สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 916 รับผลกรรมเอง
บทที่ 916 รับผลกรรมเอง
……….
กู้เจียวหยิบสมุดเล่มเล็กขึ้นมาพร้อมปัดๆ ตวัดๆ เขียน “พี่ใหญ่ เป็นอะไร เจ็บคอรึ”
เหล่าโหวเหย่เบือนหน้าหนีทันทีด้วยความโมโห!
พี่หย่งพี่ใหญ่อะไรกัน!
ข้าไม่อยากนับญาติกับเจ้าแล้ว!
กู้เจียว แต่ข้ายังอยากนับญาติกับท่านอยู่นะ
นานๆ ทีที่กู้ฉังชิงจะเห็นท่าทีงอนของท่านปู่ ก็เลยอดยิ้มไม่ได้ ก่อนถามกู้เจียวไป “แค่มาเยี่ยมพ่อบุญธรรมเท่านั้นรึ”
กู้เจียวคิดคำตอบอยู่พักหนึ่ง “เมื่อคืนก็ไปกินข้าวด้วยกันกับแม่ทัพเซวียนหยวนแล้วนี่นา…ไม่เป็นไร เจอกันอีกก็ได้”
กู้ฉังชิงเหล่มองท่านปู่ของตัวเองที่ยังคงงอนจนหน้าเขียวอยู่ “ยังมีอีกไหม”
กู้เจียวกลอกตาคิด “เอ่อ…เหลี่ยวเฉินรึ”
“เฮอะ!”
เหล่าโหวถอนหายใจเสียงดังทันที!
กู้ฉังชิงมองแผ่นหลังของปู่ด้วยความเหนื่อยหน่าย “ท่านปู่ขอรับ ไหนๆ เราก็มาถึงนี่แล้ว เข้าไปเยี่ยมท่านกั๋วกงกันเถอะขอรับ เมื่อครู่นี้ที่เข้าวังไปพวกเราก็รับปากกับฝ่าบาทแล้วว่าจะดูแลท่านกั๋วกงเป็นอย่างดี”
เมื่อได้ยินดังนั้น เหล่าโหวก็รีบเดินพุ่งตัวเข้าไปในจวนกั๋วกงทันทีอย่างไม่รอช้า
กู้ฉังชิงยกมุมปากขึ้นพร้อมกับบ่นในใจ แหม เดินเร็วเชียวนะ… สงสัยจะรอให้ทักอยู่แน่ๆ
และตอนที่เหล่าโหวกำลังจะเดินผ่านกู้เจียว เขาก็แอบเหลือบมองนางไปหนึ่งที
ราวกับต้องการจะสื่อว่า ไม่ได้เรื่องเลย!
ผู้ดูแลเจิ้งจึงพาพวกเขาเข้าไปด้านในด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ทิ้งให้กู้จิ่นอวี๋ยืนนิ่งอยู่ข้างนอกคนเดียวเหงาๆ
เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นไปไกลกว่าที่นางจินตนาการเอาไว้มากๆ
ทุกคนมองนางด้วยสายตาที่ต่างออกไปจากตอนแรกอย่างสิ้นเชิง
ทำมาเป็นเอ่ยเสียดิบดีว่าคุณหนูใหญ่เป็นคนที่ไม่ถูกยอมรับ กลายเป็นว่าตัวเองนั่นแหละที่เป็นหมาหัวเน่า ขนาดไปเรียกท่านเหล่าโหวว่าท่านปู่ยังถูกรังเกียจขนาดนี้
“ใช่ละ ข้าจำได้แล้ว มีคนบอกว่าที่จริงแล้วพวกเขาถูกสลับตัวกัน นางต่างหากที่เป็นลูกของชาวบ้านที่ชนบท”
“นั่นสินะ ไก่บ้านก็ยังเป็นไก่บ้านอยู่วันยังค่ำ จะกลายเป็นหงส์ไปได้อย่างไร”
“เป็นพี่น้องกันจริงหรือเปล่า เรื่องของครอบครัวตัวเองยังไม่รู้เลย”
“ทำมาเป็นเอ่ยดี ที่แท้ก็มาเผยด้านโง่ให้เห็นนี่เอง”
ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่สามารถมองเห็นมารยาของผู้หญิงได้
ผู้ดูแลเจิ้งหันมามองตาขวางใส่กู้จิ่นอวี๋หนึ่งที พร้อมกับเอ่ย “เฮอะ ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง!”
