สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 909 สามีภรรยาพานพบ
บทที่ 909 สามีภรรยาพานพบ
……….
นางก็ว่าอยู่หมู่นี้ไยเขาไม่ยั่วโมโหนางเลยเล่า
ก็นึกว่ามีลูกสาวแล้วเขาจะกลายเป็นบิดาผู้เมตตาเหมือนคนอื่นบ้างเสียที!
แต่ดูสิว่าเขาทำอะไรลงไป!
…เซียวจี่เงียบงันไป ต้องกำลังเล่นพิเรนทร์อยู่แน่!
ซ่างกวานชิ่งมองพู่กันที่โดนหักครึ่งด้ามนั้น ถลึงตาโต ไม่กระมัง ท่านแม่องค์หญิงที่แท้ก็โหดเพียงนี้เชียวหรือ
เซวียนผิงโหวกระแอมเบาๆ เอ่ยโดยไม่กระโตกกระตาก “เรียกข้าหรือ”
องค์หญิงซิ่นหยางโมโหจนตัวสั่นเทิ้ม “เรื่องดีๆ ที่เจ้าทำน่ะ! เจ้าแอบไปสู่ขอท่านชายน้อยจวนกั๋วกงลับหลังข้าตั้งแต่เมื่อใด ท่านชายน้อยรึ เจ้าเห็นอาเหิงเป็นอะไร!”
เซวียนผิงโหวเข็ดฟันนัก
ท่านชายน้อยจวนกั๋วกงก็คือกู้เจียว เขาไปสู่ขอกู้เจียวให้ลูกชายก็ถูกแล้วนี่นา เขาก็แค่เล่นซนนิดหน่อย คนปกติไม่มีทางรับมุกนี้ของเขาหรอก ต้องให้กู้เจียวแต่งออกมาด้วยฐานะของคุณหนูอยู่แล้ว
ไอ้คนแซ่จิ่ง เจ้าเล่นใหญ่เพียงนี้เชียวรึ
เพลิงโทสะขององค์หญิงซิ่นหยางยังคงปะทุต่อไป “ยามนี้ดีนัก! ทั่วทั้งบ้านทั้งเมืองรู้กันหมดแล้วว่าอาเหิงจะแต่งกับบุรุษ!”
นางมองปราดไปเห็นแท่นฝนหมึกบนโต๊ะ
ซ่างกวานชิ่งหนังตากระตุกยิกๆ เขารีบเอื้อมมือไปจับแท่นฝนหมึกไว้
องค์หญิงซิ่นหยางกัดฟันกรอด เปลี่ยนไปคว้าที่ทับกระดาษบนโต๊ะแทน ซ่างกวานชิ่งจับที่ทับกระดาษไว้อย่างคล่องแคล่วว่องไว
องค์หญิงซิ่นหยางไปคว้าแส้บนม้านั่งหินแทน
ซ่างกวานชิ่งโผไปกดแส้เอาไว้
องค์หญิงซิ่นหยางโมโหจนควันออกหู “เซียวชิ่งเจ้าหลบไป! เจ้าก็อยากโดนอีกคนใช่หรือไม่!”
ซ่างกวานชิ่งชำเลืองมองบิดาตัวเองแวบหนึ่ง ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นหลบเงียบๆ
เซวียนผิงโหว “…”
องค์หญิงซิ่นหยางคว้าแส้ขึ้นมา “อวี้จิ่น อุ้มอีอีกลับห้อง”
อวี้จิ่นแอบส่ายหน้า เดินไปหาสองคนพ่อลูก
เซวียนผิงโหวย่อมไม่มีทางนั่งรอความตายอยู่แล้ว ทะยานกายขึ้นใช้วิชาตัวเบาออกไปแล้ว!
