุดทรุดโทรมไปนานมากแล้ว
ซ่างกวานเยี่ยนกับอันกั๋วกงลงจากรถม้ามาตามๆ กัน
กู้เจียวกับสองพ่อลูกตระกูลเซวียนหยวนก็พลิกตัวลงจากหลังม้าเช่นกัน
กู้เจียวมาหยุดอยู่ด้านหลังอันกั๋วกง เข็นรถเข็นให้เขา
ซ่างกวานเยี่ยนตีหน้าจริงจังเอ่ย “ใครก็ได้ ดึงป้ายผนึกประตูออก ตัดโซ่เหล็กทิ้งด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” ยอดฝีมือต้าเน่ยที่ติดตามมาก้าวขึ้นหน้า รื้อป้ายที่ปิดผนึกกับโซ่เหล็กออก
ประตูใหญ่ที่ถูกผนึกไว้นานปีถูกเปิดออกในที่สุด เสียงทึบหนักๆ ดังกระทบใจของทุกผู้ทุกคน เพียงชั่วขณะเดียวแท้ๆ แต่ราวกับเวลาผ่านไปเป็นศตวรรษ
คฤหาสน์ยังคงเป็นคฤหาสน์ดังเดิม มีเพียงคนที่แปรเปลี่ยนไป ไม่อาจได้เห็นคนที่เคยอาศัยอยู่ด้านในอีกแล้ว
วัชพืชรกชัฏถูกเหลี่ยวเฉินจัดการง่ายๆ แต่ก็ยังยากจะปิดบังความทรุดโทรมรกร้าง
เซวียนหยวนฉีเดินขึ้นบันไดไปด้วยฝีเท้าหนักอึ้ง ทอดมองเรือนอันเงียบเหงาเก่าโทรม ขอบตาพลันแดงก่ำ “พี่ใหญ่…ข้ากลับมาแล้ว…”
เหลี่ยวเฉินเคยแอบมาคฤหาสน์หลังนี้แล้ว ที่ควรเศร้าโศกก็เศร้าโศกไปหมดแล้ว ทว่าในขณะนี้ ได้กลับมาพร้อมกันกับบิดาอีกครา จึงได้พบว่าความเศร้าโศกที่เคยรู้สึกนั้นไม่นับเป็นอะไรได้เลย
เขาในยามนี้ ได้รู้ซึ้งอย่างแท้จริงแล้วถึงความเศร้าโศกจากการสูญเสียครอบครัว
เป็นความเศร้าโศกที่มาจากบิดา
ซ่างกวานเยี่ยนน้ำตาคลอหน่วย นางสูดหายใจ เอ่ยกับกู้เจียวและอันกั๋วกง “พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
คนรับใช้ปูไม้กระดานไว้บนบันได กู้เจียวเข็นรถเข็นขึ้นไป
ราชาม้าเฮยเฟิงก็ตามเข้ามาด้วย
คราก่อนตอนที่เล่นอยู่ในเรือนนี้ มันยังเป็นเพียงม้าเด็กไร้ทุกข์ไร้โศกตัวหนึ่งอยู่เลย
ยามนี้ มันแก่ชราขึ้นแล้ว
ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยแนะนำให้กู้เจียวฟัง “นี่คือลานฝึกต่อสู้ ตอนนั้นท่านลุงทั้งสองชอบมาประลองกันที่นี่ พวกลูกพี่ลูกน้องชายก็มาฝึกการต่อสู้กันที่นี่เช่นกัน”
“ทางนั้นเป็นเรือนของท่านลุงใหญ่ ทางตะวันออกเป็นเรือนของท่านลุงรอง”
“หลังอาคารนั้นเป็นเรือนของญาติผู้พี่คนโต ทางเหนือไปหน่อยเป็นของญาติผู้พี่คนรอง ถัดไปเป็นญาติผู้พี่คนที่สาม เจ้าสี่และเจ้าห้าตามลำดับ”
นางแนะนำละเอียดมาก
กู้เจียวตั้งใจฟังมาก
นางรู้สึกคุ้นเคยกับคฤหาสน์หลังนี้
ได้ยินอันกั๋วกงเคยเล่าว่า ตอนจิ่งยินยินเด็กๆ มักจะถูกท่านตาขโมยตัวไป เซวียนหยวนจื่อพอตื่นนอน ลูกสาวหาย ก็จะหน้าหงิกกลับบ้านมารดาไปทวงลูกสาวประจำ