“คุณหนู…พวกเรา…ไปกันเถอะเจ้าค่ะ” สาวใช้รีบเข้ามาดึงแขนเสื้อของกู้จิ่นอวี๋
ตอนนี้ใบหน้าของกู้จิ่นอวี๋แทบจะลุกเป็นไฟ
เพียงเพราะนางจงใจทำให้กู้เจียว “อับอาย” ต่อหน้าสาธารณะ ท่านปู่กับท่านพี่ถึงกับต้องหักหน้ากันแบบนี้เลยหรือ
แล้วกู้เจียวล่ะ กู้เจียวก็หักหน้านางเหมือนกันไม่ใช่รึ
เป็นถึงคุณหนูจวนกั๋วกง ดีจะตาย!
นางนี่แหละที่น่าสงสารที่สุดแล้วตอนนี้!
“ไปกันเถอะเจ้าค่ะ…” สาวใช้ยังคงพยายามโน้มน้าว
กู้จิ่นอวี๋กลับไปยังจวนโหวด้วยความอับอาย
นางไม่อยากได้เครื่องประดับอะไรแล้ว นางไม่มีอารมณ์
จากนั้นก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง
ยังไม่ทันได้พักผ่อนดี จู่ๆ สาวใช้ก็วิ่งมาบอกว่าแม่นมฝางขอพบ
ก่อนหน้านี้แม่นมฝางกลับบ้านเกิดไปเยี่ยมญาติ พอกลับมาถึงก็ได้ยินข่าวบางอย่าง จึงกลับไปรายงานกับแม่นางเหยา เมื่อฟังได้ความ แม่นางเหยาจึงตัดสินใจส่งแม่นมฝางมาที่นี่แล้วขอคุยกับกู้จิ่นอวี๋
กู้จิ่นอวี๋ไม่อยากออกไปด้วยซ้ำ แต่พอคิดถึงเรื่องของกู้เจียว จึงอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แลเหตุใดกู้เจียวถึงกลายเป็นลูกสาวของกั๋วกง
กู้จิ่นอวี๋ตัดสินใจเดินทางไปที่ตรอกปี้สุ่ย
กู้เสี่ยวเป่ากำลังนอนกลางวันอยู่
พวกนางจึงนั่งเอ่ยคุยกันในห้องโถง
กู้จิ่นอวี๋พบว่าหน้าตาของแม่นางเหยาดูสดใส มีน้ำมีนวลขึ้น ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่ตรอกปี้สุ่ยแห่งนี้ และดูอ่อนเยาว์ลงกว่าปีก่อนๆ เสียอีก
กู้จิ่นอวี๋นั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก
แม่นางเหยาเปิดประเด็น “จิ่นอวี๋ ที่ข้าเรียกเจ้ามาในวันนี้ ก็เพราะมีเรื่องต้องการชี้แจงกับเจ้า”
“บังเอิญจริง ข้าก็มีเรื่องจะคุยกับท่านแม่เช่นกัน”
จิ่นอวี๋ในวันนี้ดูเปลี่ยนไป
แม่นมฝางไม่ชอบท่าทีของนางเอาเสียเลย ขนาดคุณหนูใหญ่เห็นเป็นคนเย็นชาแบบนั้น แต่ก็ไม่เคยทำตัวไม่มีมารยาทแบบนี้
ขณะที่แม่นางเหยาพยายามมองข้ามจุดนี้ไป เพราะไม่เหลือความคาดหวังใดๆ กับอีกฝ่ายอีกต่อไปแล้ว
“เอาละ เช่นนั้น เจ้าเริ่มก่อนเลย” แม่นางเหยาเอ่ย
“ข้าได้ยินมาว่าท่านพี่ไปเป็นลูกบุญธรรมของท่านกั๋วกง เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไยท่านแม่ต้องปิดบังข้าด้วย” กู้จิ่นอวี๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
แม่นางเหยาไม่ถามว่านางไปรู้เรื่องนี้มาได้อย่างไร แต่เลือกตอบกลับไป “ข้าคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องบอกกับเจ้า ในเมื่อเจ้าก็ไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยนางแต่แรก”
