สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 908 เซียวจี่ผู้น่ากระทืบ
บทที่ 908 เซียวจี่ผู้น่ากระทืบ
……….
ณ ห้องทรงอักษร วังหลวง
จักรพรรดินีที่ขึ้นครองราชย์หมาดๆ กำลังยุ่งกับราชกิจ
ซ่างกวานเยี่ยนนั่งอยู่บนเก้าอี้ มองฎีกากองเท่าภูเขาตรงหน้า ไฟแทบจะลุกท่วมหัวหมดแล้ว
“เป็นกษัตริย์มันเหนื่อยเพียงนี้เลยหรือ… ชักจะนึกเสียใจขึ้นมาแล้วสิ…”
ซ่างกวานเยี่ยนกัดฟันกรอด หยิบฎีกาขึ้นมาฉบับหนึ่ง
จักรพรรดิเปลี่ยน ข้าราชบริพารเปลี่ยน เดิมทีคนโปรดของห้องทรงอักษรคือจางเต๋อเฉวียน ยามนี้จางเต๋อเฉวียนติดตามไท่ซ่างหวงไปตำหนักไท่อี่ ซ่างกวานเยี่ยนจึงสนับสนุนขันทีนายหนึ่งที่มานามว่าอู๋ซื่อสี่ขึ้นมาแทน
อู๋ซื่อสี่ยกน้ำแกงเม็ดบัวต้มสุกเข้ามาด้านใน แย้มยิ้มแล้วหยุดลงข้างกายของซ่างกวานเยี่ยน “ฝ่าบาท ท่านตรวจฎีกามาหนึ่งชั่วยามแล้ว พักสักหน่อยเถิด”
ซ่างกวานเยี่ยนวางพู่กันลงบนแท่นวางพู่กัน พิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า “ตรวจมาหนึ่งชั่วยามแล้ว ยังไม่เห็นว่าฎีกาจะลดลงเลย”
อู๋ซื่อสี่หัวเราะ “ฝ่าบาทตรวจไปเยอะแล้วพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างท่านก็เพิ่งจะขึ้นครองราชย์ ขุนนางทั่วทั้งราชสำนักต่างพึ่งพาท่าน ท่านต้องรักษาพระวรกายด้วย”
ซ่างกวานเยี่ยนมองน้ำแกงเม็ดบัวที่เขายื่นมาให้ อู๋ซื่อสี่กระจ่าง เปิดฎีกาที่อยู่ตรงหน้านางออก วางน้ำแกงเม็ดบัวลงข้างมือนางอย่างระมัดระวัง
ซ่างกวานเยี่ยนตักช้อนหนึ่ง กำลังจะดื่ม ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ก่อนจะเอ่ยถาม “ขบวนส่งตัวเจ้าสาวออกเดินทางแล้วกระมัง”
“ออกเดินทางแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อู๋ซื่อสี่เอ่ย “ยามนี้น่าจะออกจากเซิ่งตูไปแล้ว”
ซ่างกวานเยี่ยนถอนใจ
อู๋ซื่อสี่แย้มยิ้ม อยากจะเอื้อนเอ่ยแต่ยั้งไว้
ซ่างกวานเยี่ยนสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา จึงถาม “ยังมีธุระอีกรึ”
“อ่า…” อู๋ซื่อสี่ยิ้มแหยๆ เอ่ย “ท่านชายยี่สิบท่านที่แคว้นจิ้นส่งมาบรรณนาการ…ยังถูกจัดให้อยู่ที่ตำหนักฉู่ซิ่วอยู่เลย ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะให้พวกเขาพักอยู่ที่ใดพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าก็ไม่เคยทำเสียด้วย…” ซ่างกวานเยี่ยนพึมพำเสียงเบา แคว้นจิ้นส่งอะไรมาไม่ส่ง ดันส่งบุรุษรูปงามยี่สิบคนมา นางจะต้องเติมวังหลังให้เต็มอะไรอีก บุตรชายนางโตเพียงนี้แล้ว!