“จะไปดูเรือนของเจ้าหกหรือไม่” ซ่างกวานเยี่ยนถาม
“เพคะ” กู้เจียวพยักหน้า
ทั้งคณะไปยังเรือนของเซวียนหยวนสุ่น
ซ่างกวานเยี่ยนทอดมองเรือนที่เต็มไปด้วยวัชพืชขึ้นสูง ก็ยิ้มขื่น “เจ้าหกมักจะบอกว่าตัวเองไร้ประโยชน์ที่สุด เขาไม่รู้เลยว่าเขาเป็นคนเดียวที่รอดพ้นจากเงื้อมมือของคนจำนวนมาก เขาได้ทิ้งเลือดเนื้อเชื้อไขสุดท้ายไว้ให้ท่านลุงใหญ่ เขาได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เอาไว้”
“จริงสิ ตอนนั้นเซวียนหยวนสุ่นหลบหนีไปได้อย่างไรหรือ” กู้เจียวถามเหลี่ยวเฉิน ทั้งคู่ไม่เคยคุยกันเรื่องเกี่ยวกับเซวียนหยวนสุ่นอย่างละเอียดมาก่อนเลย
เหลี่ยวเฉินเล่า “เป็นหันสือ ตอนนั้นบุรุษตระกูลเซวียนหยวนต่างไปรบกันหมด พี่หกร่างกายไม่แข็งแรงจึงรั้งอยู่เซิ่งตู คนตระกูลหันมาไล่สังหารเขา หันสือแสร้งสังหารเขาตาย ปิดบังคนตระกูลหันส่งเขาออกจากเซิ่งตูไป”
กู้เจียวกระจ่างแจ้ง “มิน่า เจ้าถึงได้ปล่อยหันสือไป”
เหลี่ยวเฉินเอ่ย “เสี่ยวลิ่วติดค้างชีวิตเขา ข้าทดแทนเขาแทนเสี่ยวลิ่ว ข้าไม่อยากให้เสี่ยวลิ่วติดค้างเขา”
“แล้วต่อจากนั้นเล่า” กู้เจียวถาม
เหลี่ยวเฉินนึกย้อนไปในอดีต ใจคอเหี่ยวแห้งขึ้นมาหลายส่วนอย่างยากจะเลี่ยง “ข้าเคยแอบกลับแคว้นเยี่ยนมา หนึ่งเพื่อสืบข่าวของท่านพ่อ สอง…ก็อยากกลับมาดูตระกูลเซวียนหยวนนี่ล่ะ ข้ายังไปค่ายเซียนเฟิงเจอเสี่ยวอาเย่ว์ที่เพิ่งเกิดมาด้วย แต่ว่า ตอนนั้นไม่มีใครเห็นข้า นอกจากเสี่ยวลิ่ว”
“ข้าบอกตัวตนที่แท้จริงของข้ากับเสี่ยวลิ่ว และให้ป้ายคำสั่งของหน่วยเงามืดกับเสี่ยวลิ่ว เสี่ยวลิ่วหลบหนีออกมาจากเงื้อมมือคนตระกูลหันแล้ว ก็ใช้ป้ายคำสั่งแผ่นนี้ติดต่อยอดฝีมือหน่วยเงามืดที่อยู่แถวๆ เซิ่งตู และถูกพวกเขาคุ้มกันส่งไปยังแคว้นเจา”
“เขาค้างแรมอยู่แถวๆ วัดของข้า หลายปีให้หลังได้ผูกสัมพันธ์กับสตรีนางหนึ่ง และได้แต่งงานกับนาง น่าเสียดายที่เขาร่างกายอ่อนแอ ซ้ำยังต้องทนทุกข์กับความแค้นทางสายเลือดตระกูลเซวียนหยวนด้วย สถานการณ์เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ จิ้งคงคลอดออกมาได้ไม่นานเขาก็จากไป จากนั้นอีกไม่นาน ข้าก็พบจิ้งคงในห่อผ้าอ้อมหน้าประตูวัด ข้ารู้ว่านั่นเป็นลูกของพี่หก ข้าสังหรณ์ใจไม่ดี จึงรีบไปหาพี่สะใภ้หก พี่สะใภ้หกไม่รู้หายไปไหนแล้ว”
“ข้าตามหามาเนิ่นนานก็หาร่องรอยของพี่สะใภ้หกไม่เจอ ต่อมา ข้าพบรองเท้าของพี่สะใภ้หกอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ข้าคิดว่า…พี่สะใภ้หกน่าจะกระโดดทะเลสาบตาย”