เมื่อเห็นท่าทีแข็งกร้าวของคนตรงหน้า กู้จิ่นอวี๋จึงเริ่มรู้สึกผิดและรู้สึกขุ่นเคืองในคราวเดียวกัน
คนเราเวลาทำดีมาร้อยครั้ง เมื่อผิดครั้งเดียวกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ทันที
“เฮอะ” กู้จิ่นอวี๋แสยะยิ้ม “นั่นสินะ ข้าไม่เคยเป็นห่วงนาง ข้าเป็นคนใจดำ แล้วท่านพี่ละ เคยเป็นห่วงข้าบ้างไหม ไยถึงเอ่ยแต่ข้าล่ะ ท่านแม่เคยไปถามนางแบบนี้ไหม”
แม่นางเหยาโต้กลับ “ข้าไม่เคยขอร้องอะไรพวกเจ้า พวกเจ้าไม่ได้มีหน้าที่และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาเป็นห่วงกันและกัน แต่ในเมื่อไม่ได้เป็นห่วง ก็ไม่ต้องรู้ให้มากนัก ขนาดเจียวเจียวไม่เห็นจะมาอยากรู้เรื่องของเจ้าแบบนี้เลย”
กู้จิ่นอวี๋กำหมัดแน่น “ท่านแม่!”
“นี่ใช่ไหมเรื่องที่เจ้าจะคุยกับข้า ถ้าเจ้าเอ่ยจบแล้ว ข้าขอเอ่ยธุระของข้าบ้าง จิ่นอวี๋ ข้าเลี้ยงดูเจ้ามามากกว่าสิบปี ไม่ว่าเจ้าจะเห็นข้าเป็นแม่หรือไม่ ข้าจะขอเอ่ยเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้าย – คุณชายสามเฉวียนไม่คู่ควรกับเจ้า รีบยกเลิกการแต่งงานครั้งนี้ให้เร็วที่สุด”
กู้จิ่นอวี๋เหน็บแนมทันที “ถ้าเขาไม่คู่ควรกับข้า แล้วจะเป็นใครกันที่คู่ควร ลูกชายของเสนาตัวน้อยที่ท่านแม่เลือกให้ใช่ไหม หึ ลูกสาวตัวเองแต่งงานกับท่านโหวน้อยผู้สูงศักดิ์ได้! แต่กลับให้ข้าแต่งกับลูกเสนาเนี่ยนะ! ท่านแม่ลำเอียงแค่ไหนรู้ตัวบ้างไหม!”
แม่นางเหยาจ้องจิ้นอวี๋ด้วยสายตาเย็นชา “ข้าเนี่ยนะลำเอียง ก่อนจะมาเอ่ยหาข้า ไปบอกพ่อของเจ้าก่อนเถอะ!”
กู้จิ่นอวี๋ชี้นิ้วไปทางห้องนอนกู้เสี่ยวเป่า พร้อมทั้งตะโกน “ท่านปู่กับท่านพี่ใหญ่ยังลำเอียงไปชอบนางมากกว่าเลย! แม้แต่เจ้าเด็กโง่อย่างกู้เสี่ยวเป่าก็ชอบนางมากกว่าข้า…”
เพี้ยะ!
แม่นางเหยาลุกขึ้นแล้วฟาดมือเข้าไปที่พวงแก้มของกู้จิ่นอวี๋อย่างเต็มแรง!
กู้จิ่นอวี๋ที่ถูกตบจนหัวโล่งก็รีบหันขวับมาจ้องแม่นางเหยาด้วยสายตาเหลือเชื่อ
“ห้ามเอ่ยถึงน้องชายเจ้าแบบนั้นเด็ดขาด!”
“เขาไม่ใช่น้องข้า! เจ้าเด็กนั่นตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุก็ไม่เคยร้องไห้เลย จนป่านนี้ขวบนึงแล้วก็ยังเดินไม่เป็น ถ้าไม่โง่แล้วจะให้เรียกอะไร!”
กู้เสี่ยวเป่าตื่นขึ้นเพราะเสียงดัง
ลุกขึ้นนั่ง แล้วมองไปที่ประตู
และเห็นแม่ของตัวเองชี้นิ้วไปทางประตูใหญ่ พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน “ออกไปเดี๋ยวนี้!”