องค์หญิงซิ่นหยางยิ่งโมโหหนัก กำหมัดดังกรอบ
“ว้าว!” อีอีตัวน้อยที่อยู่บนเตียงไม้ไผ่พลิกตัวนอนหงาย ยื่นแขนน้อยๆ ขาวนุ่มไปหาองค์หญิงซิ่นหยาง
“องค์หญิง” อวี้จิ่นหันกลับมามองนาง
องค์หญิงซิ่นหยางถอดใจด้วยความจนปัญญา ยื่นแส้ให้ซ่างกวานชิ่ง ส่วนตัวเองเดินไปอุ้มเจ้าหนูน้อยบนเตียงไผ่ขึ้นมา
อีอีน้อยคว้าเสื้อส่วนหน้าของนางไว้ ซุกหัวน้อยๆ เริ่มหานมกิน
องค์หญิงซิ่นหยางมองเจ้าหนูน้อยที่ลงมือเอง ทั้งเคืองทั้งขัน เพลิงโทสะพลันลดลงกว่าครึ่ง “เจ้าเด็กฉลาด”
…
คณะทูตแคว้นเยี่ยนออกจากหอพักม้า มาถึงประตูเมืองตะวันตกในยามโหย่ว[1] หน้าประตูเมือง ทูตแคว้นเจาที่ออกมาต้อนรับกำลังรอต้อนรับกันตั้งนานแล้ว
นำหน้าด้วยชายหนุ่มในชุดขุนนางสีชาดคนหนึ่ง
ในแคว้นเจานั้น ชุดเครื่องแบบขุนนางของขุนนางขั้นเก้าคือสีคราม ขั้นเจ็ดขึ้นไปเป็นสีเขียว ขั้นห้าขึ้นไปเป็นสีแดง ขั้นสามจึงเป็นชุดคลุมสีม่วง
ชายหนุ่มคนนี้ยังหนุ่มยังแน่น ดูๆ ไปอายุแค่ยี่สิบปีเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจะอยู่ขั้นห้าแล้ว
เขาสวมหมวกขุนนางสีดำ ผิวพรรณดุจหยก ดวงหน้าประณีต
บนตัวเขามีกลิ่นอายสูงส่งรุ่งโรจน์ดุจหยก ยืนอยู่ข้างกายขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่งแล้วไม่ด้อยไปกว่ากันเลย
เมื่อขบวนเข้ามาใกล้
ราชเลขาหยวนก็โบกมือให้เขา บ่งบอกให้เขาไปต้อนรับ
แล้วประสานมือคำนับให้เซวียนหยวนเจิงที่อยู่ข้างๆ “ท่านชายใหญ่เซวียนหยวน”
เหลี่ยวเฉินสวมเกราะและหมวกรบ จึงไม่มีผู้ใดเห็นหัวโล้นของเขา ไม่เช่นนั้นคำว่าท่านชายใหญ่นี้ยังไม่รู้ว่าจะทำคนตกใจกันเท่าใด
สองพ่อลูกมองชายหนุ่มตรงหน้า แววตาพลันมีประกายอึ้งทึ่งวาบผ่าน
เพราะสวมกวานแล้ว หรือว่าอยู่ในชุดขุนนางก็ไม่ทราบ เหมือนจะสุขุมขึ้นไม่น้อย
“ผู้มาคือใคร มีธุระอะไร” เซวียนหยวนฉีเก๊กเสียงถาม
เขามองรถม้าคันแรกหน้าขบวน แววตาลุ่มลึกเอ่ย “เซียวเหิงจวนเซวียนผิงโหว มาต้อนรับว่าที่ภรรยาของข้า”
ประโยคนี้เอ่ยออกไป บรรยากาศ ณ ที่นั้นก็พลันเปลี่ยน
ทหารม้าวายุทมิฬไม่รู้ว่ากู้เจียวเป็นหญิง แต่ละคนพึมพำกันอย่างไม่แยแส ว่าที่ภรรยาของเจ้าอะไรกัน ผู้บัญชาการน้อยของพวกเราเป็นบุรุษโว้ย!
