สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 91 แม่บังเกิดเกล้า
ท่านโหวกู้รอด้านนอกมาพักใหญ่ รอจนแทบจะเผลอหลับไป ในที่สุดแม่นางเหยาก็ออกมาเสียที
ใบหน้าของแม่นางเหยาเต็มไปด้วยคราบน้ำตา สองตาบวมแดง ดูท่าทางคงร้องไห้หนักพอสมควร
ท่านโหวกู้ก้าวเร็วดั่งศรธนูพุ่งตัวเข้าไปหา พลางประคองไหล่ฮูหยินไว้ “ฮูหยิน!”
แม่นางเหยาพยักหน้า พยายามกลั้นน้ำตา ก่อนจะหันไปมองหญิงชราที่อยู่ท้ายเรือนแล้วโค้งคำนับให้อีกฝ่าย “แม่เฒ่า ข้าไปก่อนนะเจ้าค่ะ ฝากรบกวนท่านช่วยดูแลเจียวเจียวด้วยนะเจ้าคะ”
แม่นางเหยาไม่เคยเข้าวังมาก่อน ย่อมไม่เคยพบหญิงชราผู้นี้เป็นธรรมดา แต่ก่อนนางมายังที่นี่นางรู้ว่าในบ้านหลังนี้มีท่านย่าของเซียวลิ่วหลังอยู่ ท่านย่าเองก็ดีกับเจียวเจียวไม่น้อย
หญิงชรามองนางด้วยความงุนงง ทว่ากลับไม่สนใจใยดี
แม่นางเหยาขอให้ท่านโหวกู้นำขนมที่ลืมหยิบลงมาจากรถม้ามาให้ ก่อนจะมอบให้กับหญิงชราด้วยตัวเอง “ขนมที่ข้าทำเอง ไม่รู้ว่าจะถูกปากท่านหรือเปล่า”
อืม สีหน้าของหญิงชราดีขึ้นไม่น้อย
วินาทีที่แม่นางเหยาหันหลังกลับนั้น จู่ๆ หญิงชราก็ขานตอบนางขึ้นมา
“…” แม่นางเหยาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะได้สติกลับมา หญิงชราคงตอบคำถามเมื่อครู่ของนางสินะ
เพราะเห็นขนมแล้วถึงได้ยอมเหลียวแลอย่างนั้นหรือ
แต่ก็ไม่นับว่าเหลียวแลเสียทีเดียว เรียกว่าแสดงอารมณ์สักนิดเสียมากกว่า
แม่นางเหยาทำขนมให้ทุกคนในบ้านของกู้เจียว รวมถึงเสี่ยวจิ้งคงด้วย
หลังจากนั้นแม่นางเหยากับท่านโหวกู้ก็นั่งรถม้ากลับจวนไปด้วยกัน
ท่านโหวกู้อยากรู้ว่าสองแม่ลูกคุยอะไรกันจนอดรนทนไม่ไหว “นางหนูว่ายังไงบ้าง”
“นางว่าอย่างไรน่ะหรือ…” แม่นางเหยานึกย้อนไปถึงยามที่ตนบอกเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง
ปฏิกิริยาของกู้เจียวนั้นสงบนิ่งนัก อย่างน้อยก็สงบนิ่งกว่าที่แม่นางเหยาคาดการไว้ ราวกับสิ่งที่นางได้ยินไม่ใช่เรื่องของตนเอง แต่เป็นเรื่องของคนอื่น
หลังจากนั้นนางก็ส่งเสียงร้องอย่างสงสัย แววตาเปล่งประกายขึ้นมา
นางอยู่ตรงหน้าแม่นางเหยาแท้ๆ แต่วินาทีนั้นแม่นางเหยากลับรู้สึกว่าลูกสาวกลับอยู่ไกลแสนไกล
ตั้งแต่ต้นจนจบ กู้เจียวพูดเพียงประโยคเดียวที่ทำให้แม่นางเหยาจับต้นชนปลายไม่ถูก
“หากพวกท่านมาเร็วกว่านี้สักนิด อย่างน้อยหากเร็วกว่านี้อีกสักครึ่งปีจะดีแค่ไหนกันนะ”
แม่นางเหยาไม่เข้าใจ
ลูกชายคนที่สามของตระกูลกู้และฮูหยินของเขาจากโลกนี้ไปตั้งแต่เก้าปีก่อนแล้ว