นางหน้าเคร่งเอ่ย “ในบรรดาคนเหล่านี้ ไม่รู้ว่าเป็นสายลับแคว้นจิ้นทั้งหมดหรือไม่ เจ้าจัดการเองแล้วกัน อย่าให้พวกเขาหิวตายก็พอ”
“พ่ะย่ะค่ะ” อู๋ซื่อสี่ยิ้มขานรับ
เขาแอบเสียดาย บุรุษเหล่านั้นรูปงามยิ่งนัก ในเมื่อองค์หญิงได้เป็นจักรพรรดินีแล้ว การขยายวังหลังก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา
“ฝ่าบาท เยี่ยนซานจวินขอเข้าเฝ้า”
เสียงรายงานของขันทีน้อยดังขึ้นหน้าประตู
ซ่างกวานเยี่ยนวางช้อนลง “เรียกเข้ามา”
อู๋ซื่อสี่ทอดมองหน้าประตู กระแอมในลำคอ เปล่งเสียงเอ่ยขึ้น “เรียกตัว…เยี่ยนซานจวินเข้าเฝ้า”
ซ่างกวานเยี่ยนปรายตามองเขาอย่างหมดคำจะพูด
อู๋ซื่อสี่หันกลับมา ยิ้มแหยๆ ให้ “บะ…บ่าวก็เพิ่งทำหน้าที่ครั้งแรกเช่นกัน”
เรียกคนเข้าเฝ้าเป็นแล้ว เลยติดใจน่ะสิ
เยี่ยนซานจวินเข้ามาในห้องทรงอักษร ประสานมือคำนับให้ “ฝ่าบาท”
ซ่างกวานเยี่ยนถาม “วันนี้เสด็จอามาหามีธุระอะไรหรือ”
เยี่ยนซานจวินมองไปด้านข้างซ้ายขวา
“พวกเจ้าออกไปก่อน” ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ย
“พ่ะย่ะค่ะ!” อู๋ซื่อสี่กับนางกำนัลขันทีในห้องทรงพระอักษรออกไปอย่างนอบน้อม
ซ่างกวานเยี่ยนเห็นเยี่ยนซานจวินจ้องชามของตัวเอง นางจึงดันชามไป “ท่านอยากกินน้ำแกงเม็ดบัวหรือ ข้ายังไม่ได้แตะ”
เยี่ยนซานจวินนั่งลงหน้าโต๊ะทรงพระอักษร หยิบน้ำแกงเม็ดบัว แล้วหยิบถ้วยชาเปล่าที่อยู่ข้างๆ มาด้วย
เขายิ้มนิ่งพลางเอ่ย “ขอไม่ปิดบังแล้วกัน วันนี้ข้ามาลาฝ่าบาท”
ซ่างกวานเยี่ยนถาม “ท่านจะไปอีกแล้วรึ”
เยี่ยนซานจวินยิ้มจางพลางเอ่ย “เซิ่งตูไม่มีธุระของข้าแล้ว ข้าอยากพาเสี่ยวเสวี่ยออกไปเดินเล่น”
ซ่างกวานเยี่ยนพึมพำ “พากันไปกันหมด…”
เยี่ยนซานจวินชะงัก เอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยน “นอกจากนี้ ข้าก็มาขอให้ฝ่าบาทริบฐานันดรราชวงศ์ของข้ากลับคืนด้วย”
ซ่างกวานเยี่ยนมองเขาด้วยความประกลาดใจ “เหตุใดต้องริบกลับคืนเล่า เรื่องที่ท่านซุกซ่อนกำลังทหารโดยพลการ เราก็บอกแล้วว่าจะไม่ซักไซ้เอาความ”
“ไม่ใช่สาเหตุนี้หรอก” เขาก้มหน้า แย้มยิ้มอย่างขื่นขม “เดิมทีข้าก็ไม่ใช่ราชวงศ์ต้าเยี่ยนอยู่แล้ว เป็นลูกของเสด็จแม่กับชาวทูเจวี๋ย”
“เรารู้” ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ย
นางจ้องเขาตาไม่กะพริบ ผ่านความเป็นความตายโดยเปล่าประโยชน์มาตั้งมากมาย แววตานางไร้ความใสซื่ออ่อนต่อโลกอย่างเด็กสาวอีกแล้ว มีแต่เพิ่มความหนักแน่นดื้อดึงของผู้อยู่เหนือคน
สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนไปคือ ยามอยู่ต่อหน้าคนที่ตัวเองไว้วางใจมากพอ นางจะไร้ความคิดอ้อมค้อมใดๆ
เยี่ยนซานจวินเบนสายตาหนี ไปทอดมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ก่อนทอดถอนใจอย่างจนปัญญา “นอกจากนี้ ข้ากับเสด็จพี่ก็ไม่ใช่พี่น้องมารดาเดียวกัน เสด็จพี่เป็นโอรสที่เสด็จแม่อุ้มมาจากทางหลิวเหม่ยเหริน ตอนนั้นเสด็จแม่คลอดทารกหญิงออกมา หลิวเหม่ยเหรินคลอดโอรสออกมา เพื่อให้ตำแหน่งมั่นคง เสด็จแม่กับหลิวเหม่ยเหรินจึงสลับตัวเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง หลิวเหม่ยเหรินวาสนาน้อย ไม่กี่ปีก็ป่วยตาย เจ้าวางใจได้ เสด็จแม่ไม่ใช่คนวางยาพิษหรอก ไม่เช่นนั้นเสด็จพี่ไม่มีทางกตัญญูต่อเสด็จแม่เพียงนี้”
ซ่างกวานเยี่ยนตกใจ “นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย…แล้วเขาทราบหรือไม่”
เยี่ยนซานจวินหันมามองนางอีกหน “เจ้าหมายถึงเสด็จพี่น่ะหรือ เขาน่าจะรู้ องค์หญิงใหญ่อันเล่อก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเสด็จแม่”
ซ่างกวานเยี่ยนนึกย้อนทวนความทรงจำเอ่ย “มิน่าเล่าเขากับท่านป้าอันเล่อจึงได้สนิทสนมกันเพียงนั้น ซ้ำยังบอกให้ข้าโตแล้วต้องกตัญญูต่อนางด้วย”
เยี่ยนซานจวินเอ่ย “เมืองบรรดาศักดิ์ขององค์หญิงใหญ่อันเล่ออยู่ที่หนานจวิ้น นอกจากเมืองบรรดาศักดิ์ในปีนั้นของท่านแล้ว ก็เป็นเมืองบรรดาศักดิ์ที่มั่งคั่งที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว”
ซ่างกวานเยี่ยนมองเขาด้วยความสงสัย “จู่ๆ เหตุใดท่านจึงบอกเรื่องพวกนี้กับข้าเล่า”
เยี่ยนซานจวินยิ้มเอ่ย “หากไม่บอกเจ้า เจ้าจะยอมริบฐานันดรข้าคืนได้อย่างไรเล่า”
ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ท่านไม่อยากเป็นเสด็จอาข้าเพียงนี้เชียวรึ”
เยี่ยนซานจวินแบมือทอดถอนใจ “โดนเจ้ารังแกตั้งแต่เด็กจนโต ตำแหน่งเสด็จอานี้ไม่สนุกเลยสักนิด”
ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย…ใครให้ท่านไม่ระวัง…”
“เอาละ” เยี่ยนซานจวินเอ่ย
“เอาละอะไร” ซ่างกวานเยี่ยนชะงัก
เยี่ยนซานจวินวางน้ำแกงเม็ดบัวคืนตรงหน้านาง “เจ้าชอบกินน้ำแกงเม็ดบัว แต่ไม่เคยชอบกินเม็ดบัว”
ซ่างกวานเยี่ยนมองเม็ดบัวที่ถูกเขาตักไปไว้ในถ้วยเปล่าอย่างนิ่งอึ้ง “ข้ามีนิสัยเช่นนี้ด้วยรึ”
นางทรหดอดทนในด้านอาหารการกิน เสื้อเครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและการเดินทาง ไม่เคยสนใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้เลย อู๋ซื่อสี่ถามว่านางอยากกินอะไร นางตอบไปอย่างนั้นว่าน้ำแกงเม็ดบัว