“เฮ้ย เหวินเหรินชง เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าเซียวเหิงผู้นี้ดูๆ ไปค่อนข้างคุ้นตานะ เคยเห็นที่ไหนมาก่อนหรือไม่”
เหวินเหรินชง “พระนัดดาองค์โต…”
“ว่าอย่างไรนะ” จ้าวเติงเฟิงถาม
“เขาหน้าตาเหมือนพระนัดดาองค์โตเลย” เหวินเหรินชงเอ่ย “ยกเว้น…ไฝรองน้ำตาเม็ดนั้นบนหน้า”
จ้าวเติงเฟิงคางแทบจะร่วง “ไม่กระมัง…พระนัดดาของพวกเรา…ไม่สิ ยามนี้คือองค์ชายแล้ว…จะมาเป็นท่านโหวน้อยที่แคว้นเจารึ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
เหวินเหรินชงเอ่ยนิ่งๆ “เจ้าถามข้า แล้วข้าจะไปถามใครเล่า”
พวกเขากับหลี่เซินเป็นคนส่วนน้อยที่ไม่ตกใจเรื่องผู้บัญชาการน้อยจะแต่งงานกับบุรุษ อย่างไรเสียตอนนั้นในค่ายทหาร พวกเขาก็เคยเห็นผู้บัญชาการน้อยยักคิ้วหลิ่วตาให้พระนัดดามาก่อน
เฮ้อ ผู้บัญชาการน้อยดีมากเพียงใด อยากจะเลี้ยงสตรีแบบใดล้วนมีหมด ดันมาชอบบุรุษ
ม่านรถม้าปิดสนิท ได้ยินเพียงเสียงเด็กหนุ่มอ่อนต่อโลกใสกังวานดังขึ้นภายใน “ว่าที่ภรรยาเจ้าคือผู้ใด”
เซียวเหิงจ้องม่านรถม้าตาไม่กะพริบ ราวกับกำลังมองลอดหน้าต่างไปยังสตรีภายในรถม้า “คือคนที่นั่งอยู่ในรถม้า”
“ในรถม้ามีเพียงข้าคนเดียว ข้าเป็นบุรุษ เจ้าพิจารณาให้ดี จะสู่ขอข้าจริงๆ รึ”
เซียวเหิงเอ่ยโดยไม่ลังเล “จริง! ต่อให้ขุนเขาทลายแผ่นดินแตกแยกก็จะแต่ง! ไม่ว่าเจ้าจะเป็นบุรุษ หรือสตรี ล้วนเป็นภรรยของข้าเซียวเหิง!”
ใต้หลังคารถม้า เสียงกระดิ่งลมแกะลายฉลุสั่นไหวตามแรงลมเบาๆ ราวกับเสียงเด็กสาว
เซวียนหยวนฉีหลับตาลง ซุกสองมือเข้าในแขนเสื้อกว้าง
จบเห่แล้ว ยามนี้จบเห่แล้ว
เสาหลักเสนาบดีที่เขาสนับสนุนขึ้นมาใหม่ ประกาศว่าจะแต่งกับบุรุษ ขุนนางตั้งมากตั้งมายไหนจะปวงชนล้วนได้ยินกันถ้วนทั่วแล้ว เรื่องนี้แก้ต่างไม่ได้แล้ว
เซียวเหิงหนอเซียวเหิง เพื่อจะแต่งภรรยาคนหนึ่ง แม้แต่ชื่อเสียงขุนนางของตัวเองก็ไม่สนใจแล้วหรือ
“เฮ้อ” เซวียนหยวนฉีทนดูไม่ได้แล้ว
พรึ่บ
ม่านรถม้าถูกเลิกเปิดขึ้น
เงาร่างอรชรก้มตัวเดินออกมา
กระโปรงยาวผูกเอวสีคราม เอวคอดกิ่วมือเดียวโอบมิด ผมยาวจรดเอว ผมดำขลับนุ่มสลวยเป็นประกายดุจแพรพรรณ เกล้าผมมวยเดี่ยวไว้เหนือศีรษะ ผมดำขลับพริ้วตามลม
คิ้วตานางกระจุ๋มกระจิ๋มงดงาม บนหน้าข้างซ้ายมีปานสีชาด
ทุกคนต่างตื่นตะลึงกันหมด
ดวงตาทหารม้าวายุทมิฬกับหน่วยเงามืดแทบจะถลนออกจากเบ้ากันหมดแล้ว
ไม่กระมัง
พวกเขาตาฝาดกระมัง
เด็กสาวตรงหน้าไฉนจึงใบหน้าพิมพ์เดียวกันกับผู้บัญชาการน้อยเลยเล่า
นี่ไม่ใช่เรื่องจริง!