ลูกสาวแต่งงานเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว แยกเรือนออกมาจากตระกูลกู้ก็เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว
เหตุใดถึงอยากให้พวกเขามาเร็วกว่านี้อีกครึ่งปี
ครึ่งปีก่อนเกิดอะไรขึ้น เหตุใดพวกเขาถึงไม่รู้
นางได้รับบาดเจ็บหรือ
แม่นางเหยาจากมาด้วยความรู้สึกที่คั่งค้าง
อีกฟากหนึ่ง เซียวลิ่วหลังลาเรียนจากสำนักบัณฑิตครึ่งวัน เพื่อไปเอายาเสริมที่หุยชุนถัง
ระหว่างทางนั่งเกวียนเทียมวัวของลุงหลัวเอ้อร์กลับหมู่บ้านก็บังเอิญณสวนผ่านรถม้าของท่านโหวกู้
ม่านของรถม้าปลิวเลิกขึ้นตามแรงลม ท่านโหวกู้มองอะไรเรื่อยเปื่อย ก่อนจะบังเอิญเห็นเซียวลิ่วหลังนั่งอยู่บนเกวียนเทียมวัว
เขาตกในจนแทบล้มหงายหลัง ศีรษะชนเข้ากับผนังรถ ก้อนปูดบวมที่เพิ่งหายไปก็กลับมานูนเป่งขึ้นอีกครั้ง!
เขาขยี้ตา ใจอยากจะหันไปมองอีกครั้ง แต่เกวียนก็ผ่านเคลื่อนออกไปไกลแล้ว
เขาชะโงกหัวออกมาจากหน้าต่าง มองไปด้านหลังตาละห้อย
“ท่านดูอะไรอยู่หรือ” แม่นางเหยาถาม
ท่านโหวกู้หดหัวกลับเข้ามา “เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก”
วันนี้มันวันอะไรนะ ก่อนออกเรือนไม่ได้เปิดปฏิทินดูหรืออย่างไร
อย่างแรกเลยคือได้พบกับแม่เฒ่าชาวบ้านคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนไทเฮา จากนั้นก็บังเอิญเจอกับบัณฑิตอัจฉริยะราวกับท่านโหวแห่งแคว้นเจา
ไทเฮาพักฟื้นอยู่ที่วังหลวง ท่านโหวแห่งแคว้นเจาก็ลาโลกไปตั้งนานแล้ว ไม่มีใครสามารถปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้
ท่านโหวเอ่ยพึมพำ “เจอผีเจอสางเข้าแท้ๆ”
อันที่จริงเซียวลิ่วหลังก็เห็นรถม้าของท่านโหวกู้เช่นกัน ทว่าเขานั้นไม่ได้มองเข้าไปในหน้าต่างของตัวรถ เพราะอย่างนั้นจึงไม่รู้ว่าคนที่นั่นอยู่ภายในคือผู้ใด
แต่ที่เขาสังเกตเห็นคือเกือกม้าเหล็กของม้าชั้นดี
รถม้าเหมือนจะเดินทางออกมาจากหมู่บ้าน ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวเขาคือมาเพื่อตามหาตน ยิ่งตอนที่รถทั้งสองคันสวนผ่านกันนั้น ชายที่อยู่ในรถชะโงกหัวออกมามองเขาหัวจรดเท้า
เซียวลิ่วหลังไม่ได้เหลียวกลับไปมอง แววตาของเยือกเย็น ก่อนจะเอ่ยกับลุงหลัวเอ้อร์
“ลุงหลัวเอ้อร์ ช่วยไปเร็วกว่านี้ได้ไหมขอรับ เจียวเหนียงไม่สบายน่ะ”
“ได้เลย!” ลุงหลัวเอ้อร์ขานรับ
…
หลังจากแม่นางเหยาและท่านโหวกู้จากไป กู้เจียวก็เหม่อลอยอยู่ในห้องอยู่พักใหญ่
นางนึกถึงฝันพิสดารในคืนนั้น นี่กลับไปความจริงหรือนี่ นางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านโหวจริงหรือ