กู้จิ่นอวี๋เอามือป้องหน้า มองค้อนแม่นางเหยาหนึ่งที ก่อนเดินออกไปอย่างไม่หันหลังกลับ!
อวี๋หยาเอ๋อร์เข้ามาอุ้มเสี่ยวเป่า
“ไยนางถึงทำตัวแบบนั้นกันนะ…ฮูหยินก็อุตส่าห์เอ่ยเตือน กลายเป็นว่าไม่พอใจอีก…นี่นางคิดว่าเงินทองมันร่วงหล่นลงมาจากฟ้าหรือยังไงกัน ชื่อเสียงของตัวเองเสื่อมเสียแค่ไหนยังไม่รู้จักประมาณตนอีก แล้วยังจะดันทุรังไปแต่งเข้าตระกูลของชางผิงโหวอีก ถ้าไม่ใช่เพราะคุณชายสามเฉวียนอะไรนั่น…ช่างเถอะ ไม่เอ่ยดีกว่า” อวี๋หยาเอ๋อร์บ่น
แม่นมฝางเสริม “นางคงคิดไปเองว่าตัวเองดีกว่าคุณหนูใหญ่ในทุกเรื่อง ไม่ได้เอะใจเลยว่าการแต่งงานครั้งนี้มีอะไรผิดปกติ ฮูหยินอุตห์ส่าเตือนหลายรอบก็ไม่ยอมฟัง ให้นางไปรับกรรมเอาเองก็แล้วกัน”
แม่นางเหยาอุ้มเสี่ยวเป่าไว้บนตัก เขากางมือแล้วทาบอกตัวเอง พร้อมกับส่ายศีรษะแล้วเอ่ย “เสี่ยวเปาไม่โง่ซักหน่อย”
แสดงว่าเสี่ยวเป่า…ได้ยินคำเอ่ยพวกนั้นแล้ว…
แม่นางเหยามองดูเจ้าตัวเล็กด้วยความเอ็นดู พร้อมกับเอ่ย “เสี่ยวเป่าเป็นเด็กฉลาด เสี่ยวเป่าไม่โง่นะ”
จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับทุกคนด้วยสายตาที่แน่วแน่และกล้ำกลืน “ตั้งแต่นี้ต่อไป พวกเจ้าห้ามเรียกนางว่าคุณหนูรอง และไม่ต้องไปรายงานอะไรให้นางทราบอีกแล้ว”
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นางมีลูกสาวแค่คนเดียว เสี่ยวเป่าและกู้เหยี่ยนมีพี่สาวแค่คนเดียวเท่านั้น
……
ตัดภาพมาทางกู้จิ่นอวี๋ที่เพิ่งกลับมาถึงจวนโหวด้วยท่าทีฉุนเฉียว
ขณะที่กำลังเดินผ่านสวนดอกไม้ ก็บังเอิญได้ยินเสียงคนใช้สองคนกำลังคุยกัน
“นี่ ข้าบังเอิญได้ยินเรื่องของคุณชายสามเฉวียนมาละ เขาเป็น…”
กู้จิ่นอวี๋ได้ยินไม่ชัดเจนว่าพวกเขาเอ่ยอะไร แต่รู้สึกได้ทันทีว่าจะต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ
“จริงรึ” คนใช้ที่อายุรุ่นยายอีกคนทำหน้าตกใจ “แล้วถ้าคุณหนูรองแต่งงานไป จะไม่…”
“พวกเจ้ามายืนคุยอะไรกันตรงนี้!”
เมื่อได้ยินเสียงของเจ้านายดังขึ้นจากอีกฟากหนึ่งของถนน สาวใช้ทั้งก็หน้าเสียทันที ก่อนจะหันมาสบตากัน
เจ้าของเสียงคือแม่นมจาง ผู้ดูแลจวนคนปัจจุบัน
แม่นมจางหันไปมองกู้จิ่นอวี๋ที่ยืนอยู่ตรงทางเดินในสวน ก่อนจะหันมาเอ็ดลูกน้อง “มาแอบอู้งานกันอยู่เรอะ งานที่ให้จัดการทำเสร็จกันหมดหรือยัง รีบไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!”