เหวินเหรินชงเป็นคนสงบนิ่งที่สุด แต่ยามนี้แม้แต่เขาก็ยังทนไม่ไหว เขาพลิกตัวลงจากหลังม้า มาหยุดหน้ารถม้า เลิกม่านรถขึ้น!
ในรถม้าว่างเปล่า!
ไม่มีคนที่สองแล้ว!
ดังนั้น…นางคือผู้บัญชาการน้อย!
เป็นสตรี!
ผู้บัญชาการน้อยที่ร่วมศึกกับพวกเขามาเนิ่นนานเพียงนั้น…นึกไม่ถึงว่าจะเป็นสตรีจริงๆ
ผู้บัญชาการน้อยอายุยังน้อย ลำบากลำบนกับพวกเขามามากมาย ก็มากพอให้ตกใจและสงสารแล้ว ใครจะคิดว่านางจะเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่งด้วย…
“ตอนข้ามทะเลสาบน้ำแข็ง นางกระโดดลงน้ำเป็นคนแรก ข้าเคยเหยียบบนไหล่นางด้วย…”
“ตอนโจมตีเมืองผู่ นางรับฝ่าเท้าแทนข้า ฝ่าเท้านั้นกระทืบท้องนางอย่างจังเลย…”
“พะ…พวกเรายังไม่สนใจนางอีกด้วย…”
“ขะ…ข้าเคยเหี้ยมกับนาง…พวกเจ้าเล่า…”
ทุกคนต่างกุมอก มารดามันเถิด! โหดร้ายนัก! ปวดใจยิ่ง!
“ข้ายังเรียกนางไปชิ้งฉ่องในป่าด้วยกันด้วย…” ทหารม้าวายุทมิฬนายหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว
เหล่าสหายหันขวับมามองเขา
เขาสะดุ้งโหยง “ไม่ใช่นะ ข้าไม่รู้เสียหน่อยว่านางเป็น…”
ใช่ไม่ใช่อะไรล่ะ มันน่าซัดนัก!
ทหารม้าน้อยผู้น่าสงสารโดนรุมกระทืบด้วยประการฉะนั้น
“เฮ้อ เด็กคนนี้” เหลี่ยวเฉินหันหน้าหนี เขาก็ทนดูไม่ได้แล้วเช่นกัน
ตามใจว่าที่สามีเช่นนี้ ไม่กลัวแต่งไปแล้วสามีเป็นใหญ่รึ
กู้เจียวมาหยุดตรงหน้าเซียวเหิง เหลือบตาขึ้นนิดๆ ทอดมองเข้าไปในแววตาลุ่มลึกของเขา “ไม่ได้พบกันเสียนาน ว่าที่สามี”
เซียวเหิงจับผมนางที่ถูกลมพัดไปทัดหลังหูให้ หัวเราะเบาๆ “ไม่ได้พบกันนาน ว่าที่ภรรยา”
…
ขุนนางของทั้งสองฝ่ายทักทายกันพอเป็นพิธี จี้จิ่วอาวุโสกล่าวว่าฝ่าบาทแคว้นเจาทรงจัดงานเลี้ยงต้อนรับในวังหลวงแล้ว เชิญทูตทุกท่านไปร่วมงานที่วังหลวง
อันกั๋วกงกับจี้จิ่วอาวุโสนำหน้าไปก่อน
กู้เจียวกับเซียวเหิงพาเซวียนหยวนฉีและเหลี่ยวเฉินไปพบเสี่ยวจิ้งคงที่ตรอกปี้สุ่ย
ภายในตรอกมีบรรยากาศทิวทัศน์ยามค่ำคืนเต็มไปด้วยแสงระยิบระยับ ท่านป้าหลิวกำลังนั่งป้อนหลานชายน้อยของตัวเองบนธรณีประตูบ้าน พอหันหน้ามาเห็นเซียวเหิงกับกู้เจียว ดวงตานางพลันเป็นประกาย “ลิ่วหลัง! เจียวเจียว!”