“อืม นั่นก็แปลว่า วันนั้นเราเข้าใจผิดสินะ”
ท่านโหวกู้บอกว่าเขาคือพ่อของนาง ที่แท้ก็หมายความตรงตามตัวอักษร นางนึกว่าเขาเล่นลิ้นเสียอีก
นั่นไม่ใช่ประเด็น เจ้าหมอนั่นน่ารำคาญชะมัด ถึงจะตีนางก็แล้วไปเถอะ ความฝันนั้นสำคัญกว่า
ในฝันนั้นคนที่มาบอกความจริงกับนางมิใช่แม่นางเหยา แต่เป็นท่านโหวกู้
แม่นางเหยาและกู้เหยี่ยนไม่เคยปรากฏตัวตั้งแต่ต้นจนจบ ดูจากความสัมพันธ์ของแม่นางเหยากับท่านโหวกู้ ไม่มีทางที่เขาจะเป็นคนทอดทิ้งแม่นางเหนา แต่หากคาดการณ์จากอาการป่วยของแม่นางเหยา
และกู้เหยี่ยน กู้เจียวพอจะเดาได้ว่ากู้เหยี่ยนและแม่นางเหยาน่าจะตายไปก่อนที่นางจะกลับไปยังจวนโหว
กู้เหยี่ยนตายเพราะโรคหัวใจ แม่นางเหยาน่าจะยอมรับความจริงที่ลูกชายจากโลกนี้ไปไม่ไหว
ไม่ก็ป่วยตายหรือไม่ก็แขวนคอปลิดชีพตัวเอง
เมื่อไม่มีแม่แท้ๆ และน้องชายคอยปกป้อง ตนเองในความฝันจึงได้ไร้ที่พึ่งพิง มีเพียงชื่อว่าลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของท่านโหวที่กลวงโบ๋ แต่ใช้ชีวิตราวกับคนนอก
“เจียวเจียว!”
เสี่ยงจิ้งคงชูนิ้วก้อยที่เป็นแผลขึ้นมา ก่อนจะเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางเศร้าซึม
กู้เจียวได้สติกลับคืนมาแล้วเหลียวไปมองเสี่ยวจิ้งคง “เป็นอะไรไปหรือ”
เสี่ยวจิ่งคงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ากู้เจียว ให้กู้เจียวดูเลือดที่ไหลไม่หยุดบนนิ้วก้อยเขา “เป็นแผลหรือ”
กู้เจียวคว้านิ้วก้อยน้อยของเขามาดู “เหตุใดถึงเป็นแผลได้”
“ลูกเหอเถาบาดเอาน่ะ” เสียวจิ้งคงตอบเสียงอ่อย
กู้เจียวเป็นคนซื้อเหอเถากลับมาจากตลาด มีคนเอาผักมาแลกกับของป่า มีทั้งคนเอาไข่ไก่มาแลก
นางคร้านจะสนใจ บางครั้งพอกลับมาถึงบ้าน แม้แต่ตัวเองยังตกใจกับของที่อยู่บนหลังด้วยซ้ำไป
“คราวหน้าระวังหน่อย” กู้เจียวไม่ได้ห้ามเขาแกะอีก เด็กน้อยจะซุ่มซ่ามสักหน่อยก็คงห้ามไม่ได้
นางไม่ใช่พ่อแม่ขี้กลัวจนห้ามไปหมดเสียทุกอย่าง
กู้เจียวหยิบไอโอดีนและสำลีก้านออกมาจากล่องยาแล้วล้างแผลฆ่าเชื้อให้เสี่ยวจิ้งคง
“เสร็จแล้ว ไม่เป็นอะไรมาก ไม่ต้องทายา”
“ต้องเพี๊ยงๆ” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยตาลุกวาว
กู้เจียวเบาเพี๊ยงๆ ให้เขา
เสี่ยวจิ้งคงไม่ใช่เด็กขี้สำออย หากเทียบกับความเจ็บปวดยามฝึกลมปราณแล้ว บาดแผลแค่นี้ไม่เจ็บเลยสักนิด เขาแค่อยากให้เจียวเจียวเบาเพี๊ยงๆ ให้ก็เท่านั้น!
เสี่ยวจิ้งคงที่ได้เพี๊ยงๆ สมใจแล้ว ก็เดินหน้าแช่มชื่นออกไป!