“ขออภัยเจ้าค่ะแม่นม ต่อไปจะไม่ทำแล้วเจ้าค่ะ!” คนใช้รีบโค้งตัวขอโทษขอโพย
จากนั้นแม่นางจางก็หันมาทักกู้จิ่นอวี๋ “คุณหนูเจ้าคะ”
คนของฮูหยินใหญ่ไม่มีใครเรียกกู้จิ่นอวี๋ว่าคุณหนูรอง เพื่อให้กู้จิ่นอวี๋รู้สึกว่าตัวเองเป็นคุณหนูเพียงผู้เดียวของจวน และนั่นทำให้กู้จิ่นอวี๋รู้สึกดีมาก
แต่พอนึกถึงเรื่องที่เผลอได้ยินเมื่อครู่นี้ บวกกับคำเตือนของแม่นางเหยา ก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจอีกครั้ง “แม่นมจางรู้อะไรเกี่ยวกับคุณชายสามเฉวียนมาบ้างหรือเปล่า”
เมื่อได้ยินดังนั้น แม่นมจางก็ทำหน้าตกใจทันที “ไยคุณหนูจึงถามเช่นนี้เจ้าคะ เจ้าคนใช้สองคนนั้นเอ่ยอะไรให้คุณหนูไม่สบายใจหรือไม่”
“ข้าก็แค่อยากรู้น่ะ” กู้จิ่นอวี๋ตอบ
แล้วแม่นมจางก็หัวเราะทันที พร้อมอธิบายให้ฟัง “พวกบ่าวมันจะไปรู้อะไรละเจ้าคะคุณหนู คุณชายสามน่ะเป็นทายาทสายตรงของชางผิงโหว ทั้งรูปหล่อ ทั้งมีชาติตระกูล จะติดก็แค่…เรียนหนังสือหนักไปจนสติฟั่นเฟือน คุณชายน่ะจิตใจดีเกินไปจนบางครั้งก็ชอบพาพวกขอทานมาเลี้ยงดูที่จวน จนฮูหยินท่านโหวโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ก็มีเรื่องเท่านี้แหละเจ้าค่ะ อ้อ ลืมบอกเจ้าค่ะว่าคุณชายสามน่ะเป็นคนใจอ่อน! แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีนะเจ้าคะ แต่งงานไปจะได้เชื่อฟังแต่คุณหนูยังไงละเจ้าคะ”
กู้จิ่นอวี๋ถามต่อ “แล้วไยถึงเพิ่งมาเล่าให้ข้าฟังตอนนี้ล่ะ”
แม่นมจางโบกมือปัดพร้อมกับเอ่ยติดตลก “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่คะคุณหนู ก็กลัวว่าคุณหนูจะรังเกียจที่เขาเป็นแบบนั้น ฮูหยินใหญ่ท่านเลี้ยงดูคุณหนูมาตั้งแต่เล็กๆ ท่านก็ต้องให้คุณหนูได้คู่กับคนดีๆ อยู่แล้วเจ้าค่ะ”
กู้จิ่นอวี๋ได้ยินดังนั้นก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมา “อะไรกัน ข้าจะไปรังเกียจคุณชายเขาได้อย่างไร คุณชายสามเป็นคนขยัน ย่อมเป็นวาสนาของข้าอยู่แล้ว ข้าต้องขออภัยด้วยที่จู่ๆ เกิดสงสัยในความหวังดีของท่านย่า”
แม่นมจางยื่นมือมากุมแล้วยิ้มอย่างใจดี “คุณหนูเข้าใจก็ดีแล้วเจ้าค่ะ”
“งั้นข้าไปก่อนล่ะ” กู้จิ่นอวี๋ยิ้มร่าก่อนเดินออกไป
“เชิญค่ะ” แม่นมจางปล่อยมือออก แล้วยืนยิ้มส่งกู้จิ่นอวี๋
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินไปไกลแล้ว รอยยิ้มของแม่นมจางพลันหายไปทันที พลางเอ่ยในใจ
ที่บอกว่าฮูหยินใหญ่ท่านเป็นห่วงน่ะมันเป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้ท่านเป็นห่วงหลานชายทั้งสามของท่านเท่านั้น
ท่านสนที่ไหนกันว่าคนนอกสายเลือดอย่างนางจะเป็นตายร้ายดียังไง
……….