เซียวเหิงทักทาย “ท่านป้าหลิว”
กู้เจียวหยักยกมุมปาก “ท่านป้าหลิว”
“ไอ้หยา! ชุ่ยเอ๋อร์! เจียวเจียวกลับมาแล้ว!” ท่านป้าหลิวตะโกนเรียกเข้าไปในห้อง แล้วเอ่ยกับกู้เจียวต่อ “ได้ยินว่าเจ้าไปเยี่ยมญาติ ไยจึงได้ไปนานนักเล่า พวกลิ่วหลังเขากลับมาตั้งหลายหนแล้ว เจ้าไม่กลับมาเลย…เข้ามานั่งในห้องสิ! เอ๋ พวกเขาเป็นใครรึ”
นางเห็นเหลี่ยวเฉินกับเซวียนหยวนฉีที่สวมชุดเกราะภายใต้แสงอัสดง
เซวียนหยวนฉีเอ่ยอย่างสุภาพ “ข้าคือท่านตาของเจียวเจียว เขาเป็นลูกชายข้า เจิงเอ๋อร์”
“อ่า…” ท่านป้าหลิวมองพวกเขาทั้งสองตาไม่กะพริบ รูปงามก็งามอยู่หรอก แต่คนหนึ่งอายุมากไปหน่อย อีกคนก็อายุน้อยไปนิด
ครั้นคิดได้แล้วก็ไม่มองพวกเขาอีก นางจูงข้อมือหลานชายตัวน้อย “หู่จื่อ ทักทายสิ นี่พี่เจียวเจียวของเจ้า!”
หู่จื่อวัยสามขวบจำกู้เจียวไม่ได้แล้ว หลบอยู่ด้านหลังท่านป้าหลิวอย่างเขินอาย
ในขณะนั้นเอง ชุ่ยเอ๋อร์ บุตรสาวของท่านป้าหลิวก็เดินมา เชิญพวกเขาเข้าไปในนั่งในห้อง กู้เจียวปฏิเสธอ้อมๆ บอกว่าวันหลังจะมาใหม่
ท่านป้าหลิวแย้มยิ้มอย่างเอาใจใส่ “ก็จริง ที่บ้านล้วนคิดถึงเจ้า เจ้ารีบกลับเถิด!”
“เจียวเจียวกลับมาแล้วหรือ”
หน้าประตูเรือนของนายใหญ่จ้าวถูกลากเปิดออก จ้าวต้าเหนียงเดินออกมา
กู้เจียวอมยิ้มทักทายนาง ถามนางว่าหมักไข่เค็มเป็นอย่างไรบ้าง ผักดองกินหมดหรือยัง
เซวียนหยวนฉีมองกู้เจียว แววตามีความตกใจวาบผ่าน
นางเปลี่ยนไปเป็นคนที่เข้าหาผู้คนง่ายแล้ว
มีท่าทางคลุกคลีชาวบ้านเช่นนี้…เป็นสิ่งที่พี่ใหญ่อยากเห็นมาโดยตลอด
ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงหน้าบ้านตัวเอง ประตูเรือนบานใหม่เปิดแง้มอยู่
ยามนี้ เด็กๆ ในบ้านน่าจะเลิกเรียนกลับมากันแล้ว
กู้เจียวจงใจไม่ส่งเสียง ยกมือเคาะประตู
เสียงฝีเท้าเด็กนุ่มนิ่มดังลอยมาจากลานเรือน
จากนั้น กู้เสี่ยวเป่าที่เพิ่งหัดเดินก็ชะโงกหน้าออกมาจากซอกประตู
[1] ยามโหย่ว 17.00-19.00 น.
……….