กู้เจียวโยนสำลีก้านที่ใช้แล้วลงในตะกร้าที่แยกเอาไว้เป็นพิเศษ แล้วเก็บไอโอดีนที่ยังใช้ไม่หมดลงกล่องยา
เมื่อครู่มัวแต่ทำแผลให้เสี่ยวจิ้งคง ไม่ทันได้ตั้งใจมอง แต่พอกวาดสายตามองกู้เจียวถึงสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง
“ทำไมจู่ๆ ถึงมียาเพิ่มขึ้นมาเยอะแยะแบบนี้”
ยาในกล่องยาของกู้เจียวแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัง ประเภทแรกคือยาฉุกเฉิน เป็นยาที่กู้เจียวใส่ไว้ตั้งแต่ตอนเป็นดอกเตอร์อยู่ที่สถานบันวิจัย หากนางอยู่ในสถาการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายยาม ยาพวกนี้จะช่วยชีวิตได้ อีกประเภทหนึ่งคือยาที่เพิ่มขึ้นมาภายหลัง อย่างเช่นยาโรคหัวใจของกู้เหยี่ยน ยาคลายเคลียดของแม่นางเหยา รวมถึงยาชาและยาอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการผ่าตัดเซียวลิ่วหลัง
แต่ไม่ว่าประเภทไหน นางก็ล้วนแต่ได้ใช้ประโยชน์ยามรักษา
แต่ยาที่มีอยู่ในตอนนี้…
ลิ่วเว่ยตี้หวงอัดเม็ด
ชาโด่ไม่รู้ล้ม
ยาบำรุงไตและธาตุหยิน
ช่างหัวยาบำรุงพวกแปลกพิสดารพวกนี้ก่อน แต่ที่สิ่งว่าสะดุดตาอยู่กลางกล่องกลับเป็นยา! คุม! กำ! เนิด!
กู้เจียว ‘ใครมือบอนมายุ่งกับกล่องยาของนางกัน เหตุใดจู่ๆ ถึงได้มีแต่ของประหลาดเต็มไปหมด!’
…
หลังจากแม่นางเหยากลับมาถึงหมู่บ้านเวินเฉวียนซาน ก็ตั้งใจว่าจะบอกความจริงกับกู้เหยี่ยน
และกู้จิ่นอวี้
ท่านโหวกู้นิ่งไปครู่หนึ่ง “จะไม่…รีบร้อนไปหน่อยหรือ”
บอกกับกู้เหยี่ยนนั้นคงไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก แต่เพราะเขาชอบกู้เจียวเสียขนาดนั้น หากบอกว่ากู้เจียวเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเขา นอกจากเขาจะประหลาดใจแล้วคงดีใจมากเป็นแน่
ทว่าจิ่นอวี้คงไม่เป็นเช่นนั้น
นางเป็นลูกสาวคนเดียวในบ้านมาตลอด เคยชินกับการที่มีคนคอยประคบประหงม หากจู่ๆ รู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพ่อแม่ จิตใจคงได้รับการกระทบกระเทือนเป็นอย่างมากแน่นอน
“จิ่นอวี้จะเป็นทุกข์เอาได้” ท่านโหวกู้เอ่ยเสียงแผ่วเบา
แม่นางเหยาขมวดคิ้ว “นางเป็นทุกข์ แล้วเจียวเจียวไม่ทุกข์เลยหรือ เจียวเจียวเองก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของกู้ซานหลังและฮูหยิน”
ท่านโหวกู้เอ่ยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เหมือนกันได้อย่างไร ตระกูลกู้เป็นใครมาจากไหน จวนโหวเป็นใครมาจากไหน นางหนูนั่น… เอ่อ เจียวเจียวได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของตัว แน่นอนว่าต้องดีใจไม่น้อย แต่จิ่นอวี้กลับต้องมาสะเทือนใจ”
“ดีใจอย่างนั้นหรือ” แม่นางเหยาส่ายหน้า “ข้าไม่เห็นแม้แต่นิด”
ปฏิกิริยาของกู้เจียวสงบนิ่งเสียจนเรียกได้ว่าเย็นชา ตอนที่ยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง นางไม่ได้มีท่าทีเย็นชาถึงเพียงนี้ แต่พอแม่นางเหยากลายเป็นแม้แท้ๆ ของนาง นางก็คงจะสร้างกำแพงในจิตใจขึ้นมา