แต่พอยกน้ำแกงเม็ดบัวมาจริงๆ นางก็ไม่กินเลย
ที่แท้ก็ไม่ชอบเม็ดบัวในนี้หรือนี่
เยี่ยนซานจวินหัวเราะพลางลุกขึ้นยืน “ฝ่าบาทราชกิจรัดตัว ข้าขอตัวก่อน”
ซ่างกวานเยี่ยนพยักหน้า
เยี่ยนซานจวินหันหลังเดินออกจากห้องทรงอักษร ตัวคนออกไปแล้ว จู่ๆ เขาก็ชะงักฝีเท้าอีก “ซ่างกวานเยี่ยน พบกันคราหน้า ข้าก็ไม่ใช่เสด็จอาของเจ้าแล้วนะ”
…
ขบวนส่งตัวเจ้าสาวออกจากเซิ่งตูอย่างเอิกเกริก
เซวียนหยวนฉีไม่ชอบนั่งรถม้า เขาจึงขี่ม้าแทน
เหลี่ยวเฉินก็ขี่ม้าเป็นเพื่อนเขา
สองพ่อลูกเสพสุขกับช่วงเวลาเอ้อระเหยหลังได้พบกันอีกครั้ง
ส่วนปู่หลานตระกูลกู้และถังเย่ว์ซานที่เดิมทีก็อยากขี่ม้าเช่นกัน ยามนี้กลับจำต้องนั่งรถม้าแทน
ถังเย่ว์ซานจมูกช้ำหน้าบวม บนหัวปูดบวมเป็นลูกใหญ่ แขนซ้ายพันห้อยไว้กับคอตัวเอง บนหน้าเขามีแผ่นพลาสเตอร์ลายหมูน้อยเป๊บป้าพิกสีชมพูแปะอยู่ ในรูจมูกซ้ายยัดสำลีไว้ก้อนหนึ่ง
เรียกได้ว่าอเนจอนาถยิ่ง
เขาเอ่ยอย่างน้อยใจในความไม่เป็นธรรม “ข้าก็แค่พูดความจริงเท่านั้นเองมิใช่หรือ ดูพวกเจ้าซัดข้าสิ…ตั้งหลายคนร่วมมือกันรังแกข้าคนเดียว…ไม่มีคุณธรรมเอาเสียเลย…”
กู้เฉิงเฟิงแค่นเสียงเย็น “สมน้ำหน้า! ซี้ดดด”
เพิ่งจะเอ่ยจบเขาก็สูดปากซี้ด
อาการของเขาไม่ได้ดีไปกว่าถังเย่ว์ซานเท่าใด
พอท่านปู่ทราบว่าเขาคือมหาโจรเฟยซวง ก็จัดการเขาอย่างแรงยกใหญ่ เขาก็มีแต่ผ้าพันแผลพันตัวไปหมดเช่นกัน
กู้ฉังชิงนั้นต่างออกไป เขาไม่ได้โดนต่อย ซ้ำยังไม่ได้โดนลงโทษด้วย แต่ความศรัทธาของเขาพังทลายลงแล้ว เขานั่งเหม่อลอยอยู่บนรถม้า ราวกับหุ่นไม้ไร้วิญญาณ
ท่านโหวเหย่ถลึงตามองทั้งสามคนอย่างไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่าน กุมผ้าพันแผลตรงหน้าผากตัวเองเงียบๆ
เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน เพราะกระอักกระอ่วนเกินไป รีบร้อนออกจากที่ตรงนั้นเกินไปหน่อย สุดท้ายเท้าลื่นพรืดล้มคะมำ หน้าผากกระแทกธรณีประตู หัวเกือบแตกแล้ว
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ คนเดียวที่น่าจะไม่กระอักกระอ่วนก็คงเป็นกู้เจียวแล้ว
นางไม่ได้รับผลกระทบจากการทำความแตกเลย นั่งอยู่ในรถม้าอย่างเอ้อระเหย นับทองคำที่อันกั๋วกงให้นาง
“พวกนี้ของข้าหมดเลยหรือ” นางกอดกล่องใบน้อยเอาไว้ แล้วมองกล่องใบน้อยเก้าใบบนพื้น
อันกั๋วกงยิ้มด้วยความรักเอ็นดู “อืม ของเจ้าหมดเลย”
กู้เจียวเบิกบานใจยิ่ง!