ฟังมาถึงตรงนี้ ทุกคนก็เงียบงันกันหมด
รู้สึกเศร้าแทนเซวียนหยวนสุ่น และรู้สึกเจ็บปวดแทนภรรยาของเขา
รวมถึงเด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนั้นด้วย
เซวียนหยวนฉีเอ่ย “ข้าอยากไปแคว้นเจา ไปพบลูกของเสี่ยวลิ่วหน่อย”
กู้เจียวหันไปมองเหลี่ยวเฉิน เอ่ย “ตอนที่ข้าเดาว่าจิ้งคงกับเจ้าต่างมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเซวียนหยวน เคยสงสัยว่าเขาเป็นลูกชายของเจ้า ต่อมากลับไปตำหนักกั๋วซือเพื่อดูภาพเหมือนของเซวียนหยวนสุ่นหลายครั้ง พบว่าพวกเขาเหมือนกันมากกว่า”
เหลี่ยวเฉินเอ่ยเหน็บ “เฮอะ ข้าเป็นภิกษุนะ”
จะผิดศีลได้อย่างไร
กู้เจียวพยักหน้าเอ่ย “อื้อ เป็นภิกษุที่ผิดศีลข้อหนึ่งกับข้อห้าไปแล้ว”
จะห่างไกลจากข้อสามนักรึ
เหลี่ยวเฉิน “…”
เซวียนหยวนฉีหันมามองบุตรชายตัวเอง เขาอยู่ชายแดนผ่านการฝึกมาหลายเดือนแล้ว สามารถสนทนากับผู้คนได้ดีเยี่ยมแล้ว
เขาเอ่ยด้วยน้ำใสใจจริง “เจิงเอ๋อร์ เจ้าอายุไม่น้อยแล้ว เมื่อก่อนแบกรับความแค้นทางสายเลือดของตระกูลเซวียนหยวนไว้มาก เป็นตายไม่เสียดายชีวิต ไม่อาจสร้างครอบครัวได้ ยามนี้ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว เจ้าก็ควรคิดเรื่องชีวิตคู่ของตัวเองได้แล้ว เจ้ามีแม่นางในใจหรือไม่ หากมีละก็ พ่อจะไปสู่ขอให้เจ้าถึงบ้านเอง ปูมหลังตระกูลพ่อไม่สนใจ ขอแค่เป็นแม่นางที่มีคุณธรรมประจำตระกูลที่ดี จิตใจบริสุทธิ์ จิตใจดีงาม ท่าทางเถรตรงก็พอแล้ว”
เหลี่ยวเฉินตบหน้าผาก
หัวข้อสนทนานี้ไยมันออกทะเลไปเสียแล้วเล่า
กำลังคุยเรื่องเสี่ยวลิ่วกับจิ้งคงกันอยู่มิใช่หรือไร
ไฉนเปิดมาก็เร่งให้ข้าแต่งงานเลยเล่า
เหลี่ยวเฉินถอนใจเอ่ย “ท่านพ่อ ข้าไม่มีคนที่ถูกใจ และข้าก็ไม่คิดจะแต่งงานด้วย ตระกูลเซวียนหยวนมีจิ้งคงก็พอแล้ว เรื่องสืบทอดกิจการตระกูลก็มอบให้เจ้าเด็กนั่นไป ข้าแค่อยากอิสรเสรีคนเดียว อีกอย่าง ข้าก็อายุปูนนี้แล้ว แม่นางที่อายุพอๆ กันกับข้า มีลูกสาวลูกชายเป็นโขยงไปหมดแล้ว ที่ยังไม่ออกเรือน ข้าแต่งมาก็เหมือนเลี้ยงลูกสาวอีกคน ซ้ำท่านก็ตั้งเงื่อนไขเสียสูงด้วย”
เซวียนหยวนฉีหลบเลี่ยงโลกีย์มานานเกินไป ไม่รู้ระดับเฉลี่ยของบุรุษเซิ่งตู
เขาตั้งอกตั้งใจครุ่นคิดมูลค่าของบุตรชายตัวเองอยู่พักหนึ่ง รู้สึกว่าบุตรชายเหมือนจะพูดจามีเหตุผลอยู่บ้าง
เขากัดฟัน ลดมาตรฐานของลูกสะใภ้ลงมาสุดๆ “เช่นนั้น…แค่เป็นคนก็พอแล้ว!”
เหลี่ยวเฉิน “???”
……….