แม่นางเหยาคิดว่าคงเป็นเพราะกู้เจียวนั้นผูกพันกับกู้ซานหลังและฮูหยินเป็นอย่างมาก เพราะอย่างนั้นจึงไม่อาจยอมรับในตัวนางได้ แม่นางเหยาจึงไม่ได้สงสัยอะไรมากนัก
ท่านโหวกู้เห็นสีหน้าของภรรยาไม่สู้ดีนัก จึงรีบเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวาน “เจียวเจียวเป็นลูกของพวกเรา จิ่นอวี้ก็เช่นกัน เจียวเจียวจำเป็นต้องรู้ความจริง เพราะนางต้องกลับไปที่จวนโหว แต่จิ่นอวี้ไม่จำเป็นต้องกลับไปอยู่เรือนตระกูลกู้นั่น เหตุใดต้องบอกนางด้วย”
เรื่องที่ว่าจะส่งจิ่นอวี้กลับไปหรือไม่นั้น แม่นางเหยายังไม่เคยคิดอย่างจริงจัง หากว่ากันด้วยใจไร้อคติ นางเองก็เลี้ยงดูจิ่นอวี้มาตั้งนานหลายปี ย่อมมีความผูกพัน นางคงไม่ยอมยกจิ่นอวี้ให้แน่นอน แถมกู้ซานหลังกับฮูหยินก็ตายจากไปแล้วด้วย จิ่นอวี้กลับไปก็กลายเป็นเด็กกำพร้า
แต่สุดท้ายคนที่ตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ใช่พวกเนา แต่เป็นจิ่นอวี้และตระกูลกู้
ในเมื่อจิ่นอวี้เป็นคนตระกูลกู้ แม้พ่อแม่ของนางจะไม่อยู่แล้ว แต่ปู่ย่าและลุงยังอยู่ครบ พวกเขามีสิทธิ์เรียกร้องขอตัวจิ่นอวี้กลับ
ส่วนจิ่นอวี้นั้น หากนางอยากจะกลับไป ก็ไม่มีผู้ใดรั้งนางไว้ได้
แม่นางเหยาเองก็คิดเช่นนั้นกับกู้เจียวเช่นกัน นางเคารพการตัดสินใจของกู้เจียว
ในการจัดการปัญหาความจริงนี้ นางในความยุติธรรมกับเด็กทั้งสองคน
แต่ในสายตาของท่านโหวกู้ หากกู้เจียวกลับมาอยู่ที่จวนโหวนั้นเรียกว่าได้เปรียบ แต่หากจิ่นอวี้กลับไปนั้นคงเรียกว่าขาดทุน ไม่ว่าทางไหนก็ไม่ยุติธรรมต่อจิ่นอวี้ทั้งนั้น
“ข้าไม่เห็นด้วย” ท่านโหวเอ่ย
แม่นางเหยาเอ่ย “ท่านอยากรับตัวเจียวเจียวกลับมาเลี้ยงมากเท่าใด ตระกูลกู้ก็อยากรับจิ่นอวี้กลับไปมากเท่านั้น”
ท่านโหวกู้คิดในใจ ‘เขาไม่อยากรับนางหนูนั่นกลับมาเลี้ยงเลยสักนิด! รับกลับมาทำไม มาให้ทุบตีเขาอย่างนั้นหรือ’
เรื่องราวในตระกูลกู้ท่านโหวกู้ก็เล่าให้ครึ่งหนึ่ง เก็บเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ท่านบอกแค่ว่ากู้เจียวลำบากมาตั้งแต่เล็กจนโต แต่ไม่กล้าบอกว่าตระกูลกู้รังแกนางอย่างน่าอนาถเพียงใด เขากลัวว่าแม่นางเหยาจะทุกข์ใจ
แต่หากเขาไม่พูดออกไปตอนนี้ เขากลัวว่าแม่นางเหยาจะต้องหลุมพรางของคนตระกูลนั้นเอา
ท่านโหวครู่ครุ่นคิดก่อนจะพูดออกมา “เขามาคิดดูแล้ว คนบ้านนั้นคิดไม่ซื่อสักเท่าไหร่ พวกเราอย่าได้คบค้ากับพวกเขาเลย”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” แม่นางเหยาถาม
ท่านโหวกู้เล่าเรื่องที่คนตระกูลกู้ส่งตัวกู้เย่ว์เอ๋อมาแทนกู้เจียว
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” แม่นางเหยาขมวดคิ้ว “เช่นนั้นเจียวเจียวจะโดนกลั่นแกล้งมาเพียงใดยามอยู่ในบ้านคนพวกนั้น”
ท่านโหวกู้เอ่ยในทันใด “ข้าสั่งสอนเจ้าพวกนั้นแล้ว!”