นางตั้งอกตั้งใจนับทองคำ อันกั๋วกงมองนางอย่างอบอุ่น แสงตะวันยามบ่ายส่องลอดหน้าต่างที่เปิดกว้างเข้ามา ภายในรถม้างดงามเงียบสงบ
…
ถนนหนทางหลังเข้าสู่วสันตฤดูเดินเหินสะดวกกว่ายามเหมันต์
หลังจากเดินทางไกลหนึ่งเดือนเต็มๆ ในที่สุดทั้งขบวนก็มาถึงเมืองหลวงแคว้นเจา
นี่ไม่ใช่งานแต่งงานธรรมดาเท่านั้น ยังเป็นการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ครั้งแรกระหว่างสองแคว้นด้วย เซวียนหยวนฉี อันกั๋วกง เหลี่ยวเฉินต่างมาเยือนแคว้นเจาในฐานะทูตแห่งแคว้นเยี่ยน
เส้นทางที่พวกเขาใช้เดินทางล้วนถูกหอพักม้าแต่ละแห่งใช้ม้าเร็วเพิ่มบังเหียนส่งข่าวเข้าวังหลวง ฮ่องเต้แคว้นเจาทรงตื่นเต้นยิ่ง นี่เป็นการมาเยือนครั้งแรกของแคว้นเยี่ยน พระองค์ทรงให้ความสำคัญมาก สั่งให้คนออกจากเมืองไปต้อนรับตั้งแต่เช้า ทั้งยังจัดงานเลี้ยงต้อนรับในวังหลวงด้วย
เมื่อข่าวแพร่ไปถึงตรอกจูเชวี่ย องค์หญิงซิ่นหยางกำลังฝึกคัดอักษรเป็นเพื่อนซ่างกวานชิ่งอยู่ในเรือน
ซ่างกวานชิ่งได้รู้ซึ้งถึงความเข้มงวดของมารดาแท้ๆ ในที่สุด
แบบคัดอักษรวันละสิบแผ่น ฝึกไม่เสร็จห้ามกินข้าว
เซวียนผิงโหวกำลังหยอกลูกสาวเล่นอยู่ในเรือน
อีอีน้อยอายุห้าเดือนแล้ว ไม่กี่วันก่อนเพิ่งจะคว่ำเองเป็น ยามนี้นางกำลังหมอบอยู่บนเตียงไม้ไผ่หลังใหญ่ ถูกบิดาหยอกเย้าให้หัวเราะเอิ๊กอ๊าก
“เจ้าว่าอย่างไรนะ ทูตของแคว้นเยี่ยนมาถึงแล้วรึ เช่นนั้น คนของจวนกั๋วกงก็มาถึงแล้วน่ะสิ” องค์หญิงซิ่นหยางหันไปมององครักษ์ที่รายงานตนหน้าประตู นางรู้ว่ากู้เจียวพักอยู่ที่จวนกั๋วกง
องครักษ์ประสานมือ “ทูลองค์หญิง อันกั๋วกงกับท่านชายน้อยมาถึงกันหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขบวนริ้วแดงสิบลี้ก็มาถึงแล้วเช่นกัน”
องค์หญิงซิ่นหยางชะงัก “ขบวนริ้วแดง…ของท่านชายน้อยอะไร”
องครักษ์ก็เพิ่งสืบได้ข่าวจากหอพักม้ามาเช่นกัน เขาชำเลืองมองเซวียนผิงโหวที่อยู่ข้างๆ ราวกับคนไม่เกี่ยวข้อง กัดฟันฝืนเอ่ยไป “เห็นว่า…เหล่าโหวเหย่ส่งคนไปสู่ขอท่านชายน้อยแห่งจวนอันกั๋วกง อันกั๋วกงรับปากตกลงกับงานมงคลครานี้แล้ว พาบุตรชายมาแต่งงานกับท่านโหวน้อย ยะ…ยามนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงลือกันทั่วแล้ว บอกว่าท่านโหวน้อยจะแต่งบุรุษเป็นภรรยา…”
องค์หญิงซิ่นหยางหันมองเซวียนผิงโหว เสียงพู่กันในหัตถ์หักดังเป๊าะ “เซียวจี่!!”
……….