แม่นางเหยาอยากจะรับตัวลูกสาวกลับมาเสียตอนนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอด พอนึกถึงว่านางออกไปตกระกำลำบากด้านนอกมาหลายปี แม่นางเหยาก็อยากจะเอาชีวิตของตนแลกกับนางเหลือเกิน
ท่านโหวกู้กระแอมเบาๆ แล้วเอ่ย “เจ้าลอกนึกภาพในบ้านตระกูลกู้เอาก็แล้วกัน พวกเราจะให้จิ่นอวี้
กลับไปตกระกำลำบากไม่ได้”
แม่นางเหยาเอ่ย “ข้าไม่ยอมให้นางลำบากอยู่แล้ว นางก็เป็นลูกของข้าเหมือนกัน”
นางเคยมีช่วงที่นางทำเรื่องแย่ๆ กับกู้เจียว นางเคยนึกสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงทำตัวเป็นแม่คนไม่ได้ ยามนี้ได้รู้ความจริงแล้ว นางรู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อย
จิ่นอวี้ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของนาง เพราะจึงนางไม่สามารถรักจิ่นอวี้ได้เท่ากับที่นางรักกู้เหยี่ยน
แต่หลังจากนี้เป็นต้นไป นางจะรักจิ่นอวี้ต่อไปในฐานะแม่เลี้ยง และเลี้ยงดูนางแทนกู้ซานหลัง
และฮูหยิน
แม่นางเหยาเอ่ย “ไม่ว่าจิ่นอวี้จะกลับไปตระกูลกู้หรือไม่ นางก็ยังคงเป็นลูกของข้า”
ได้ยินแม่นางเหยาพูดดังนั้น ท่านโหวกู้ก็โล่งใจ ขอแค่ไม่นางเหยาไม่ดึงดันว่าจะส่งจิ่นอวี้กลับ
จิ่นอวี้คงไม่มีทางจากพวกเขาไป
คืนวันนั้น สองสามีภรรยาเรียกตัวกู้เหยี่ยนและกู้จิ่นอวี้มายังกลางห้องโถง ก่อนจะบอกความจริงเรื่องที่อุ้มเด็กมาผิดคนให้ทั้งสองคนรับรู้
ท่านโหวกู้สีหน้าเรียบเฉย “…เด็กคนนั้นพวกเจ้าก็รู้จัก เด็กหยิบยาจากหุยชุนถังคนนั้น”
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ดวงตาของกู้เหยี่ยนเป็นประกายขึ้นมา!
ตอนแรกเมื่อได้ยินว่ากู้จิ่นอวี้ไม่ใช่พี่สาวแท้ๆ ของเขา เขาก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร แต่พอได้รู้ว่าพี่สาวที่แท้จริงคือกู้เจียว เขากลับดีใจจนอยากจะกระโดดโลดเต้นไม่ติดพื้น
แม้กู้เหยี่ยนจะอดทนอดกลั้นนั่งอยู่กับที แต่ในหัวของท่านโหวกู้กลับมีภาพผุดขึ้นมาแล้ว
ภาพของกู้เหยี่ยนกำลังยกมือ ทำท่าหยิ่งผยองราวกับเทพเซียน ก่อนจะวิ่งวนไปมาทั่วห้องด้วยความตื่นเต้นดีใจ!
“เฮ้อ” ท่านโหวกู้ตบหน้าผากตัวเอง
หยุดคิดเดี๋ยวนี้!
เมื่อเทียบกับกู้เหยี่ยนที่กำลังตื่นเต้นดีใจ แต่จิ่นอวี้กลับรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ
นางคิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพ่อแม่ แต่กลับเป็นสาวใช้บ้านนาที่คนดูถูกเหยียดหยามผู้นั้นต่างหาก!